The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวคิดนักปรัชญาสำคัญในยุคภูมิธรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 631031578, 2022-09-10 06:25:11

แนวคิดนักปรัชญาสำคัญในยุคภูมิธรรม

แนวคิดนักปรัชญาสำคัญในยุคภูมิธรรม

แนวคิดนักปรชั ญาสำคญั ในยคุ ภมู ธิ รรม

1.โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes : ค.ศ.1588 - 1679)

โทมสั ฮอบส์ (Thomas Hobbes) 5 เมษายน พ.ศ.2131 (ค.ศ.1588) - 4 ธันวาคม พ.ศ.2222 (ค.ศ.1679)
เป็นนกั ปรชั ญาการเมืองชาวองั กฤษ ผ้มู ชี ่ือเสียงโดง่ ดงั จากผลงานท่ีสำคญั คือหนังสอื ชอ่ื Leviathan ท่ีเขียนขึ้น
เมอื่ พ.ศ.2194 หนังสือเลม่ นีก้ ลายเป็นฐานประเด็นในแนวปรัชญาการเมืองตะวนั ตกในสมยั ต่อมาในเกือบทกุ แนว

ถึงแมว้ ่าทกุ คนได้รูจ้ ักโทมสั ฮอบสจ์ ากงานเขียนเกย่ี วกับปรชั ญาการเมอื งตะวันตกกจ็ ริง แตท่ ่ีจริงแล้ว
ฮอบส์ได้สร้างผลงานท่เี ปน็ ประโยชน์ไวอ้ ีกหลายดา้ น เช่น ประวตั ศิ าสตร์ เรขาคณติ เทววทิ ยา จริยธรรม รวมท้ัง
ดา้ นปรัชญาทว่ั ๆ ไปอีกหลายเรอ่ื ง และทเี่ ปน็ ทร่ี ู้จกั ในปัจจุบันว่า รัฐศาสตร์ (political science) นอกจากน้ี
ส่งิ ที่ฮอบบส์เช่ือทวี่ า่ "มนุษย์นัน้ โดยธรรมชาติมีการร่วมมอื กนั ก็โดยมุ่งผลประโยชน์สว่ นตัว" ซ่งึ ข้อคดิ นี้ได้รับการ
พสิ จู น์ในทฤษฎีของปรัชญามานษุ ยวทิ ยาต่อเนือ่ งมาอยา่ งยาวนาน
ชีวติ ในวัยเยาว์และการศึกษา

โทมัส ฮอบส์ เกดิ ทวี่ ลิ ท์ไชร์ ประเทศอังกฤษ เปน็ บตุ รของพระราชาคณะแห่งชาร์ลตัน และเวสต์พอร์ต
ซงึ่ หนีออกจากประเทศองั กฤษเน่อื งจากการกลัวโทษแขวนคอและปล่อยลูก 3 คนทงิ้ ไว้ใหพ้ ช่ี ายชื่อฟรานซสิ ดูแล
ฮอบส์ได้เขา้ เรียนในโรงเรยี นโบสถ์ต้ังแต่อายุ 4 ขวบ และเรียนต่อในชั้นท่สี งู ข้ึนตามลำดับ ฮอบส์เป็นนักเรียนดี
และได้เข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่เฮิร์ทฟอร์ดคอลเลจ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เมื่อ พ.ศ.2146
ทม่ี หาวิทยาลัย ฮอบส์ได้เป็นครูกวดวิชาให้กับบุตรชายของวิลเลียม คาเวนดิช บารอนแหง่ ฮาร์ดวิกซึ่งกลายเป็น
มิตรภาพกบั ครอบครวั นี้อย่างตอ่ เนื่องกันไปชว่ั ชีวิต

ฮอบส์กลายเปน็ คู่หูของวิลเลยี มผู้เยาว์ ได้รว่ ม “การทอ่ งเทีย่ วคร้งั ใหญ่” (Grand tour -ประเพณีของคน
องั กฤษช้นั สูงวัยหนมุ่ ระหว่างประมาณ พ.ศ.2200 - พ.ศ.2360 เพื่อท่องยโุ รปแผน่ ดินใหญ่เพอ่ื เรียนรู้ แสวงหา
และสัมผัสกับปรชั ญาและวทิ ยาศาสตร์ใหม่ ๆ ทร่ี งุ่ เรอื งในท่ีน้ัน) ฮอบส์ไดส้ ัมผสั กบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละวิธีการคิดเชิง
วิฤตขิ องยุโรปซง่ึ แตกต่างกบั “ปรชั ญาอสั มาจารย์” (scholastic philosophy) ท่ไี ด้เขาเคยเรียนที่ออกซฟอร์ด
ซึง่ มงุ่ เรียนอย่างจรงิ จงั ทางกรีกคลาสสิกและละติน

แมว้ า่ ฮอบส์จะมโี อกาสไดค้ ลุกคลีกบั นกั ปรัชญามชี ื่อ เชน่ เบน จอนสนั และฟรานซสิ เบคอนมานาน
แต่กไ็ ม่ได้สนใจด้านปรชั ญาย จนกระท่ังถงึ หลงั จาก พ.ศ.2172 คาเวนดิชซึง่ ไดเ้ ลื่อนเป็นเอร์ลแห่งเดวอนไชร์ผู้เป็น
นายจ้างฮอบส์ได้เสยี ชีวิตเมื่อ พ.ศ.2171 และภริยาหมา้ ยของคาเวนดิชไดบ้ อกเลกิ จา้ งเขา แตใ่ นเวลาตอ่ มาฮอ บส์
ก็ได้งานใหมเ่ ป็นครกู วดวิชาให้กับลูกของเซอร์เกอร์วาส คลิฟตนั ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในปารสี และจบลงเม่อื
พ.ศ.2174 เนื่องจากการไดพ้ บกบั ครอบครวั คาเวนดิชอีกครง้ั หนงึ่ คราวนี้เป็นงานกวดวิชาใหก้ ับลกู ชายของนกั เรยี น
เก่า ในช่วงตอ่ มาอกี 7 ปี ฮอบสไ์ ด้เพิ่มพนู ความรู้ด้านปรชั ญาไปพร้อมกับงานกวดวิชา ซง่ึ ทำใหเ้ ขาเกดิ ความอยากรู้
อยากอภิปรายเกี่ยวปรัชญามากขึ้นและไดก้ ลายเป็นนกั อภิปรายปรัชญาหลกั ที่เป็น “ขาประจำ” ในยุโรป
และจากปี พ.ศ.2180 เป็นตน้ มา ฮอบสไ์ ด้ถือวา่ ตนเองเปน็ นกั ปรชั ญาและผูร้ อบรู้

ปารสี

ที่ปารีสฮอบส์ได้ศึกษาลัทธิปรัชญาในหลาย ๆ ด้านและได้ทดลองเข้าถงึ ปัญหาดว้ ยแนวทางฟิสิกส์
ได้พยายามไปถงึ การวางระบบความคิดที่ละเอียดบรรจงขึ้น ซึ่งได้กลายเป็นงานทีฮ่ อบส์ได้อุทศิ ชีวติ ให้
ฮอบสไ์ ดท้ ำศาสตรนพิ นธห์ ลายเรอื่ ง เช่นเกี่ยวกับลัทธิที่เปน็ ระบบเกย่ี วกับร่างกายเพือ่ แสดงใหเ้ ห็นว่าปรากฏการณ์
ทางกายภาพสามารถอธิบายอาการเคลอื่ นไหวได้อยา่ งไร ฮอบสไ์ ด้แยกเอามนษุ ย์ออกจากอาณาจักรของธรรมชาติ
และพชื พรรณ ในอีกศาสนตรนพิ นธ์หนึ่ง ฮอบส์ได้แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวเฉพาะบางอยา่ งของ ร่างก าย
เนอ่ื งมาจากผลของปรากฏการณผ์ สั สาการ (ศพั ทป์ รชั ญา = sensation) ความรู้ วิภาพ (ความชอบ = affection)
และกัมมภาวะ (ความดดู ดม่ื , กเิ ลส = passion) และสดุ ท้ายในศาสตรนิพนธ์อนั ลอื ชอ่ื ฮอบสแ์ สดงใหเ้ หน็ ว่ามนษุ ย์
ถกู ผลักดนั เขา้ สงั คมไดอ้ ยา่ งไรและตง้ั ประเด็นว่าจะต้องออกกฎระเบียบใช้บังคับหากไมต่ อ้ งการให้มนุษย์ตอ้ งตกสู่
“ความเห้ียมโหดและความทกุ ข์ระทม” ทำให้ฮอบส์เสนอการรวมปรากฏการณท์ ว่ี ่าแยกกนั ของ รา่ งกายมนษุ ย์และ
รฐั เข้าเป็นหน่งึ เดียว

โทมัส ฮอบส์กลับบา้ นเมื่อ พ.ศ.2180 ในขณะท่ีองั กฤษกำลงั เกิดสงครามกลางเมืองสกู้ นั ระหวา่ งบิชอปซง่ึ มี
ผลกระทบตอ่ งานศึกษาค้นควา้ ทางปรัชญา แต่ฮอบส์กส็ ามารถเขียนศาสตรนพิ นธ์เรื่อง “Human Nature”
และ “De Corpore Politico” แล้วเสร็จและตีพมิ พ์ร่วมกันภายหลังใน 10 ปีตอ่ มาในชื่อ “The Element Of
Law”

ในปี พ.ศ.2183 ฮอบส์ไดห้ นกี ลบั ไปฝรง่ั เศสอกี ครง้ั ด้วยรู้ว่าการเผยแพรศ่ าสตรนพิ นธ์ท่เี ขาเขียนข้ึนกำลัง
ใหร้ า้ ยแกต่ วั เอง คราวน้ีฮอบส์ไมไ่ ดก้ ลบั บา้ นอีกเป็นเวลา 11 ปี ฮอบสไ์ ดเ้ ขยี นหนงั สอื อ่ืน ๆ อีกหลายเลม่ เกี่ยวกบั
ปรชั ญาการเมือง เขาเกดิ ในยุคเดียวกับเดส์การตส์ และเขียนบทวิจารณ์ตอบบทหนึ่งของหนงั สือ “การครุ่นคิด”
ของเดสก์ ารตส์ซึ่งตีพิมพ์เม่ือพ.ศ.2184 งานเขียนหลาย ๆ เร่อื งของฮอบส์ได้ส่งใหเ้ ขามชี ือ่ เสียงมากขนึ้ ในวงวชิ าการ
ด้านปรชั ญา

เลอไวอะทัน

“เลอไวอะทัน” (Leviathan) (พ.ศ.2194) เปน็ ศาสตรนิพนธช์ ้ินเอกด้านปรัชญาทางการเมือ งที่ฮอบส์
ใช้เผยแพร่ “ลัทธิพน้ื ฐานของสังคมกับรัฐบาลที่ชอบธรรม” ซง่ึ เน้ือหาของหนังสอื นไี้ ดก้ ลายเปน็ ตน้ ตำหรบั ของงาน
วชิ าการทางปรชั ญาด้าน “สญั ญาประชาคม” และในหนังสือ “สภาวะตามธรรมชาตขิ องมวลมนุษย์” ในเวลาต่อมา
ซ่ึงว่าในขณะทีค่ น ๆ หน่งึ ทีอ่ าจแขง็ แรงหรือฉลาดกวา่ ใคร ๆ แตเ่ ม่ือกำลังจะถกู ฆา่ ใหต้ าย ในฐานะมนุษย์ตาม
สภาวะตามธรรมชาติ เมื่อหลกี เลี่ยงไม่ได้ก็จะตอ่ สูท้ ุกวิถีทาง ฮอบสถ์ ือว่าการต่อสปู้ ้องกันตัวเพือ่ เอาชวี ติ รอดจาก
ส่งิ ใดกต็ ามในโลกเป็นสทิ ธแ์ิ ละความจำเปน็ ตามธรรมชาตขิ องมนุษย์

เลอไวอะทนั เปน็ งานท่ีฮอบส์เขยี นขึ้นในระหว่างความยากลำบากของสงครามกลางเมืองขอ งอังกฤษ
ทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยความยงุ่ เหยิงทีม่ ีการเรยี กร้องใหม้ รี ฐั บาลกลางท่เี ขม้ แขง็ เพ่อื ปอ้ งกนั ไม่ให้เกดิ ความไม่ลงรอยท่นี ำไปสู่
สงครามกลางเมือง มกี ารยอมให้ใชอ้ ำนาจมากไปบ้างเพ่อื รกั ษาสันตภิ าพ ดว้ ยสภาวะความยุ่งเหยงิ ทางการเมือง
ขณะนนั้ ทำใหท้ ฤษฎที างการเมืองของฮอบสท์ ่ีวา่ องคอ์ ธปิ ัตย์ หรือ อำนาจอธปิ ไตยควรมีอำนาจในการควบคุมพล
เรือน ทหาร ตุลาการ และศาสนาได้รับการยอมรบั

ฮอบส์แสดงออกมาอยา่ งเปิดเผยว่าองคอ์ ธปิ ัตยจ์ ะต้องมีอำนาจครอบคลมุ ไปถงึ ศรทั ธาและลทั ธิ และว่าถา้
ไม่ทำเชน่ นั้นยอ่ มเปน็ การนำไปสคู่ วามแตกแยกในท่ีสุด

ชวี ติ บน้ั ปลาย

ฮอบสไ์ ด้พยายามตพี มิ พผ์ ลงานดา้ นคณติ ศาสตรแ์ ละฟสิ กิ ส์ทีไ่ มค่ ่อยดนี กั ไปพร้อม ๆ กบั งานดา้ นปรัชญา
ในชว่ งของ ยคุ ปฏิสังขรณ์ (The Restoration) (การฟ้ืนฟรู าชวงศอ์ งั กฤษ ราชวงศ์สกอตแลนด์ และราชวงศ์ไอรร์ ิช
โดยพระเจา้ ชารล์ ที่ 2 กษตั รยิ ห์ น่มุ ของอังกฤษ) ชอ่ื เสียงของฮอบสไ์ ด้โด่งดังขนึ้ จนพระเจา้ ชาร์ล ท่ี 2 ซ่งึ เปน็ ลูกศษิ ย์
ของฮอบส์เมือ่ ครั้งยังเป็นปรินซอ์ อฟเวลล์ลีภ้ ยั อยูใ่ นปารสี จำได้ จึงมรี ับสัง่ ให้ฮอบส์เข้ารบั ราชก ารในราชสำนัก
และพระราชทานบำนาญแกฮ่ อบส์ปีละ 100 ปอนด์

พระเจา้ ชารล์ ต้องช่วยปกป้องฮอบส์จากการถูกกล่าวหาว่าเขียนหนังสือหมิ่นศาสนาแล ะไ ม่ยอมรับว่า
พระเจา้ มตี วั ตน ซึง่ เกดิ จากความพยายามของรฐั สภาท่จี ะออกกฎหมายเพอ่ื เอาผดิ ฮอบส์ แม้จะเอาผดิ ฮอบส์ไม่ได้
แต่ก็มผี ลทำให้ฮอบส์ไม่กลา้ ตีพิมพ์งานของเขาในองั กฤษอีก

ในเดือนตลุ าคม พ.ศ.2222 ฮอบส์ปว่ ยด้วยโรคเกย่ี วกบั กระเพาะปสั สาวะ ตามดว้ ยภาวะเส้นเลอื ดในสมอง
แตกจนเปน็ อมั พาต ฮอบสเ์ สยี ชวี ติ ลงเมือ่ วนั ที่ 4 ธนั วาคมปีน้ัน ดว้ ยวยั 91 ปี ศพไดร้ ับการฝังท่สี นามของโบสถอ์ ลั ท์
ฮักนาล ในเดวอนไชร์ ประเทศอังกฤษ

โทมสั ฮอบส์ มอี ายุยืนยาวมาก มชี วี ติ อยูต่ รงกบั ระหวา่ งรชั สมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา และสมเดจ็
พระเพทราชาในสมัยอยุธยาซง่ึ ในชว่ งน้นั มีกษตั ริย์อยธุ ยาครองราชย์รวมแล้วถึง 12 รัชกาล

2.จอห์น ลอ็ ค (John Locke : ค.ศ.1632 - 1704)

จอหน์ ลอ็ ก (John Locke) (29 สิงหาคม พ.ศ. 2175-28 ตลุ าคม พ.ศ. 2247) เปน็ นักปรัชญาชาวอังกฤษ
ในยคุ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 17 ความสนใจหลกั ของเขาคือสังคมและทฤษฎีของความรู้

แนวคิดของล็อกทเ่ี ก่ยี วกบั “ผู้ปกครองทไ่ี ด้รบั การยอมรับจากผ้ใู ตป้ กครอง” และสทิ ธธิ รรมชาตขิ องมนษุ ย์
ท่เี ขาอธบิ ายว่าประกอบไปดว้ ย ชวี ิต, เสรีภาพ, และทรัพย์สิน นัน้ มีอทิ ธิพลอยา่ งมากต่อพฒั นาการทางป รัชญา
การเมือง แนวคิดของเขาเป็นพ้ืนฐานของกฎหมายและรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งผู้บุกเบิกไดใ้ ชม้ ันเป็นเหตุผลของ
การปฏวิ ตั ิ

แนวคิดด้านญาณวิทยาของล็อกนั้นมอี ิทธพิ ลสำคัญไปจนถงึ ชว่ งของยคุ แสงสว่าง เขามที ศั นะเกี่ยวกับ
ทฤษฎีความรูว้ ่า ความร้จู ะตอ้ งเกดิ หลงั ประสบการณ์ และความรู้จะเกดิ ข้ึนโดยอาศยั การสมั ผสั เม่ือมนุษย์ได้สมั ผัส
กจ็ ะมคี วามรสู้ ึก และความรูส้ กึ จะทำให้มนษุ ย์นั้นคดิ และความคิดนี้คือแหล่งกำเนิดแหง่ ความรู้ หากปราศจากการ
สมั ผัสมนษุ ยก์ จ็ ะไมค่ ดิ เพราะจติ โดยธรรมชาติจะมสี ภาพอยู่เฉย. เขาถูกจัดให้อยู่ในกล่มุ เดยี วกบั นักประสบการณ์
นยิ มชาวบริตชิ ซ่ึงประกอบไปดว้ ยเดวดิ ฮมู และจอร์จ บารก์ ลยี ์ ล็อกมกั ถกู นำไปเปรยี บเทยี บกับโทมสั ฮอบ ส์
ผลงานท่สี ำคัญ ไดแ้ ก่
- An Essay Concerning Human Understanding
- Two Treatises of Civil Government
พน้ื ฐานทางความคิด

จอห์น ล็อค เป็นนักปรัชญาที่มีความคิดเหน็ เป็นกลาง ๆ หลักการหาความรู้ไม่ได้เครง่ ครัดอยู่กบั
ประสบการณ์ทางประสาทสัมผสั หรอื เหตผุ ลอยา่ งใดอย่างหนง่ึ เขาเปน็ นกั ประจกั ษ์นยิ มหรอื ประสบการณ์นิยม
เขาคิดวา่ เน้อื หาของความรไู้ ด้มาโดยอาศัยประสบการณท์ างประสาทสมั ผัส และการไตรต่ รองดว้ ยเหตุผล เขาไม่ใช่
นักประจกั ษน์ ยิ มแบบเครง่ ครดั ส่วนหน่ึงเขาคล้อยตามพวกเหตผุ ลนยิ ม คอื ความเห็นหรอื ความเชอ่ื ต่าง ๆ ต้อง
นำมาวิเคราะหไ์ ตรต่ รองด้วยเหตุผลเสียกอ่ น และคิดวา่ ไมค่ วรใช้อารมณ์และความรู้สึกมาเป็นพืน้ ฐานในการตัดสิน

ดว้ ยเหตุผล ล็อคไมไ่ ด้ปฏเิ สธความจรงิ ทางจิตหรือวญิ ญาณ กฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ทีเ่ ป็นเรือ่ งเหนอื ธรรมชาติตลอดจน
การเปดิ เผยของพระเจ้า

ล็อคได้รับแรงกระตุ้นอย่างมากจากการอ่านงานของเดส์การ์ตส์ โดยเฉพาะเ รื่องการใช้เหตุผล
ลอ็ คพยายามวิเคราะหว์ ่าเหตผุ ลนั้นเช่ือถอื ได้เพียงใด ทำอย่างไรจึงเรยี กว่ามเี หตผุ ล เขาศึกษาเร่ืองนี้อยู่นาน
จึงได้เขยี นหนงั สือเร่ือง An Essay Concerning Human Understanding ซึ่งไดว้ จิ ารณ์เรือ่ งความคิดตดิ ตัว
มาแต่กำเนดิ

ญาณวทิ ยาหรือทฤษฎีความรู้

ล็อคสรุปว่า ความรู้นั้นอยู่ท่ีความคิด คำว่าความคิด หมายถึงความคดิ ที่เกิดขึ้นจากวัตถทุ ี่เรามี
ประสบการณ์ และต้นกำเนิดของความคิดคือประสบการณ์ ล็อคอธิบายวา่ ประสบการณ์ได้มาสองทาง คอื
ทางผัสสะ กบั การไตร่ตรอง หมายความว่า ความคิดทุกความคิดเกดิ จากประสบการณ์ทางประสาทสมั ผสั ทเี่ รามตี ่อ
โลก และเกดิ จากการไตร่ตรองเกี่ยวกบั ความคิดอันเกดิ จากผสั สะ การไตรต่ รองถือเป็นประสบก ารณ์ภ ายใ น
สง่ิ ท่ลี ็อคเน้นกค็ ือ เราไมส่ ามารถมีประสบการณ์เกย่ี วกบั การไตรต่ รอง จนกวา่ เราจะไดม้ ปี ระสบการณ์ทางประสาท
สัมผัส ลอ็ คปฏเิ สธทฤษฎคี วามคิดติดตวั เราเกิดมาในโลกพรอ้ มกับความคิดตดิ มากบั จิตของเราแล้ว

ปฏเิ สธความคิดตดิ ตวั

ความคิดทุกชนิดมาจากประสบการณ์ ทฤษฎีทีว่ า่ ความคดิ หรือหลักการบางอยา่ งท่มี นุษยเ์ ขา้ ใจ ติดตัว
มนุษย์มาแล้วแตแ่ รกเกิดนัน้ เป็นเพียงความเหน็ ทีก่ ำหนดข้ึนระหว่างคนบางคน ลอ็ คคิดว่าความเห็นเช่นน้ีเป็น
อันตรายถา้ มีผูน้ ำไปใช้ในทางท่ผี ิด ลอ็ คพยายามชใี้ หเ้ หน็ คำสอนเร่ืองความคิดติดตัวมาแตเ่ กดิ นเี้ ป็นความเช่ือท่ีไร้
พ้ืนฐานท่นี า่ เชอื่ ถอื เป็นอคตหิ รอื ความเหน็ ไมใ่ ชค่ วามรู้ ล็อคเหน็ ว่า ความคดิ ติดตวั เป็นสงิ่ ท่ีเกินความจำเป็น
ลอ็ คเช่อื มัน่ วา่ ไมม่ อี ะไรทเี่ ขาสามารถอธบิ ายไดใ้ นรูปทวี่ า่ ตน้ กำเนิดของความรู้นนั้ มาจากประสบการณ์

ความคิดเชิงเดย่ี วและความคิดเชิงซ้อน

ความรคู้ อื การคน้ พบวตั ถุทที่ ำใหเ้ กดิ ความรจู้ ติ เปรยี บเหมอื นกระดาษขาว ไม่มีความคดิ ใดๆ อยู่ก่อนเลย
ความคดิ เหตุผล และความรไู้ ด้มาจากประสบการณเ์ ท่านนั้ ประสบการณแ์ บ่งเป็นสองอยา่ งคอื ประสบการณท์ าง
ประสาทสมั ผัสหรือผสั สะ และประสบการณจ์ ากการไตรต่ รอง

ผัสสะคือ แหล่งกำเนดิ ทางความคดิ ที่ใหญ่ทีส่ ดุ ท่เี รามี ประสบการณค์ ือ การไตร่ตรองซงึ่ เป็นกิจกรรมของ
จิต ทที่ ำให้เกิดความคิด โดยการให้ความสนใจต่อความคิดทีไ่ ดม้ าโดยประสาทสมั ผสั ความคดิ ของมนุษยท์ งั้ หมด
สามารถสืบสาวได้ว่า ไม่มาจากผสั สะก็ตอ้ งมาจากการไตรต่ รอง และความคิดเหลา่ น้ี ถา้ ไม่เปน็ ความคดิ เชงิ เดี่ยว
กต็ ้องเปน็ ความคิดเชงิ ซอ้ น

- ความคดิ เชงิ เด่ยี ว เกดิ จากวัตถุทีเ่ ปน็ ต้นกำเนดิ ของความรู้ ประสาทสัมผสั รบั มาและผ่านเข้าไปในจิตใน
ลักษณะท่ีเปน็ หน่วยเดียวเกิดความคดิ เก่ยี วกับวตั ถหุ รือภาพของวตั ถนุ ัน้ ขนึ้ ในจิตของเรา เช่น ดอกมะลิสี

ขาวกลนิ่ หอม แตค่ วามคดิ ทีเ่ กดิ ข้นึ กเ็ ปน็ เพยี งความคดิ เดยี วคอื ความคิดเกีย่ วกบั ดอกมะลิ ไม่ใชค่ วามคิด
ที่แยกเป็นความขาวและความหอม
- ความคิดเชิงซอ้ น ไมใ่ ชส่ ง่ิ ทีจ่ ติ รับมาโดยตรงจากวตั ถภุ ายนอกแตเ่ ป็นความคิดเชิงเดยี่ วท่ีจติ นำมารวมกัน
เขา้ คอื การเชื่อมโยงความคดิ การนำความรู้มาอยดู่ ้วยกัน และการทำความคดิ ใหเ้ ป็นสากล เชน่ จิตรวม
เอาความคิดเก่ียวกับความขาว ความแขง็ และความหวาน มาสร้างเป็นความคดิ เชงิ ซอ้ นขึ้นเป็นก้อ น
นำ้ ตาล จติ นำเอาความคดิ ตา่ งๆ มาอยู่ด้วยกนั

คุณสมบตั ปิ ฐมภูมแิ ละทตุ ยิ ภูมิ

ลอ็ คแยกคณุ สมบัตอิ อกเป็นสองชนดิ คือคณุ สมบตั ปิ ฐมภูมิกับคุณสมบตั ิ คณุ สมบัติปฐมภมู ิคอื คุณสมบัตทิ ี่
มอี ยจู่ รงิ ๆ ในวตั ถุ ความคดิ ทเ่ี กดิ จากปฐมภมู ิจะเหมอื นกบั คณุ สมบตั นิ ้นั ๆ ในวตั ถุ กอ้ นหมิ ะทีเ่ ราดูวา่ กลมมนั กก็ ลม
จริง ๆ กำลงั เคล่ือนไหว กเ็ คล่ือนไหวจรงิ คณุ สมบัติทตุ ิยภมู ิเปน็ คุณสมบตั ิทเี่ กดิ ขึ้นในจติ ของเรา แตไ่ ม่มอี ยใู่ นตัว
วตั ถุ เรามคี วามคดิ เก่ยี วกับเยน็ เมื่อเราสมั ผัสสะหมิ ะ และความคิดเกย่ี วกับขาว เมื่อเราเหน็ หิมะ แต่ไม่มีความขาว
ความเยน็ ในกอ้ นหมิ ะ

- คณุ สมบตั ปิ ฐมภมู หิ รือคณุ สมบตั ิทเี่ ป็นของวัตถุ ไดแ้ ก่ ความแข็ง การกินที่ รูปทรง การเคลอ่ื นไหว หรือ
การอยนู่ ่ิง และจำนวน

- คณุ สมบัตทิ ุติยภมู ิ ไดแ้ ก่ สี เสียง รส กลิ่น ไมไ่ ด้เปน็ ของวตั ถุหรอื สว่ นประกอบของวตั ถุ เปน็ เพียงอำนาจ
ท่ีทำใหเ้ กดิ ความคิดในตวั เรา

สาร

ล็อคถือวา่ สารประกอบขึน้ เปน็ วตั ถทุ ีเ่ ราสามารถรับรไู้ ด้ทางประสาทสมั ผสั สารมสี องชนิด คือ วตั ถุกบั จิต

ความแนน่ อนของความรู้

ความรู้ได้มาจากความคดิ ความรู้เกดิ ได้ 3 ระดับคอื

- ความร้จู ากอัชฌตั ตกิ ญาณ เปน็ ความร้ทู ีเ่ หน็ แจ้งได้ทันที แนน่ อน ไมเ่ ปน็ ท่สี งสยั ไมต่ ้องพสิ ูจน์ เช่น วงกลม
ไม่ใชส่ ่ีเหลี่ยม หรือ 6 ไมใ่ ช่ 9 เปน็ ต้น

- ความรู้จากเหตุผล เกดิ จากการพยายามคน้ หาความเขา้ กันไดห้ รือไม่ได้ของความคิด ความคดิ 2 เรื่อง เขา้
กนั ได้โดยมกี ารคดิ เรื่องที่ 3 เปน็ ตวั กลางสำหรบั เปรียบเทียบความคิดที่ 3 น้ี เป็นสง่ิ ทีเ่ ห็นจริงแล้ว อาจได้
จากประสบการณโ์ ดยตรงหรือเป็นส่ิงทพี่ ิสูจน์มาแลว้ จนเชื่อถือได้ ความรู้ที่ตอ้ งอาศัยความรู้อื่นเป็น
ตวั กลางหรือเปน็ ส่อื เรยี กว่า ความรู้จากการอา้ งเหตุผล

- ความรู้จากประสาทสมั ผัส เปน็ ความรทู้ ่ีมคี วามแนน่ อนนอ้ ยทส่ี ดุ โลกภายนอกเปน็ สิ่งที่มีอยู่แต่ความรู้
เก่ียวกับโลกภายนอกเปน็ สิ่งไมแ่ น่นอน และหาขอบเขตจำกัดไดย้ าก

ความรู้จากอชั ฌตั ตกิ ญาณทำใหเ้ รารูว้ ่าตวั เรามอี ยอู่ ย่างแน่นอน ความรจู้ ากเหตุผลแสดงใหเ้ หน็ วา่ พระเจ้า
มีอยู่ และความรูจ้ ากประสาทสมั ผสั ทำให้เรามัน่ ใจว่า ตัวตน และสิง่ อืน่ ๆ มีอยู่ แตม่ อี ยู่เท่าท่มี ันปรากฏแก่เรา
ขณะเรามีประสบการณต์ อ่ มัน

จริยศาสตร์

ลอ็ คไมเ่ ห็นด้วยท่ีวา่ กฎทางศลี ธรรมเปน็ กฎสากลและฝงั ลึกอยู่ในมโนธรรมตงั้ แตเ่ กดิ เราไดร้ บั กฎเกณฑ์
เหลา่ น้ีจาก การศกึ ษา ส่ิงแวดล้อม และขนบธรรมเนยี มประเพณี

มนุษย์โดยธรรมชาติจะแสวงหาความสขุ หรือความพอใจและหลีกเลีย่ งความทกุ ข์หรอื ความเจ็บป วด
ลอ็ คกล่าววา่ ส่งิ ท่ีเราเรยี กว่าดี คือสิ่งท่ีทำให้เกิดหรือเพิม่ ความพอใจ สง่ิ ทช่ี ว่ั คอื สิง่ ที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด
เป็นเคร่ืองวดั เปน็ ความคดิ ท่ีเรยี กกนั โดยท่ัวไปว่า รตินิยม (Hedonism)

ล็อคคดิ ว่า มนษุ ยม์ เี หตุผลเพยี งพอท่ีทำใหค้ น้ พบแบบอย่างของการประพฤติปฏิบตั ติ น เพื่อก่อให้เกิด
ความสขุ ความพอใจตอ่ สว่ นรวม แบบอยา่ งอนั น้กี ค็ อื กฎท่มี นุษยจ์ ะต้องกระทำตาม ลอ็ คแบง่ กฎออกเป็น 3 ชนิดคือ
กฎแห่งความเห็น กฎของประชาชน และกฎของพระเจา้ กฎทั้ง 3 น้ี มคี วามสัมพันธก์ นั

กฎแห่งความเห็น เปน็ การกำหนดข้นึ ของสงั คม ว่ามนษุ ยต์ ้องประพฤตอิ ยา่ งไรจงึ จะมคี วามสขุ คือเป็น
ความเหน็ ของคนส่วนใหญใ่ นสังคม การปฏบิ ตั ิตามกฎน้ไี ด้ถอื ว่ามีคุณธรรมและคณุ ธรรมของแตล่ ะสงั คมจะแตกตา่ ง
กันไปตามกฎท่ีสังคมนนั้ ๆ กำหนดขนึ้

กฎของประชาชน เปน็ กฎท่กี ำหนดข้นึ โดยรัฐและบังคบั ใช้โดยศาลและกฎอันนี้มแี นวโน้มท่จี ะเดนิ ตา มกฎข้อ
แรก

กฎของเทพเจา้ เป็นกฎที่มนษุ ยจ์ ะรู้ได้กโ็ ดยเหตุผลของตนเองหรือโดยการเปดิ เผยของพระเจา้ เป็นกฎ
ทเ่ี ปน็ จริงเพ่ือเปน็ จริงเพือ่ เปน็ หลักในการประพฤติปฏิบัตขิ องมนษุ ย์ กฎของประชาชนควรจะต้องกำหนดใหค้ ลอ้ ย
ตามกฎของพระเจา้

ปรัชญาการเมือง

ล็อคเริ่มต้นทฤษฎกี ารเมอื งของเขาเหมือนกับฮอบส์ คือเริม่ จากการกลา่ วถึง ธรรมชาติของมนุษย์
และสภาวะธรรมชาติ สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ทกุ คนมเี สรภี าพอย่างสมบรู ณ์คนสามารถกระทำตามที่ตนเลอื ก
ภายในขอบเขตทก่ี ฎธรรมชาติกำหนดไว้ สภาวะธรรมชาตเิ ป็นสภาวะทท่ี กุ คนมคี วามเสมอภาคมสี ทิ ธเิ ทา่ เทียมกัน
ไม่มผี ้ใู ดมีสทิ ธแิ ละอำนาจมากกว่าผ้ใู ดนเ่ี ป็นสิทธติ ามธรรมชาติ เป็นสทิ ธิท่มี ีอยกู่ ่อนการเกิดของสังคมการเมือง
คนเสมอภาคกนั ในแง่ของสทิ ธิ ไม่ใชเ่ สมอกนั ในความสามารถ

มนษุ ย์มีความจำเป็นตอ้ งเขา้ มารวมกันเป็นสงั คมการเมืองและจดั ต้งั รฐั บาลขน้ึ โดยการรวมกนั ในลกั ษณะเป็น
สัญญาประชาคม

สญั ญาประชาคมของล็อคมสี องลกั ษณะคอื เปน็ สญั ญาระหว่างปัจเจกชนที่มารวมกันเป็นสงั คม สัญญานี้
ไมม่ กี ารบงั คับเปน็ การยินยอมพรอ้ มใจของบคุ คลยอมสละสทิ ธแิ ละเสรีภาพในสภาวะธรรมชาติบ างป ระก าร
เพอื่ ให้เกิดประชาคมโดยหวงั จะทำใหก้ ารดำรงชีวิตสะดวกสบาย ปลอดภยั และสงบสุขยง่ิ ขึน้

การปกครองสงั คมนน้ั จะตอ้ งเปน็ ไปตามเสียงข้างมาก เพราะเสยี งขา้ งมากนั้นสะท้อนให้เหน็ เจตจำนงของคน
ส่วนใหญ่ในสงั คม

ล็อคเห็นว่า รฐั บาลจะต้องให้ความคมุ้ ครองสิทธิในทรพั ย์สินสว่ นตัวของบคุ คล ซ่งึ เป็นส่งิ ท่ีโอนให้ใครไมไ่ ด้
และปกป้องสทิ ธเิ สรีภาพของบุคคลใหพ้ น้ จากอำนาจทางการเมือง นั่นคอื รัฐบาลจะเข้าไปก้าวกา่ ยสิทธิเสรภี าพส่วน
บคุ คลเกนิ กว่าท่ีประชาชนไดย้ อมสละให้แล้วไม่ได้ความคิดทางการเมืองของล็อค มีอทิ ธิพลในทาปฏบิ ัติไม่น้อย
ความคิดเรอื่ งสิทธใิ นทรพั ยส์ นิ ส่วนอิทธพิ ลตอ่ การปฏวิ ตั ิในฝรงั่ เศสและอเมรกิ า

3.บารอน เดอ มองเตสกเิ ออ (Baron de Montesquieu : ค.ศ.1689 - 1755)

ชาร์ล-หลุยส์ เดอ เซอกงดา บารอนแห่งลาแบรดและมงแต็สกีเยอ (ฝรั่งเศส: Charles-Louis de
Secondat, baron de La Brède et de Montesquieu) ห รื อ รู้จัก ก ันใ นช ื่อ มง แ ต ็ส ก ีเย อ ( ฝ รั่ง เศส:
Montesquieu) เป็นนกั วิพากษส์ ังคมและนักคดิ ทางการเมอื งชาวฝร่งั เศสผ้มู ีชวี ิตอยใู่ นยคุ เรอื งปัญญา มชี ่ือเสียง
เก่ียวกบั ทฤษฎกี ารแบ่งแยกอำนาจท่ีพูดถงึ ในการปกครองสมัยใหมแ่ ละใชใ้ นรัฐธรรมนูญในหลายประเทศ และเป็น
ผูท้ ท่ี ำให้คำวา่ ระบบเจา้ ขุนมลู นายและจักรวรรดไิ บแซนไทน์ใช้กันอย่างแพรห่ ลาย
ประวัติ

ชารล์ -หลุยส์ เดอ เซอกงดา เกดิ ณ ปราสาทลาแบรด ในภาคตะวันตกเฉียงใตข้ องฝรง่ั เศส บิดามีนาม
ว่าฌัก เดอ เซอกงดา เป็นนายทหารซ่ึงเกิดในตระกูลผูด้ ี ย่าของชารล์ นามว่ามารี -ฟร็องซวซ เดอ แปส็ แนล
ซึ่งเสียชวี ิตเมื่อบดิ าของชาร์ลมอี ายุได้เพียง 7 ขวบ เปน็ ผู้รับมรดกทางการเงินก้อนใหญแ่ ละเป็นผู้ทำให้ต ระกูล
เซอกงดาได้รับบรรดาศักดิ์ ลาแบรด ของขุนนางบารอน ภายหลังได้เข้ารับการศึกษาจากวิทยาลัยคาทอลกิ
แห่งฌุยยี ชาร์ลได้แตง่ งานกบั หญิงชาวโปรเตสแตนตน์ ามวา่ ฌาน เดอ ลารต์ กี ซ่ึงไดม้ อบสินสอดให้แก่ชารล์ เมอ่ื เขา
อายุได้ 26 ปี ในปีถัดมาชาร์ลได้รับมรดกจากการที่ลุงของเขาที่เสียชีวิตลงและยังได้รับบรรดาศักด์ิ
บารงเดอมงแต็สกเี ยอ รวมถึงตำแหน่ง เพรซดี อ็ งอามอร์ตเี ย ในรัฐสภาเมืองบอร์โดอกี ด้วย ในช่วงเวลานี้เอง
ทอ่ี งั กฤษประกาศวา่ ตนเองเปน็ ประเทศราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนญู ซึง่ เป็นช่วงหนึ่งของการปฏวิ ตั ิอันรุ่งโรจน์
(ค.ศ.1688 - 1689) และได้รวมเข้ากับสกอตแลนด์จากพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 ในการก่อต้ัง
ราชอาณาจักรบรเิ ตนใหญ่ ถดั มาในปี ค.ศ.1715 พระเจา้ หลยุ สท์ ี่ 14 ผู้ทรงครองราชยม์ าอย่างยาวนานสว รรคต
และไดร้ บั การสืบทอดราชบลั ลังก์โดยโอรสพระชนมายุ 5 พรรษา พระเจ้าหลุยสท์ ี่ 15 การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ
ของชาตคิ รั้งนเ้ี องทีม่ ผี ลอยา่ งมากต่อตัวของชาร์ล และกษัตรยิ ท์ ั้งสองพระองค์นีจ้ ะถูกกลา่ วถงึ ในงานเขีย นของ
ชารล์ มากมายในเวลาต่อมา

เวลาต่อมาเพียงไม่นานเขาก็ประสบความสำเร็จทางด้านวรรณกรรมจากการตีพิมพ์ แล็ทรแ์ ปร์ซ าน
(จดหมายเหตเุ ปอร์เซีย - ค.ศ.1721) งานเขยี นเสียดสซี งึ่ สมมติถงึ ชาวเปอร์เซยี ผเู้ ขยี นจดหมายตอบโ ต้ระหว่าง
เดินทางมายงั ปารีส ชใี้ ห้เหน็ ถึงความไรส้ าระของสังคมรว่ มสมัย ต่อมาเขาได้ตพี มิ พ์ กงซเี ดราซยี ง ซูร์ เล โกซ เดอ
ลา กร็องเดอร์ เด รอแมง็ เอ เดอ เลอร์ เดกาดอ็ งส์ (ขอ้ ควรพิจารณาเก่ียวกับความยงิ่ ใหญแ่ ละความเสอ่ื มถอยของ
ชาวโรมนั - ค.ศ. 1734) ซึ่งนกั วชิ าการบางกลุ่มมองว่าเป็นผลงานทีเ่ ชอ่ื มระหว่าง แล็ทรแ์ ปรซ์ าน กับผลงานชน้ิ เอก
ของเขา เดอแล็สพรเี ดลัว (จิตวิญญาณแห่งกฎหมาย) ซ่งึ แต่แรกในปี ค.ศ.1748 ถูกตพี มิ พ์โดยไม่ระบุช่ือผู้เขียน
และไดก้ ลายมาเป็นงานเขียนซ่ึงมอี ทิ ธิพลมหาศาลต่อสงั คมภายในเวลาอันรวดเรว็ ในฝร่ังเศสการตอบรับต่องาน
เขียนน้ไี มค่ อ่ ยจะเป็นมติ รมากนกั ทั้งฝ่ายสนบั สนุนและฝ่ายต่อต้านระบอบการปกครองปจั จุบนั ในปี ค.ศ. 1751
โบสถ์คาทอลิกทัว่ ประเทศประกาศหา้ มเผยแพร่ แล็สพรี - รวมไปถึงงานเขียนช้นิ อ่นื ของมงแตส็ กเี ยอ-และถกู บรรจุ
อยใู่ นรายชอ่ื หนังสือต้องห้าม แต่ในส่วนอ่ืนของยุโรปกลับไดก้ ารตอบรบั อยา่ งสูงโดยเฉพาะในสหราชอาณาจกั ร

มงแตส็ กเี ยอได้รับการยกย่องอยา่ งสูงจากอาณานิคมขององั กฤษในอเมรกิ าเหนือ ในฐานะผู้สนับสนุน
เสรีภาพแบบองั กฤษ (แมจ้ ะไมใ่ ชผ่ ้สู นับสนนุ เอกราชของอเมริกา) นักรฐั ศาสตร์ โดนลั ด์ ลตุ ซ์ พบว่ามงแต็สกเี ยอคอื
บุคคลทางรฐั ศาสตร์และการเมืองทถ่ี กู เอย่ ถงึ มากทส่ี ดุ บนแผ่นดินอเมริกาเหนือชว่ งก่อนเกิดการปฏิวัติอ เมริกา
ซงึ่ ถูกอา้ งอิงมากกว่าแหลง่ อ่นื ๆ โดยผูก้ ่อต้งั สหรัฐอเมริกา เป็นรองกแ็ ตเ่ พยี งคัมภีร์ไบเบิลเทา่ น้ัน ตามมาด้วย
การปฏวิ ัติอเมริกา งานเขยี นของมงแต็สกเี ยอยังคงมีอทิ ธิพลอยา่ งสงู ตอ่ เหลา่ ผู้ก่อต้งั สหรัฐอเมรกิ า โดยเฉพาะเจมส์
แมดิสนั แหง่ เวอร์จิเนยี , บดิ าแห่งรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมรกิ า ปรัชญาของมงแตส็ กเี ยอทีว่ า่ “รัฐบาลควรถูกจดั ต้ังข้ึน
เพอ่ื ท่จี ะได้ไม่มีมนุษย์ผใู้ ดระแวงกันเอง” ไดย้ ้ังเตอื นแมดสิ นั และผูอ้ ืน่ ในคณะวา่ รากฐานท่ีเสรีและมนั่ คงของรัฐบาล
แหง่ ชาตใิ หม่นน้ั จำเปน็ จะตอ้ งมกี ารแบ่งแยกอำนาจทถี่ ว่ งดลุ และถกู กำหนดกฎเกณฑ์ไวอ้ ยา่ งชดั เจน

นอกจากการประพันธง์ านเขยี นเก่ยี วกบั การเมืองและสังคมแล้ว มงแต็สกีเยอยังใชเ้ วลาหลายปีในการ
เดนิ ทางไปท่วั ยโุ รป เช่น ออสเตรยี และฮังการี ใช้ชีวติ หน่ึงปีเต็มในอิตาลีและอีก 18 เดอื นในอังกฤษ ก่อนทีเ่ ขาจะ
กลบั มาพำนกั ในฝรั่งเศสอกี ครัง้ เขาทุกข์ทรมานจากสายตาท่ยี ำ่ แยล่ งจนกระท่ังบอดสนทิ ในช่วงที่เขาเสยี ชีวติ จาก
อาการไขส้ ูงในปี ค.ศ.1755 มงแต็สกเี ยอถกู ฝัง ณ สุสานของโบสถ์แซง็ -ซลู ปสิ ในกรุงปารสี

ปรัชญาแห่งประวตั ศิ าสตร์

หลกั ปรัชญาแห่งประวตั ิศาสตร์ของมงแตส็ กีเยอไดล้ ดบทบาทของเหตุการณ์ย่อยและปจั เจกบุคคลลง
ซ่ึงเขาได้อธิบายทรรศนะนไี้ วใ้ น กงซเี ดราซยี ง ซูร์ เล โกซ เดอ ลา กรอ็ งเดอร์ เด รอแมง็ เอ เดอ เลอร์ เดกาด็องส์
ว่าเหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตรแ์ ต่ละคร้ังลว้ นแล้วแต่ถกู ขบั เคลอ่ื นโดยกระบวนการความเป็นไปของโลก

มันไม่ใช่โชคชะตาที่กำหนดความเป็นไปของโลก ถามชาวโรมนั สิ, ผซู้ งึ่ ประสบกบั ความสำเร็จสืบเนื่องกัน
หลายครง้ั หลายคราในช่วงทพ่ี วกเขาถกู ชกั นำโดยแผนการอั นชาญฉลาด ในทางกลบั กัน, พวกเขาก็เผชิญกับ
เหตุการณเ์ ลวร้ายและความเส่ือมถอยเมือ่ ดำเนนิ ตามอกี แผนการหนึง่ มนั อธิบายไดว้ า่ มีสาเหตทุ ่ัวไปท้ังทางด้าน
ศลี ธรรมและรูปธรรมซ่ึงส่งผลตอ่ กษัตริยโ์ รมนั ทกุ พระองค์ ท้งั การยกระดบั บารมี, การดำรงอยู่ของพระราชอำนาจ
หรอื แม้แตก่ ารทำใหพ้ ระบารมขี องกษัตรยิ เ์ องนั้นตกต่ำจรดดิน แมแ้ ต่อบุ ตั ิเหตุเองกถ็ กู ควบคมุ โดยสาเหตตุ วั แปร

เหล่านี้ และถา้ หากการรบเพียงคร้ังเดยี ว (ซึง่ เป็นสาเหตุ) ไดน้ ำพารฐั ไปสคู่ วามล่มสลาย กจ็ ะอธบิ ายไดว้ ่าเหตุผล
โดยทวั่ ไปเป็นตวั ทที่ ำใหป้ ระเทศน้ันถึงกาลสูญสิ้นจากการรบครั้งนั้น ทำใหแ้ นวโน้มความเปน็ ไปของโลกจึงถูก
รงั สรรคข์ ึ้นจากเหตุการณท์ ่ีอุบตั สิ บื เน่ืองตอ่ ๆ กนั มา

ในข้ออภปิ รายเรื่องการเปล่ียนแปลงการปกครองของโรมันจากสาธารณรฐั ไปสูจ่ กั รวรรดิ มงแตส็ กเี ยอได้
ใหข้ อ้ สังเกตไวว้ ่า หากจูเลียส ซซี าร์ และปอมเปยไ์ มไ่ ด้กระตอื รือร้นที่จะช่วงชิงอำนาจจากรฐั บาลสาธารณรัฐแล้ว
อยา่ งไรก็ดีจะตอ้ งมีบคุ คลผอู้ ่นื มากระทำการนแี้ ทนเขาสองคนอยา่ งแนน่ อน ช้ใี หเ้ ห็นว่าต้นเหตขุ องการเปล่ียนแปลง
นี้ไมใ่ ชเ่ กดิ จากตวั จูเลียส ซีซาร์ และปอมเปย์ หากแตเ่ กิดจากความทะเยอทะยานของมนษุ ยช์ าวโรมันนัน่ เอง

ทรรศนะทางการเมอื ง

มงแตส็ กเี ยอถอื ว่าเปน็ หนง่ึ ในนักปรชั ญาแถวหน้าของมานุษยวทิ ยาร่วมกับเฮโรโดตุสและแทซิทัส ท่ีเป็น
หนึง่ ในบคุ คลกลุ่มแรก ๆ ของโลกทต่ี แี ผข่ อ้ เปรยี บเทียบของกระบวนการจำแนกรปู แบบทางการเมืองใ นสังคม
มนุษย์ อนั ท่ีจรงิ แล้วนกั มานษุ ยวิทยาการเมืองชาวฝร่ังเศสทชี่ ่อื วา่ ยอร์ช บาล็องดิแยร์ พิจารณามงแต็สกีเยอวา่ เป็น
“ผ้รู ิเรม่ิ องคก์ รทางวทิ ยาศาสตรท์ ่คี ร้ังหนึ่งเคยมีสว่ นสำคัญอย่างมากตอ่ วงการมานษุ ยวิทยาทางวัฒนธ รรมและ
สงั คม” ตามคำกลา่ วอ้างของดี.เอฟ. โพคอค นกั มานษุ ยวิทยาทางสงั คม “จติ วิญญาณของกฎหมายของมงแต็สกี
เยอคือความพยายามครั้งแรกในการทีจ่ ะสำรวจความหลากหลายของสังคมมนุษย์ , เพื่อท่ีจะจำแนกและ
เปรยี บเทียบ และเพื่อศกึ ษาระบบการทำงานระหวา่ งสถาบนั ในสงั คม” และหลกั มานุษยวิทยาทางการเมืองนเ้ี องได้
นำเขาไปส่กู ารคิดคน้ ทฤษฎีว่าดว้ ยรัฐบาลในเวลาต่อมา

ผลงานเขยี นที่มอี ิทธิพลมากที่สุดของเขาได้แบง่ แยกฝรัง่ เศสออกเปน็ สามชนชั้นได้แก่ พระเจ้าแผ่นดิน ,
อภสิ ิทธิช์ น และราษฎร แลว้ เขายงั มองเหน็ รปู แบบอำนาจของรัฐออกเปน็ สองแบบคืออำนาจอธิปไตยและอำนาจ
บรหิ ารรฐั กจิ ซ่ึงอำนาจบรหิ ารรฐั กิจประกอบดว้ ยอำนาจบริหาร, อำนาจนติ บิ ัญญัติ และอำนาจตุลาการ โดยแตล่ ะ
อำนาจควรเป็นอิสระและแยกออกจากกัน ทำใหอ้ ำนาจใดอำนาจหนึ่งไมส่ ามารถก้าวก่ายอกี สองอำนาจทเ่ี หลอื หรอื
รวมกนั เปน็ อำนาจเบด็ เสร็จได้ หากพิจารณาในแบบยุคสมยั ของมงแตส็ กีเยอแลว้ แนวคิดนจี้ ะถกู พจิ ารณาว่าเป็น
แนวคดิ หวั รุนแรง เพราะหลกั การของแนวคดิ ดงั กล่าวเทา่ กับเปน็ การลม้ ลา้ งการปกครองของฝรั่งเศสในสมัยนั้นท่ี
ยดึ ถอื ฐานันดรแหง่ ราชอาณาจักรอยา่ งส้นิ เชิง โดยฐานันดรแหง่ รัฐประกอบด้วยสามฐานนั ดรคอื เคลอจี, อภสิ ทิ ธ์ิ
ชนหรือขุนนาง และประชาชนท่วั ไป ซ่งึ ฐานนั ดรสดุ ท้ายมีผแู้ ทนในสภาฐานนั ดรมากท่สี ุด และทา้ ยที่สุดแนว คดิ นจ้ี ะ
เป็นแนวคิดทท่ี ำลายระบบฟิวดัลในฝรั่งเศสลง

ขณะเดียวกนั มงแต็สกเี ยอไดอ้ อกแบบรปู แบบการปกครองออกเป็นสามแบบ ซ่งึ แต่ละรูปแบบถกู สนบั สนนุ
ด้วย หลกั การทางสังคม ของตัวมนั เอง ไดแ้ ก่

- ราชาธปิ ไตย (รัฐบาลอสิ ระท่ีมปี ระมขุ เป็นบคุ คลจากการสืบตระกูล เชน่ กษัตริย์, จักรพรรดิ หรือราชินี)
เปน็ ระบอบท่ยี ึดถือบนหลกั การของเกยี รตยิ ศ

- สาธารณรัฐ (รฐั บาลอิสระทมี่ ปี ระมุขเปน็ บคุ คลที่ได้รบั เลอื กจากเสยี งสว่ นใหญ่ของประชาชน) เป็นระบอบ
ที่ยึดถือบนหลักการของคุณธรรม

- เผด็จการ (รฐั บาลกดขีท่ ม่ี ปี ระมุขเป็นผูน้ ำเผด็จการ) เป็นระบอบทย่ี ึดถอื บนหลกั การของความยำเกรง

ซ่ึงรฐั บาลอิสระจะขนึ้ อยู่กับการเตรียมการทางกฎหมายอนั เปราะบาง มงแตส็ กเี ยอได้อทุ ศิ เน้อื หาส่ีบทใน
จติ วญิ ญาณแหง่ กฎหมาย ในการอภปิ รายประเทศองั กฤษ ซึง่ เปน็ ประเทศรัฐบาลอิสระรว่ มสมยั ท่ซี ึ่งเสรภี าพคงอยู่
ได้ดว้ ยการถ่วงดุลอำนาจ และมงแตส็ กเี ยอยงั กังวลว่าอำนาจในฝรั่งเศสที่อยกู่ ึง่ กลาง (เช่น ระบบขนุ นาง) ทีท่ ดั ทาน
กับอำนาจของราชวงศ์นนั้ กำลังเส่อื มสลายลง แนวคิดการควบคมุ อำนาจนเี้ องทบ่ี อ่ ยครงั้ มักถกู นำไปใชโ้ ดยมักซีมี
เลียง รอแบ็สปีแยร์

อาจกล่าวไดว้ ่าแนวคิดทม่ี งแต็สกีเยอระบุไว้ในจิตวญิ ญาณแหง่ กฎหมายในการสนับสนนุ การปฏิรูประบบ
ทาสนัน้ คอ่ นข้างจะล้ำหนา้ กว่ายคุ สมัยที่เขามชี ีวติ อยู่ เขายังได้นำเสนอข้อโต้แย้งสมมตเิ ชิงเสยี ดสเี กยี่ วกบั ความเปน็
ทาสซึง่ เป็นสว่ นหน่ึงในขอ้ สนบั สนุนของเขาไว้ดว้ ย อย่างไรกด็ ีทรรศนะของมงแต็สกเี ยอหลายหัวขอ้ อาจถูกโต้แยง้
และถกเถียงในปัจจบุ ันเช่นเดียวกับทรรศนะอน่ื ๆ ท่มี าจากบคุ คลยคุ เดยี วกบั เขา เขายอมรับถงึ บทบาทของตระกลู
ขนุ นางและราชวงศไ์ ว้อย่างเหนยี วแน่นเชน่ เดียวกันกบั การยอมรบั ถึงสทิ ธิของบตุ รหวั ปี ในขณะเดียวกันเขาก็
รับรองแนวคิดของการมสี ตรีเปน็ ประมุขของประเทศ แตก่ ็ไมม่ ปี ระสิทธิภาพพอท่ีจะเปน็ หวั หนา้ ครอบครัวได้

4.วอลแตร์ (Voltaire : ค.ศ.1694 - 1778)

ฟร็องซัว-มารี อารเู อ (ฝร่ังเศส: François-Marie Arouet) หรอื เปน็ ที่ร้จู กั กนั ในนามปากกาว่า วอลแตร์
(ฝรงั่ เศส: Voltaire) เป็นปราชญ์, นักเขยี น และนกั ประวตั ศิ าสตรใ์ นยุคเรืองปญั ญาของฝร่ังเศส เขาเป็นผโู้ จมตีการ
จดั ตงั้ ศาสนจกั รคาทอลิกในฝร่งั เศส และยงั สนับสนุนเสรีภาพทางศาสนา, เสรีภาพในการพดู และยังผลกั ดันให้มี
การแบ่งแยกศาสนจกั รออกจากรัฐ
ประวตั ิ

วอลแตร์ เปน็ นักปรัชญาเหตผุ ลนิยมชาวฝรั่งเศส ผลงานทส่ี ร้างชื่อใหว้ อลแตร์นั้นคอื จดหมายปรัชญา
(Les Lettres philosophiques หรือ Lettres anglaises) เนือ้ หาเลา่ ถึงสังคมองั กฤษท่ีเตม็ ไปดว้ ยเสรภี าพในการ
นบั ถือศาสนา ความสมดลุ ของอำนาจทางการเมือง สภาพปลอดอภสิ ทิ ธใิ นทีด่ นิ ความเสมอภาคในการเสียภาษี
ฯลฯ ซงึ่ ส่ิงเหล่านีล้ ้วนตรงกนั ขา้ มกับสภาวะที่เป็นอยใู่ นฝร่งั เศสขณะนนั้ โดยทีว่ อลแตร์ไดส้ อดแทรกเนือ้ หาเกย่ี วกบั
การเอารัดเอาเปรียบประชาชนของระบอบศกั ดินาเอาไว้บางตอนว่า เจา้ และพระเป็นคนสว่ นนอ้ ยแต่เปน็ ผู้ชุบมือ
เปิบ สามัญชนอนั เป็นคนจำนวนมากท่สี ดุ มีคณุ ธรรมทส่ี ุด และควรแก่การเคารพยกยอ่ งที่สดุ แตไ่ รเ้ กยี รติ เปน็ ต้น
เขาชกั ชวนให้ประชาชนใช้หลักเหตุผลในการวิเคราะห์ส่ิงต่างๆ ทเ่ี กิดขน้ึ ในสงั คมสมัยนนั้ วอลแตร์จึงเปน็ นกั ปรชั ญา
อกี ผู้หนึง่ ท่มี อี ทิ ธพิ ลต่อการปฏิวัติฝร่งั เศสเปน็ อยา่ งมาก จากแนวคดิ ดงั กล่าวส่งผลให้เกดิ การเรียกร้องสิทธิของ
พลเมืองและการปฏิวตั ิตามมาในปี ค.ศ.1789

วอลแตรเ์ สียชีวติ ไปในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ.1778 ก่อนการปฏิวตั ใิ หญ่เพยี ง 1 ปี ขณะทีม่ ีอายุได้ 84 ปี
อัฐขิ องเขาถกู นำไปบรรจทุ ่ีมหาวหิ าร Panthéon (สถานทีแ่ หง่ เดียวกันกับสถานทเ่ี ก็บศพของ Jean Jacques
Rousseau) ในฐานะผู้ทปี่ ระกอบคุณอนันตใ์ หแ้ กป่ ระเทศฝรงั่ เศส

วอลแตร์ไมใ่ ชค่ นนอกของสงั คมฝรัง่ เศสในยคุ กอ่ นเจา้ ล่มสลาย แตเ่ ปน็ เน้ือในของระบอบเจ้าเช่นกัน
ครอบครัวของเขามพี อ่ เป็นนักกฎหมายใหญ่ และเปน็ นักกฎหมายชนดิ ทีย่ อมรบั ความอยตุ ิธรรมในขณะนั้นอย่าง
หน้าชน่ื ตาบาน เรียกได้อกี อยา่ งวา่ เป็นไพร่ท่ตี ิดสนั ดานไพรจ่ นคุ้นชนิ ใครจะมาปลดแอกปลดโซต่ รวนก็เอะอะว่า
เขามาสรา้ งปัญหาให้ จงึ เปน็ ไพร่ทกี่ อดตีนเจา้ ไวอ้ ยา่ งแนน่ หนา และเรียกสภาพอนั น่าอเนจอนาถน้นั ว่าความมั่นคง

แตว่ อลแตร์แตกต่างจากพ่อ พอ่ ส่งไปเรียนกฎหมายทก่ี รงุ ปารสี แกกแ็ อบเขียนหนังสอื ทัง้ วนั ทง้ั คืนและหลอกพ่อวา่
กำลงั ศกึ ษาวชิ ากฎหมาย วนั หน่งึ พอ่ จบั ได้ โกรธจนไมร่ ู้วา่ พดู อยา่ งไร ได้แต่ส่งตัวไปเรยี นกฎหมายในเขตชนบท
ห่างไกลอารยธรรม แกก็ยงั อตุ ส่าห์ไปหลงั ขดหลงั แขง็ เขยี นหนังสืออยทู่ ีน่ ัน่

พอ่ รู้เขา้ อกี ก็โกรธอีก คราวนี้ใช้เส้นสายสง่ ตวั ไปเปน็ เลขานุการอยู่ท่สี ถานเอกอัครราชทูตฝร่งั เศสประจำ
เนเธอรแ์ ลนด์ ทกุ อย่างทำท่าว่าจะเข้าท่ี วอลแตร์นกั ฝันก็ไปตกหลมุ รกั สาวสวยชาวฝรัง่ เศสที่ย้ายไปพำนักอย่ทู ี่นัน่
จนกลายเปน็ เรื่องออื้ ฉาว พอ่ ก็เลยส่ังให้เลิกกันและคุมตวั กลบั มาอยูใ่ นฝรัง่ เศสเหมือนเดิม แตพ่ อ่ ก็ราขอ้ ไปมาก เริม่
ยอมรับกบั ตัวเองเงียบๆ ว่าแรงผลักดันในตัวลกู ชายในอาชีพนกั เขยี นมันรนุ แรงจนเกนิ กำลงั ของตน วอลแตรก์ ็เลย
ก้มหนา้ กม้ ตาผลติ งานเขยี นและเขยี นมันทกุ แนวอย่างขยันขันแข็งเหลอื ท่จี ะกล่าว ตลอดชวี ติ เขาเขยี นหนังสือที่
ได้รับการพิมพ์ถึง 2,000 เล่ม จดหมายท่ีกลายมาเป็นแรงบนั ดาลใจในการปฏวิ ตั แิ ละปฏิรปู สังคมอกี กว่า 2,000
ฉบับ ยังไมน่ บั รวมงานย่อย ๆ ในรูปแผน่ พบั ใบปลวิ อีกมากมายจนเหลอื จะคณานบั เรยี กว่าเป็นงานเขยี นตลอดชวี ติ
ของเขา ไม่ว่าจะยากดีมจี น อยู่สบาย ๆ ท่บี ้านหรอื ถกู จองจำ หรอื แม้ถูกเนรเทศไปจากฝรั่งเศส เขากไ็ มเ่ คยหยุด
เขียนหนังสอื

งานของวอลแตร์ไมใ่ ชก่ ารสื่อสารการเมอื งท้งั หมด หรอื ไม่ใช่โดยตรงเสมอไป บางครง้ั ซอ่ นไว้ในรูปงาน
วิพากษ์สังคมและแม้กระทงั่ ขอ้ เขียนเชิงวทิ ยาศาสตร์ เขาใช้ทกั ษะอย่างสูงในการอธิบายแนวคิดยุ่งย ากสำห รับ
มนุษยท์ ่ัวไปใหก้ ลายเป็นเรื่องท่ียอ่ ยงา่ ย ใกลต้ ัว และบางคร้งั กส็ นกุ สนานรืน่ เรงิ ดว้ ย งานเขยี นบางเรื่องของวอลแตร์
จึงออกมาเป็นนวนิยาย บทละคร บทกวี และอ่นื ๆ สดุ แต่วา่ กลวธิ ใี ดจะเหมาะสมแกก่ ารสือ่ สารในเร่ือง น้ัน ๆ
หรอื ในหว้ งอารมณ์นน้ั ๆ ของคนเขยี น

งานเขียนเหลา่ นี้แหละที่กลายมาเปน็ เชอื้ เพลงิ แห่งการปฏิวัติ ขบวนการปฏวิ ตั ฝิ รัง่ เศสครั้งนั้นโชคดีตรง
ทว่ี า่ ชนชั้นปกครองท่ปี ระกอบด้วยเจา้ ศักดนิ า และอำมาตยก์ ็เลวเสยี จริง ๆ เสวยสขุ กนั อยา่ งหนา้ ด้านท่ามกลาง
ความลำบากเดอื ดรอ้ นของชาวฝรัง่ เศส วิถีชีวติ อนั หรหู ราของคนชัน้ บนไม่ได้ถูกซ่อนเร้นอยา่ งแนบเนียนเหมือนใน
บางสงั คมเลย หรอื แมแ้ ต่ความพยายามจะซ่อนเร้นกไ็ ม่มี วา่ ไปแลว้ ก็ต้องช้วี า่ ความประพฤตขิ องชนช้ันนำในฝรง่ั เศส
ยคุ นัน้ กลายเปน็ บทเรยี นของเจ้า ศกั ดินา และอำมาตยย์ คุ หลัง ๆ ความซบั ซ้อนของสงั คมมมี ากขึ้น เผด็จการซ่อน
รูปข้ึน การปฏวิ ัตกิ ็ยากลำบากขึน้

แนวคดิ ใหญข่ องวอลแตร์ต้ังอยบู่ นฐานของเสรภี าพพลเมือง (civil liberties) เขาถือวา่ คนเกิดมาอย่างเสรี
และมีเสรีภาพเปน็ อาภรณ์ประดบั ตัว รฐั หรอื รัฐบาลทม่ี อี ำนาจควบคุมมนุษยแ์ ละสงั คมเกดิ ขน้ึ ในภายหลงั กฎหมาย
หรือกฎเกณฑใ์ นการจดั ระเบียบสงั คมก็มาทีหลัง แมก้ ระทั่งสิทธิของพระ(คริสต์) ในการชี้นำความเชือ่ และความ
ศรัทธาทางศาสนาก็มาทหี ลงั งานเขียนของวอลแตร์จึงเน้นเสรีภาพอันสมบูรณ์ทั้งในทางการเมือง สังคม
และศาสนา ตอ่ มาเพิม่ เสรีภาพทางเศรษฐกิจเขา้ ไปดว้ ย สรุปว่าเขาไมม่ ีขอ้ ยกเวน้ ใดๆ ในเรอ่ื งเสรีภาพเลย

เรื่องนี้สำคญั นัก เพราะพวกเราบางคนเรยี กร้องให้มีเสรีภาพอันสมบูรณใ์ นทางการเมอื ง แต่เราลืมเสรีภาพ
ในรปู แบบอื่น ๆ อย่างเศรษฐกิจและสงั คม ทำให้เราก็เรยี กร้องประชาธิปไตยดว้ ยแนวคดิ ทแ่ี คบเกินไป แถมบางครง้ั

ยังเรียกร้องประชาธปิ ไตยแต่กลบั ใชว้ ถิ ขี องเผดจ็ การในองคก์ รหรอื วงศ์วานของตนเอง เหมอื นไลท่ รราชเดิมดว้ ยการ
สถาปนาระบอบทรราชใหม่ จนมวลชนตอ้ งออกมาขับไลก่ ันอีกอย่างไม่รูจ้ บ

วอลแตรม์ ีชีวิตลุม่ ๆ ดอน ๆ เพราะพ้นื ฐานจิตใจทเี่ ป็นกบฏทางสังคม และท้าดวลกบั ศตั รูทมี่ ีขนาดใหญ่
กวา่ ตวั เองมาก เมอื่ เขาเขยี นหนังสอื โจมตพี ฤตกิ รรมของศกั ดนิ าหนุ่มรายหนึ่งคือ เชอรว์ าลิเย่ เดอ โคฮนั เขากโ็ ดน
ลงโทษอย่างหนกั โดยพระบรมราชโองการโดยตรงจากกษตั รยิ ์หลยุ ส์ท่ี 15 สง่ ตวั ไปยังคุกบาสตลิ ล์โดยไมต่ ้องไตส่ วน
มูลความใดๆ ทัง้ น้ัน ต่อมาถกู เนรเทศออกไปอยูอ่ ังกฤษหลายปอี ย่างไมย่ ุตธิ รรมเช่นเดียวกนั เพราะศักดินาและ
อำมาตย์สมยั นั้นสงั่ กษัตริยไ์ ดด้ ว้ ยเงิน ดว้ ยเงินที่หนาพอกอ็ าจ “ซือ้ ” พระบรมราชโองการเพือ่ เลน่ ง านศัต รูของ
ตวั เองไดเ้ สมอ อยา่ งกรณีโคฮนั เลน่ งานวอลแตร์นีเ่ อง

ซึ่งกน็ บั เปน็ เคราะห์ดี เพราะนบั ต้ังแต่เหตกุ ารณน์ ้นั เปน็ ต้นมา วอลแตรก์ ็มน่ั คงตลอดชีวิตในแนวความคดิ
ปฏิวัติการเมืองและปฏิรูปสงั คม และใชป้ ลายปากกาตนเองเพือ่ การน้ีอย่างไม่ไหวหว่นั เขาได้อะไรดีๆ มามาก
ระหวา่ งถูกเนรเทศไปอยทู่ ีเ่ กาะองั กฤษ อยา่ งการค้นพบ วลิ เลยี่ ม เชค็ สเปียร์ กอ่ นทีค่ นส่วนใหญใ่ นยุโรปจะรูจ้ ักและ
ตระหนักในความยง่ิ ใหญ่ และลอกเลียนกลวิธีของเชค็ สเปยี รใ์ นการส่อื สารกบั สงั คมด้วยความบันเทิงเริง รมย์แต่
แทรกปรชั ญาท่ลี ึกซ้ึงและมอี ทิ ธพิ ลสูง

แต่ความรู้ที่สำคัญที่สดุ คืออังกฤษในขณะน้ันมีระบอบกษตั ริยใ์ ต้รัฐธรรมนูญหรือ Constitutional
Monarchy แลว้ ในขณะที่ฝร่ังเศสยงั งมโข่งอยู่กับระบอบกษัตริย์มอี ำนาจสงู สุดและชักใยมันทกุ อย่างที่เรียกว่ า
สมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ จนความชั่วร้ายของระบอบเผด็จการแอบอา้ งอำนาจเทวดาหรือเทวสิทธิ์มนั แสดงตัวออกมา
ชดั เจนและกลายเปน็ เง่อื นไขแห่งความเปลยี่ นแปลงใหญ่ทต่ี ามมา

น่าสงั เกตว่าชวี ิตของวอลแตร์มปี ัญหากับผมู้ ีอำนาจรัฐเฉพาะในช่วงแรกท่ีติดคุกและถูกเนรเทศเทา่ นนั้ ชว่ ง
หลงั ของชีวิตเขาพยายามหลบเลย่ี งไม่ใหม้ ปี ัญหาใด ๆ กบั ทางการ ชวี ิตของเขากับภรรยาใหม่ ซ่ึงเปน็ ปญั ญาชนคู่
เคยี งกับสามแี ละสะสมหนงั สือในครอบครองถึง 21,000 เลม่ มากมายเหลือหลายในมาตรฐานของยุคน้นั เปน็ ชีวิต
ของวชิ าการและการศกึ ษาโดยแท้ ทั้งสองคนศกึ ษาร่วมกันทุกขน้ั ตอน แมก้ ระทัง่ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทำให้
วอลแตรม์ ชี ื่อเสยี งมากขึ้นเรอ่ื ย ๆ จนถงึ ขน้ั เข้าหูเขา้ ตากษัตริย์และคนสำคัญในยุคน้ัน จนได้รับเชิญเข้าวังอยู่
บ่อยครงั้ ทำทา่ จะกลายเป็นอำมาตย์เอา

จุดเปลี่ยน (อีกครง้ั ) ของวอลแตร์เกิดจากความอยุติธรรมของระบอบการปกครองในยุคนนั้ โดย เฉพาะใน
“ตุลาการภิวตั น์” เขาตดิ ตามคดีความบางเรอื่ งด้วยความสนใจใคร่ครวญ ในท่ีสุดกต็ ัดสนิ ใจกระโดดเข้าช่วยในบาง
คดี บทบาทของเขาในฐานะผรู้ ูแ้ ละปราชญ์ทางสงั คมทำใหเ้ ขาทำงานนีไ้ ด้อย่างมปี ระสิทธิภาพและช่วยให้หลายคดี
เกดิ การยกเลิกหรือกลับคำพพิ ากษา จนเป็นท่ีเขม่นของกษัตริยก์ ับเครอื ขา่ ยของกษตั ริยใ์ นยุคนน้ั

วอลแตร์มชี ่อื เสยี ง 2 ระยะ ได้แก่ วอลแตรน์ ักเขยี น และ วอลแตรน์ ักต่อส้เู พอ่ื สทิ ธิมนษุ ยชน (ซ่งึ เป็นคำ
ทมี่ าในภายหลงั สมัยของเขา) ในระยะท่ีสองนเ่ี องทช่ี วี ติ ของเขาสะทอ้ นให้เห็นวา่ ปัญหาความไมย่ ตุ ิธรรมในสังคม
หรอื กระบวนการยุตธิ รรมท่ไี มย่ ุตธิ รรม เปน็ เงื่อนไขหลกั ทนี่ ำไปสกู่ ารเปล่ยี นแปลงถอนรากถอนโคนอย่างที่เรยี กว่า

ปฏิวตั ิได้ กอ่ นหนา้ น้ีระบบชนช้ันก็เกิดข้ึนมานานและเป็นทย่ี อมรบั เหล่าไพร่กก็ ระสันจะเป็นช นช้ันนำ ด้วย
ยศถาบรรดาศักดิ์และสถานภาพท่ีหยิบยื่นให้โดยคนข้างบน จนไม่เห็นว่าเป็นปัญหาหรืออยากเห็นความ
เปลี่ยนแปลง ฐานะทางเศรษฐกิจทลี่ ักลน่ั ก็ดเู หมอื นจะรู้สึกเฉยเมยกัน ไมเ่ ห็นเป็นเหตใุ หต้ อ้ งต่อสู้แย่งชิงอะไร
เหมือนจะชวี้ า่ ความไม่ยตุ ธิ รรมทางเศรษฐกจิ และสังคมไม่เป็นเงือ่ นไขที่รุนแรงเพยี งพอต่อการปฏิวัติ หรือแรงพอแต่
ต้องใช้เวลานานเกินไปทจี่ ะมองเห็น ทัง้ หมดนจ้ี ะแพเ้ ง่อื นไขสำคญั ทน่ี ำวอลแตรไ์ ปจุดไฟการปฏวิ ัติในฝร่ังเศส น่ัน
คอื ความอยุติธรรมทางกฎหมาย พดู ง่าย ๆ วา่ ตลุ าการภวิ ัตน์ ทำให้มวลชนเกดิ ความเรา่ รอ้ น โกรธเคอื ง และไม่
อยากรักษาสถานภาพเดมิ (status quo)

วรรณกรรมวอลแตร์ที่ชื่อ “Candid of the Optimist” หรือเรียกกันแพร่หลายว่า “Candide”
ใครจะเรม่ิ อ่านวอลแตร์ก็ขอแนะนำเลม่ นี้ เพราะวอลแตร์เขยี นช้ินนีอ้ อกมาตอบโต้งานของลิปนติ ส์ท่วี า่ ด้วยการมอง
โลกในแง่ดี เขาโตว้ า่ การมองโลกในแงด่ ีเกินไปเพาะสันดานตั้งรบั ในหมู่มนษุ ย์ (passivity) และไมเ่ ร่งเรา้ ให้เกิดการ
ปฏิรปู ทางสงั คมในเชิงรุก วอลแตร์เรยี บเรียงเลม่ ออกมาได้อย่างหมดจดงดงามขนาดทำให้ผ้อู ่านรู้สกึ ละอายที่จะนั่ง
เป็นเบ้ือหรอื เฉยเมย ทงั้ ทีบ่ ้านเมอื งและสงั คมใกลจ้ ะลม่ สลาย ซ่งึ เป็นความรูส้ กึ ทีค่ นไทยอกี ส่วนหนงึ่ นา่ จะรสู้ ึกรู้สม
อย่างนีบ้ า้ ง งานของวอลแตร์เลม่ น้มี ีคุณคา่ ตรงท่ที ำให้ไมเ่ สยี ชาติเกิด

บางท่านอาจจะไม่รูว้ ่า วอลแตร์เคยเขียนชมสยามประเทศไว้ไม่นอ้ ย คไู่ ปกับจีนและญ่ีปนุ่ โดยระบวุ า่ เป็น
สามสงั คมนอกยโุ รปที่มี “อารยธรรม” แต่กลับเล่นงานคมั ภีร์ไบเบลิ ของครสิ ต์ศาสนาและบรรพบรุ ษุ ของศ าสน า
ยิวอยา่ งหนกั ทำให้เขาสรา้ งศตั รูมากพอ ๆ กับสาวกและผทู้ ่ีรบั เชอื่ ทางปญั ญาจากเขา

“วอลแตร”์ ซึง่ ไม่ใชน่ ามจรงิ แตเ่ ปน็ นามปากกาหนึ่งในร้อยกว่าช่อื ของเขา จึงเปน็ ผู้ที่เผยแพร่แนวคิด
ปฏิวัตดิ ้วยการยำ้ ถงึ สิทธิและเสรีภาพพลเมืองที่แตกออกเป็นเสรภี าพในหลายดา้ น และเผยแพร่ในขณะที่ตนเอง
เป็นสว่ นหนงึ่ ของระบอบการเมืองที่ขาดความก้าวหน้าและลา้ หลงั แบบเผดจ็ การยคุ เกา่ แสดงว่าชนช้นั กลางและชน
ชัน้ นำในทุกสังคมมโี อกาสร่วมปฏิวตั สิ ังคมไดเ้ หมอื นกนั ถ้าต้องการ อยา่ งวอลแตรน์ ี่เอง

ผลงานของวอลแตร์

ผลงานของวอลแตร์มจี ำนวนมากมาย หลากหลายประเภททัง้ บทละคร นิยาย นิทานเชิงปรัชญา
ประวัตศิ าสตร์ และบทกวี เขาไดร้ ับยกยอ่ งจากคนร่วมสมยั ว่าเป็นนักเขยี นบทละครชั้นนำและกวชี ้นั นำ แ ต่ใน
ปจั จบุ นั เขากลบั เปน็ ทย่ี กย่องในฐานะนกั เขียนเชงิ เสียดสี วิพากษ์วจิ ารณ์ (Le symbole de l’esprit critique)
ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นการเผยแพรค่ วามคิดทางปรัชญาไปส่สู าธารณชน เพือ่ ปลุกความคดิ วพิ ากษ์วิจารณ์
ใหแ้ ก่ชาวฝรั่งเศส เพอ่ื ต่อต้านความคดิ ระบบสถาบนั แบบเกา่ การต่อสเู้ พื่อขจดั ความอยตุ ธิ รรมในสงั คม รวมทั้ง
ความเช่ือท่ีงมงายและความบ้าคล่งั ทางศาสนา นอกจากนี้เขายังส่งเสริมเรียกรอ้ งสทิ ธิ เสรีภาพและการแสดง
ความคิดเห็นอกี ดว้ ย

อิทธพิ ลของวอลแตร์

ผลงานตลอดชีวิตของวอลแตร์ไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ สิ่งทเ่ี รียกว่า “ความคดิ วพิ ากษ์วิจารณ์” (L‘esprit critique)
แก่ชาวฝร่งั เศสโดยรวม ความคิดวิพากวิจารณน์ ท้ี ำใหช้ าวฝรง่ั เศสตัง้ คำถามตอ่ ทกุ เรื่องทกุ เหตกุ ารณ์ท่ีปรากฏใน
สังคมของตน ไม่ว่าจะเป็นทางดา้ นสถาบนั การเมอื งการปกครอง โดยเขาได้โจมตีระบอบการปกครองแบบ
สมบูรณาญาสิทธริ าชย์ สถาบันกษัตริย์ การใช้อำนาจตามอำเภอใจของกษตั ริย์ สถาบนั ศาสนา โจมตีคำสอนความ
เชอื่ ที่งมงาย วอลแตรไ์ ด้นำหลกั การใช้เหตผุ ล (L’esprit scientifique) มาแพร่หลายให้แก่ประชาชน เพ่ือมาใชใ้ น
การดำเนินชวี ติ โดยการใชเ้ หตุผลแก้ปญั หา และรจู้ กั คิดพจิ ารณากอ่ นจะเชอ่ื อะไรงา่ ย ๆ เขาใช้ผลงานของเขามา
เป็นเครอ่ื งมอื ในการเผยแพรแ่ นวความคิดทางปรชั ญาและนำไปสสู่ าธารณชน เพอ่ื ทำให้ประชาชนได้เห็นไดเ้ ข้าใจ
และตระหนักถงึ สิง่ เหลา่ น้นั ซึง่ แนวคดิ และความรเู้ หลา่ นจี้ งึ เปรียบเสมอื นกบั แสงสวา่ งทางปัญญาใหแ้ กป่ ระชาชน
วอลแตรจ์ ึงเป็นผทู้ ่ีมสี ่วนทำใหป้ ระชาชนมเี สรีภาพทางความคดิ และทำใหผ้ ู้คนสนใจการเมอื งการปกครองแบบ
องั กฤษ

ดังนั้นอาจกล่าวไดว้ ่าวอลแตร์มีอิทธิพลต่อคริสตวรรษที่ 18 เป็นอยา่ งมาก ซึ่งเป็นผลนำไปสู่การ
เปล่ียนแปลงครัง้ ยง่ิ ใหญ่ทงั้ ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สงั คมและศาสนา ซึ่งเปน็ ทรี่ ู้จกั กนั ในนาม “การปฏิวัติ
ฝรัง่ เศส พ.ศ.2332”

5.ฌอง ฌากส์ รสุ โซ (Jean-Jacques Rousseau : ค.ศ.1712 - 1778)

ฌอง ฌาค รสุ โซ (Jean Jacques Rousseau, ค.ศ. 1712-1778) เป็นชาวฝร่ังเศส ไดเ้ ขียนหนงั สือช่ือ
"สัญญาประชาคม" (Social Contract) ในหนงั สือเล่นนี้ รสุ โซ กล่าวถงึ สญั ญาประชาคมว่า หมายถงึ สัญญาทแ่ี ตล่ ะ
คนเข้าร่วมกับทุกคนภายใตเ้ อกภาพและเจตจำนงอันเดียวกนั โดยทีป่ ระชาชนสามารถกอ่ ต้งั รัฐบาลขึ้นได้และให้
อ ำนาจแ ก ่ รั ฐบาลเ พ ่ื อรั บใช ้ประ ชาชนแต ่ถ ้าเ มื ่ อใด ที่ ประ ชาชนไ ม่ พอ ใจรั ฐบาลก ็อ าจเปล ่ี ยนแปลง รัฐบาลได้
รุสโซ ช้ีให้เหน็ วา่ สภาวะธรรมชาตินนั้ เปน็ สภาวะทมี่ นุษย์มีความผาสกุ มีอสิ ระเสรี และความเสมอภาค อย่างไรก็
ตามแมม้ นุษย์จะเกิดมาเสรี แต่ทกุ หนทุกแห่งมนษุ ย์ก็ถูกตรึงด้วยโซต่ รวนแห่งพันธนาการ แนวความคิดของรุสโซ
ถือว่าเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยในเวลาตอ่ มา

สำหรบั การเปล่ียนแปลงทางการเมอื งครงั้ สำคัญในโลกตะวนั ตก ซ่ึงมคี วามหมายอยา่ งยง่ิ ต่อการพัฒนา
ประชาธิปไตย ได้แก่ การปฏิวตั ิอนั รุ่งโรจนข์ ององั กฤษ (ค.ศ.1688) การปฏิวัติอเมริกา (ค.ศ.1776) และการปฏวิ ตั ิ
ฝรงั่ เศส (ค.ศ.1789)
ประวัติ

ฌอง ฌาค รสุ โซ (Jean Jacques Rousseau) เปน็ นกั ปรัชญาสังคมชาวสวิส เช้ือสายฝรง่ั เศสผ้มู ีอิทธิพล
ต่อการปฏวิ ัติฝรัง่ เศส (French Revolution) ใน คศ.1789 รุสโซ เกิดที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอรแ์ ลนด์
เมอ่ื วนั ที่ 28 มิถนุ ายน 2255 มารดาของเขาเสีย ชวี ิตหลงั จากคลอดเขาได้เพยี ง 9 วัน บดิ าเป็นชา่ งซ่อมนาฬกิ าที่ไม่
ประสบความสำเรจ็ ตอนรสุ โซ อายุ 6 ขวบ พ่อของเขาไดต้ ิดคุก เขาจึงต้องไปอาศัยอยูก่ บั ลุง รสุ โซหดั อา่ นหนังสือ
มา ตงั้ แต่เดก็ และเรยี นร้ดู ้วยตัวเอง ตอนรสุ โซ อายุ 16 ปี ได้ออกจากเจนวี า เดนิ ทางทอ่ งเที่ยวและไดห้ างานทำไป
เรื่อย ๆ จนได้เป็นผูช้ ว่ ยทูต ในปี พศ.2293 The Social Contract, or Principles of Political of political
Right เขาได้ตพี ิมพ์หนังสือ Discourse on the Arts and Sciences ซงึ่ ประสบความสำเรจ็ และสรา้ ง ชื่อเสียง
ให้แกเ่ ขาเป็นอยา่ งมาก อกี 11 ปี ตอ่ มาก็ตีพิมพ์นิยายเร่ืองแรกช่อื Julie,ou la nouvelle Holoise [The New
Heloise] จากนั้นก็ไดม้ ีผลงานออกมาอย่างสมำ่ เสมอทง้ั หนังสอื วิชาการและนยิ าย ผลงานทีม่ ีชอื่ เสยี งได้แก่และ
The Confessions of Jean-Jacques

Rousseau รุสโซเชื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นคนดแี ตส่ งั คมทำให้มนษุ ยเ์ ป็นคนเลว แปดเป้อื น และ
มนุษย์มเี สรีภาพตามธรรมชาตโิ ดยไม่จำกดั แตเ่ มือ่ มนษุ ย์มารวมกันเป็นสังคมจงึ ต้องมกี ารจำกัดสิท ธิเส รีภ าพ
บางส่วนโดยการทำสญั ญาประชาคม (The social Contract) เพอ่ื ไมใ่ หเ้ กดิ การลิดรอนสทิ ธิเสรีภาพของกนั และกนั
รสุ โซกล่าววา่ “ มนษุ ย์เกิดมาพร้อมเสรภี าพแต่ทกุ หนทุกแห่ง เขาต้องตกอยู่ในเครอ่ื งพนั ธนาการ “ความคดิ ของรุส
โซ มอี ิทธิพลต่อการปฏวิ ตั ิฝรั่งเศส ในปี 2332 อย่างมาก และได้พัฒนาเปน็ ทฤษฎสี ังคมนยิ ม (Socialist theory)
และมสี ่วนสำคญั ของการพฒั นาการทางแนวคดิ โรแมนติก (Romanticism)

ปรชั ญาของรุสโซ

รสุ โซสอนให้คนกลบั ไปหาธรรมชาติ (Back to Nature) เปน็ การยกย่องคุณคา่ ของคนวา่ “ธรรมชาติของ
คนดอี ยแู่ ล้วแต่สงั คมทำให้เปน็ คนเลว” และ “เหตุผลมีประโยชนแ์ ตม่ ิใช่คำตอบของชวี ติ มนุษย์จึงควรต้องพึ่ง
ความรูส้ ึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของตนเองให้มากกวา่ เหตผุ ล”

ทฤษฎคี นเถอ่ื นใจธรรม

รสุ โซเช่ือวา่ มนุษย์นัน้ เป็นคนดีโดยธรรมชาตหิ รือเป็นคนเถือ่ นใจธรรม (Nobel Savage) เมอื่ อย่ใู นสภาวะ
ธรรมชาต(ิ เปน็ สภาวะเดียวกับสตั ว์ อืน่ ๆและเป็นสภาพท่ีมนุษยอ์ ยมู่ าก่อนทีจ่ ะมกี ารสร้างอารยธรรมและสังคม)
แต่กลับถกู ทำให้แปดเปือ้ นโดยสงั คม เขามองสงั คมว่าเป็นส่ิงท่ีถูกประดิษฐข์ ้ึน และเช่ือว่าการพัฒนาของสังคม
โดยเฉพาะการเพ่ิมขนึ้ ของการพ่งึ พากันในสังคมเป็นสง่ิ ทอ่ี นั ตรายต่อความเป็นอย่ขู องมนุษย์

ความเรียงชื่อ “การบรรยายเกีย่ วกับศลิ ปะและวิทยาศาสตร์” (พ.ศ.2293) ที่ได้รับรางวัลของเมือง
ได้อธิบายว่าความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตรแ์ ละศิลปศาสตรน์ ั้น ไม่เปน็ ประโยชน์กับมนษุ ย์ โดยรุสโซได้เสนอว่า
พฒั นาการของความรูท้ ำใหร้ ัฐบาลมีอำนาจมากขึ้น แต่กลับทำลายเสรีภาพของปจั เจกชน กล่าวคอื พัฒนาการเชิง
วตั ถจุ ะทำลายโอกาสของความเป็นเพือ่ นท่จี ริงใจ โดยจะทำใหเ้ กดิ ความอจิ ฉา ความกลัว และความระแวงสงสัย

การบรรยายวา่ ด้วยความไมเ่ สมอภาค

ศกึ ษาเก่ียวกบั การพัฒนาและการทำลายของมนษุ ยต์ ั้งแต่ในสมัยโบราณจนถงึ สมัยใหม่ รุสโซ เสนอว่า
มนษุ ย์ ในยคุ แรกสุดเปน็ มนษุ ย์ครึ่งลงิ ซ่งึ อยแู่ ยกจากกนั โดยมนุษยม์ คี วามแตกตา่ งจากสตั ว์ตรงท่ีมนุษย์มีคว าม
ตอ้ งการอยา่ งอสิ ระ (Free will) และแสวงหาความสมบุรณแ์ บบ ซึง่ มนษุ ยใ์ นยุคบกุ เบกิ จะมคี วามตอ้ งการพื้นฐาน
เพอื่ ดแู ลตนเอง ขณะทีเ่ มอ่ื มนษุ ย์มีความสมั พันธร์ ะหว่างกันเพิ่มมากข้นึ ความรูส้ กึ ห่วงหาอาทรและความสงสารจะ
เกิดข้นึ ตามมาซง่ึ เรยี กว่าเป็นการปรบั เปลี่ยนทางด้านจติ วิทยา กลา่ วคอื มกี ารให้ความสำคญั ต่อความคดิ เห็นของ
ผูอ้ ื่น โดยรุสโซเรยี กความรู้สึกใหม่ีทีเ่ กดิ ขนึ้ วา่ “จดุ เริม่ ต้นของการผลิบานของมนษุ ย์”

สาระของแนวคดิ

รสุ โซกล่าวว่า “มนษุ ยเ์ กดิ มาเสรีแต่ทกุ หนทกุ แหง่ อย่ใู นพันธนาการ "เปน็ การตกผลึกทางความคิดของ
รสุ โซ ทีไ่ ดก้ อ่ ตวั ข้ึนก่อนหน้าน้ี และงานเขียนชนิ้ สำคญั ของรุสโซ ก่อน Social Contract คอื Discourse on the

Origin and the Foundations of Inequality Among Men หรือเรียกว่า The Second Discourse ดังนัน้ จึง
จำเป็นต้องศึกษาThe Second Discourse กอ่ น

The Second Discourse เป็นบทความทร่ี ุสโซ เขยี นเกย่ี วกบั ธรรมชาติของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์ โดยชี้ใหเ้ ห็น
ถึงความแตกต่างระหวา่ งมนษุ ย์และสัตว์ กล่าวคือมนุษย์ดำเนนิ ชีวติ ด้วยการเปน็ ผ้กู ระทำทเี่ สรี แต่สัตวเ์ ลอื กหรือ
ปฏเิ สธจากสัญชาตญาณ แตม่ นุษย์กระทำดว้ ยเสรีภาพ ตวั อยา่ งเช่นการทีธ่ รรมชาติบังคับควบคมุ สตั วท์ กุ ชนิดโดย
สตั วท์ ัง้ หลายต้องเชือ่ ฟงั มนษุ ย์เองรสู้ กึ ถึงแรงกระต้นุ ดงั กล่าวเช่นกัน แตม่ นษุ ย์ตระหนักดีว่า ตัวเขาเองนั้นมี
เสรีภาพทีจ่ ะ นง่ิ เฉยหรือต่อต้าน(ธรรมชาต)ิ ในจติ สำนกึ แห่งเสรีภาพน้ี จิตวิญญาณของเขาได้แสดงออกมาซงึ่ เป็น
การกระทำของ จติ วิญญาณอันบรสิ ทุ ธ์ นอกจากนี้ มนษุ ยย์ ังมีความสามารถในการทำตัวเองใหส้ มบูรณ์ ( The
faculty of self-perfection) อันเป็นคุณสมบัติของความสามารถที่พัฒนาคุณสมบัติอื่นๆท้ังหมดอย่างเป็น
ผลสำเรจ็ ด้วยเงือ่ นไขท่ีเอื้ออำนวย โดยได้นำมาซึ่งการเบง่ บานของปัญญาความรูแ้ ละขอ้ ผิดพลาด ความช่ัวและ
คณุ ธรรมความดี และจากคุณสมบัตินีใ้ นระยะยาวเป็นตวั ทำให้เขาเป็นทรราชย์

คนปา่ (Savage man)โดยธรรมชาติ ย่อมเริม่ ตน้ จากการกระทำแบบสัตว์แท้ๆ ท่กี ระทำตามสัญชาตญาณ
หรือชดเชยสญั ชาตญาณที่เขาไม่มดี ว้ ยคุณสมบตั ทิ ที่ ดแทนกนั ไดต้ ้งั แตแ่ รก และจากน้ันกย็ กระดับให้อยู่เหนือ
ธรรมชาติ การรบั รูแ้ ละความรูส้ ึก คอื สภาวะแรกซึ่งมีรว่ มกับสตั ว์ทงั้ มวลเจตจำนงมุง่ ม่ันหรอื ไม่ ปรารถนาหรอื กลัว
ซ่ึงก็คอื การกระทำอย่างแรกและเหนอื อ่นื ใดของจิตของเขาจนกระทงั่ เง่อื นไขใหมไ่ ดก้ อ่ ให้เกิดพฒั นาการใหมใ่ นตัว
ของมันเอง

การตีความสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ รุสโซจนิ ตนาการสภาวะธรรมชาตหิ รือสภาวะแรกเริ่มของมนษุ ยว์ ่า
มนษุ ยอ์ ยูก่ ันอยา่ งอิสระจากกนั และกัน ไมม่ ปี ฏิสมั พนั ธ์ใดๆระหว่างกนั มิได้ตอ้ งพ่งึ พากันและกันไม่มีเหตุผลหรือ
ความจำเปน็ ใดๆทีม่ นุษยจ์ ะตอ้ งมีปฏิ สมั พนั ธ์กนั เพ่อื การอยู่รอด มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตของตวั เอง ไปได้
สาเหตทุ ่ีมนษุ ยส์ ามารถใชช้ วี ติ ได้ดดยลำพงั ก็เพราะมนุษยส์ ามารถตอบสนองความ ต้องการของตวั เองได้ และ
สาเหตทุ ่ีมนษุ ยส์ ามารถใช้ชีวิตโดยลำพงั กเ็ พราะความตอ้ งการของมนษุ ย์ใน สภาวะแรกเรม่ิ นนั้ มไี ม่มากนกั และไม่
สลบั ซับซอ้ น เพราะรสุ โซเชอ่ื วา่ ความต้องการของมนุษย์ในสภาวะแรกเร่ิมจะจำกดั อยเู่ พียงความต้องก ารท าง
ชวี ภาพ เทา่ น้ัน นอกจากน้ียงั เชือ่ อีกวา่ มนษุ ย์เปน็ สัตว์กนิ พชื โดยดูจากลักษณะของฟนั และอวัยวะรา่ งกายของ
มนุษย์ที่ไม่เอ้อื ในการล่าสัตว์ และไม่กนิ เน้ือสตั ว์ ดว้ ยเหตุท่ีสภาพธรรมชาติของโลก ในระยะแรกเริ่ม อดุ มสมบรู ณ์
ไปด้วยพชื พันธธ์ ญั ญาหาร ทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยรู่ อดไดโ้ ดยไมต่ อ้ งมปี ฏิ สัมพันธก์ ัน เพราะรุสโซ เชื่อวา่ เมื่อ
มนษุ ยแ์ ต่ละคนสามารถตอบสนองความตอ้ งการของตัว เองอย่างพอเพียงแล้ว กไ็ มม่ คี วามจำเป็นใดๆที่จะต้องไป
ปฏสิ ัมพันธก์ ับมนุษยผ์ อู้ ืน่

รสุ โซเช่อื วา่ ในสภาวะแรกเร่ิมหรอื สภาวะธรรมชาตคิ วามตอ้ งการทางเพศของมนุษย์เกิดจากแรงขับทาง
ชีวภาพ และมรี ะยะเวลาที่แน่นอนจำกัด ดงั นั้นในช่วงเวลาดังกลา่ วเมอื่ มนษุ ย์ต่างเพศมาพบเจอกนั ต่างก็จำต้อง
สนองตอบความต้องการทางเพศของกันและกัน และเมอ่ื เพียงพอแลว้ ตา่ งกแ็ ยกย้ายจากกนั ไปดำเนินชีวิตอย่าง
อสิ ระตามปกตเิ หมอื นเดิมในสภาวะธรรมชาติตอ่ ไป มิตอ้ งอยู่รว่ มกันเป็นครอบครัวเมือ่ เป็นเช่นนี้ มนุ ษย์ไม่

จำเป็นต้องสะสมอาหารหรือของบริโภคใดๆ จึงไม่มีความจำเป็นตอ้ งเป็นเจ้าข้าวเจา้ ของของคู่นอนท่ไี ดม้ ี
เพศสมั พนั ธ์กัน เขาจงึ ไมม่ ีความจำเป็นต้องหวงแหนริษยาหรือมุ่งมนั่ ทีจ่ ะไดห้ รือรักษาคู่นอนของเขา หรอื แยง่ ชงิ คู่
นอนของคนอนื่ มาไวเ้ ป็นสมบตั ิส่วนตัว

ด้วยเหตุนชี้ ีวิตมนุษยใ์ นสภาวะธรรมชาตจิ งึ เรยี บงา่ ยไม่มคี วามขัดแย้งตอ่ กนั แต่กระนัน้ มนษุ ย์ก็ยังดำเนิน
ชีวิตอันดบิ เถอื่ นไรอ้ ารยธรรมไมแ่ ตกต่างจากสัตว์ รุสโซ ขนานนามว่า เปน็ “ คนป่าผทู้ รงเกียรติ “ ( noble
savage) คอื เป็นคนปา่ เถ่อื น เนอื่ งจากเขาดำเนินชีวิตเย่ียงสตั ว์ นอนกบั ดินกนิ กบั ทราย และเป็นผู้ทรงเกียรติ
เพราะมจี ิตใจดีบริสทุ ธ์ ไม่มีกเิ ลสตัณหา ไม่มีความต้องการอนั ไมเ่ คยพอ ไมม่ ีความอจิ ฉาริษยามุ่งร้ายต่อกัน ดังน้ัน
มนุษยใ์ นสภาวะธรรมชาตจิ งึ ดำเนินชีวิตเยี่ยงคนป่าผทู้ รงเกยี รติ และเปน็ เสรีชนที่มีอสิ รภาพและความเสมอภาค
อยา่ งเต็มทใ่ี นเงื่อนไขท่ีแตล่ ะคนไมม่ ีปฏสิ มั พนั ธใ์ ดๆตอ่ กนั

อสิ รเสรขี องมนษุ ย์ผหู้ ญงิ ในสภาวะธรรมชาติ

รสุ โซอธบิ ายวา่ ธรรมชาตไิ ดส้ ร้างมนษุ ยเ์ พศหญงิ ใหส้ ามารถใช้ชวี ติ อย่รู อดได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องอาศัย
มนุษย์ผชู้ าย อีกทง้ั ยังต้ังครรภแ์ ละคลอดบุตรไดเ้ องโดยไมต่ อ้ งพึง่ ผชู้ ายอกี ดว้ ย ดังนัน้ ผู้หญงิ ในสภาวะธรรมชาติน้ัน
มีความอดทนและมคี วามสามารถดแู ลตัวเองได้โดยลำพัง หลังจากน้ันนางจะเล้ยี งดบู ตุ รไปอีกระยะหนง่ึ และจะดูแล
เด็กอกี ไมน่ านเพราะเดก็ สามารถดแู ลตัวเองไดเ้ ร็วกว่าเด็กทีเ่ ติบโตมาจากสงั คมทีเ่ จรญิ แล้ว ในที่สุดเดก็ ก็จะจากแม่
ไปเองมชี ีวติ อสิ ระตามลำพังดว้ ยตวั เอง แม้วา่ ถ้ามีโอกาสได้พบเจอลูกผูใ้ หก้ ำเนดิ นางกไ็ มส่ ามารถจำกันแลกันได้
เปน็ เหมอื นคนแปลกหนา้

อารมณ์ความรู้สึกกบั การกำเนดิ ชีวิตครอบครวั

รสุ โซเชอื่ ว่าการเกิดขน้ึ ของครอบครวั มนุษย์นน้ั เป็นเรือ่ งของความบงั เอญิ และอารมณค์ วามรสู้ กึ มากกว่า
เหตุผลสำคญั อื่นใดแฝงไว้ โดยบรรยายไวว้ า่ ในช่วงฤดูสืบพันธข์ องมนษุ ยอ์ าจมบี างครงั้ บางคราวท่ีมนษุ ย์ เพศชาย
และหญิงจำเป็นตอ้ งอยูด่ ้วยกนั นานกว่าปกติ ทำให้เกิดอารมณแ์ ละความรสู้ ึกที่หวานชนื่ ที่สุดตอ่ กนั และกนั ทำใหท้ ง้ั
สองมีความรู้สกึ ว่าการอย่รู ่วมกนั นนั้ ใหค้ วามอบอุ่นและความรู้สึกทด่ี ีท่ีผูกพนั กว่าการแยกจากกนั ไปเฉย ๆ ดังน้ัน
เขาทั้งสองจึงเลือกท่จี ะอยดู่ ้วยกนั ต่อไป จึงเกดิ เป็นครอบครวั ของมนุษย์

ในความคดิ ของรุสโซนน้ั เกิดจากความบงั เอิญและเสรีภาพในการท่ีจะเลอื กทำเชน่ นน้ั อันเป็นการกระทำท่ี
เสรี ซงึ่ ได้เบี่ยงเบนไปจากธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ตามทไ่ี ดเ้ กดิ มา คือเขาทั้งสองน้นั มิไดม้ อี ิสรเสรีสมบรู ณเ์ หมือนดังเดมิ
กลับมีความร้สู ึกผกู พนั ต่อกนั และกนั ซ่งึ ถอื ว่าเป็นบอ่ เกดิ แหง่ พนั ธนาการของมนษุ ย์ซึ่งความผกู พัน ดงั กล่าว ทำให้
มนุษยอ์ อ่ นแอลง เพราะมนุษยม์ ีหว่ งใยกังวล ไมส่ ามารถตัดสินใจดำเนนิ ชีวิตไดอ้ ยา่ งอิสระโดยลำพัง เหมอื นเชน่ เดมิ
เมอื่ อสิ รเสรีภาพของมนษุ ยส์ ญุ หายลดทอนลง แต่เขาได้มาซงึ่ ความสุข ความอบอุน่ และความผกู พันทางอารมณ์
และจติ ใจ จากเร่มิ ตน้ ที่เปน็ “มนุษย์เกดิ มาเสร”ี แตบ่ ัดน้ี เขาเร่มิ เข้าสู่ “พนั ธนาการ” จาก การตัดสนิ ใจโดยเสรีที่
เลือกมาอยูร่ ่วมกนั จงึ ไดเ้ กิดการแบ่งงานกันทำอันเปน็ ผลมาจากพนั ธนาการ ของกันและกัน ซงึ่ เป็นปจั จัยสำคญั ที่
ทำให้มนุษย์พฒั นาความเป็นอยขู่ องตนมเี วลาคดิ สรา้ ง สรรคส์ ิง่ ต่างๆ นบั วา่ เป็นกา้ วแรกของการพฒั นาไปสู่การมี

อารยธรรมของมนษุ ยชาติ จากสภาพคนป่าทดี่ ำเนินชวี ิตเยีย่ งสัตว์ พฒั นาเป้นการอยู่กนิ เปน็ ครอบครวั แตก่ ระน้ัน
เค้าลางของการสูญเสียการเป็น “ผู้ทรงเกยี รติ” ก็ เริ่มตน้ ขนึ้ ซึง่ เกิดจากความหวงแหนคขู่ องตน และอารมณ์
ความรสู้ ึกทางจิตใจอนื่ ๆทีต่ ามมาเขาไม่ สามารถรู้สกึ ผกู พันคนู่ อนเพยี งเท่าทเ่ี ขาผูกพนั กบั ผลไม้ท่ีเขากินไดอ้ กี ตอ่ ไป
ได้แลว้ และอารมณค์ วามรู้สึกดงั กล่าวน้ี ทรี่ สุ โซ เรียกวา่ “Sweetest Sentiment”

กำเนดิ สงั คม

รุสโซอธบิ ายการกำเนดิ สังคมว่ามีสาเหตุมาจากการเกดิ และการขยายการปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างค รอบครัว
และการปฏิ สัมพันธ์ระหวา่ งครอบครวั กบ็ ังเกดิ ขึ้น รุสโซ ช้ถี ึงปจั จัยสำคัญคอื พัฒนาการทางเศรษฐกิจ และความ
รักแบบโรแมนตกิ เขาเน้นถงึ บทบาทสำคญั ของเศรษฐกิจที่มีต่อการกอ่ ตัวของสังคมเมือง (civil-Society) ดังท่ี
กลา่ วไวว้ า่ “คนแรกทกี่ ั้นร้วั แผ่นดินคอื ผู้เริ่มสงั คมเมืองท่แี ทจ้ ริง” การคิดค้นการเกษตรกรรมทนี่ ำไปสู่การส ร้าง
กฎกตกิ าเพือ่ ความยตุ ิธรรมข้นึ เปน็ ครงั้ แรก และในทีส่ ดุ แล้ว ดว้ ยการแนะนำของผู้มงั่ คัง่ (the rich) ก็จะนำไปส่กู าร
สถาปนาการเมืองการปกครองขน้ึ มาหมายความว่าการเกิดการปกครองข้ึนมาน้นั จะเป็นไปไมไ่ ด้เลยถา้ ปราศจาก
เงื่อนไขของการเกิดกรรมสทิ ธใ์ิ นทรพั ย์สินสว่ นตวั ในท่ดี ิน มากอ่ นหน้า และแทท้ จี่ รงิ แล้ว พฒั นาการการเก ษตรท่ี
เกดิ ขึน้ น้ัน เป็นผลพวงมาจากการเกิดครอบครวั กอ่ นหน้าน้ี แต่กระนนั้ กเ็ สนอดว้ ยว่า “เศรษฐกจิ การเกษตรในตัว
ของมนั เอง เป็นสง่ิ ท่ีเกดิ ขึน้ เพอ่ื ตอบสนองพฒั นาการของความ ตอ้ งการทางเพศ (erotic developments) เร่ือง
เพศ (sexuality) คอื สะพานนำไปสูก่ ารเมอื ง โดยมนี ยั ของการเปล่ยี นแปลงเรือ่ งความสมั พนั ธท์ างเพศของมนุษย์
เปน็ ปัจจัย เงอ่ื นไขทจี่ ำเปน็ อย่างย่งิ ในการกำเนดิ สงั คมการเมอื ง รสุ โซ อธิบาย ความขดั แยง้ ความไร้ระเบียบ
(disorder) ท่ีอุบัติข้ึนเมื่อสังคมได้ถือกำเนิดไว้ดังน้ีคอื ความขัดแยง้ จะเกิดข้ึนเมอ่ื สภาวะขอ งมนุษย์ใ นสังคม ไม่
เออื้ อำนวย หรือไมเ่ หมาะสมกับพวกเขา ความขดั แยง้ เปน็ สิ่งท่ีหลกี เลยี่ งไมไ่ ด้ เม่ือมนุษย์มองมนุษยด์ ว้ ยกนั วา่ เปน็
ศตั รูทแ่ี ขง่ ขนั กับพวกเขา เพอื่ ความโดดเด่นหรอื เพ่อื ความเหนือกวา่ หรือเพอื่ สง่ิ ทพี่ งึ ปรารถนา และสุดทา้ ยความ
ขดั แย้งยงั คงดำรงอยู่ภายในปัจเจก-บคุ คล เมอื่ จติ ใจของเขาตกอยู่ภายใต้พันธนาการของกิเลส ตัณห าอันไม่มี
ขดี จำกดั อารยธรรมหรือความเจรญิ ก้าวหน้าของศิลปะวทิ ยาการนีท้ ำใหศ้ ีลธรรมการดำเนินชีวติ ของมนุษย์เสื่อม
ทรามลงเสียมากกวา่ ทจ่ี ะทำให้ดีขน้ึ เมื่อมนุษย์ตกเป็นทาสของศลิ ปะวทิ ยาการ เสรีภาพท่ีเคยมีและเปน็ แก่นแท้ของ
ความเปน็ มนษุ ยก์ ็ได้สญู หายไป

ด้วยเหตนุ ้ีเองที่รสุ โซ ไดก้ ล่าวขน้ึ ต้นใน The Social Contract ไวว้ า่ “ มนษุ ยเ์ กิดมาเสรี แตท่ ุกหนทกุ แหง่
เขาอยใู่ นพันธนาการ ใครทคี่ ดิ ว่าตนเปน็ นายคนอื่น ย่อมไม่วายจะกลับเปน็ เสยี ทาสยิ่งกวา่ " ความผนั แปรเชน่ นี้เกดิ
ขน้ึ ได้อยา่ งไรไม่ทราบ อะไรเล่าท่จี ะพึงทำให้ความผันแปรนน้ั กลายเป็นสงิ่ ท่ชี อบดว้ ยกฎหมาย ขอ้ น้ีคิดวา่ จะตอบ
ปญั หาได้เพราะในสภาวะสังคมมันเป็นไปไมไ่ ดท้ ่จี ะเกดิ ระเบียบเง่อื นไขท่ีหลกี เลย่ี งไม่ได้ทมี่ นษุ ยจ์ ะดำรงชีวติ อยู่โดย
ไม่เหยยี บหัว แยง่ ชงิ หลอกลวง ทรยศ และทำลายซึง่ กันและกนั การแก้ไขปญั หาดังกล่าวนี้ เป็นปัญหาท่ีเกิดขึ้น
จากการที่ มนุษยม์ าอย่รู วมกนั เป็นสงั คมเขาเสนอให้มกี ารสรา้ ง หรือการจดั ระเบียบสงั คมใหม่ขึน้ มา น่นั คือเราจะ
ทำอย่างไรทจี่ ะหารูปแบบของการอยรู่ ่วมกันที่ สามารถปกป้องบคุ คล และสิง่ ทีพ่ ึงปรารถนาของสมาชิกแต่ละคนใน
สังคม โดยการร่วมพลงั ของทุกคน และเป็นรปู แบบการอย่รู ่วมกนั ท่ปี จั เจกบุคคลแต่ละคน แม้วา่ จะรวมตวั เข้ากัน
กบั คนอ่ืน แต่ก็มไิ ด้ต้อง เช่ือฟงั ใคร นอกจากตัวเขาเอง และยงั คงมีอิสรเสรเี หมอื นแต่ก่อน คำตอบน้นั คอื “สัญญา

ประชาคม” (Social Contract ) คอื คำตอบสำหรับการหลุดจากสภาวะอันไม่อำนวยตอ่ การดำรงชีวติ คว ามเป็น
มนุษย์มาทำสญั ญาร่วมกัน หมายถงึ การยอมเสยี เสรภี าพตามธรรมชาติทต่ี ิดตวั มาแต่กำเนดิ ของ เขาเพ่ือแลกกับ
เสรภี าพทางสังคมการเมือง รุสโซ กลา่ ววา่ แกน่ ของสญั ญาประชาคม คือการทีพ่ วกเราแต่ละคนยอมสละตัวเอง
และอำนาจหน้าที่ ทเี่ ขามีอยทู่ ัง้ หมดใหก้ ับส่วนรวม ภายใตก้ ารนำสงู สดุ ของ“ เจตจำนงร่วม” และ ในฐานะองค์รวม
เราไดร้ วมสมาชกิ ทกุ คนเข้าเปน็ เนอ้ื เดยี วกันในฐานะทเี่ ปน็ สว่ นหน่ึงของท้ัง หมดทแ่ี บ่งแยกไมไ่ ด้ อนั ประกอบด้วย
จำนวนสมาชกิ ท่ีมีจำนวนเทา่ กบั ผู้ออกเสยี งในทป่ี ระชุมซึ่งทำให้ องคร์ วม ดงั กลา่ วมชี วี ิต มีเจตจำนง มีตัวตน และมี
เอกภาพ ของตวั เองขึ้นมา องคร์ วมทางการเมอื งหรอื บคุ คลสาธารณะท่กี อ่ ตัวขนึ้ นี้ คอื สงั คมเมือง หรอื สาธารณรัฐ
และในสถานะที่เป็นผูถ้ ูกกระทำซึ่งเรียกว่ารัฐ แต่ถ้าอยูใ่ นสถานะ ผู้ถูกกระทำ เรียกวา่ องค์อธิปตั ย์ ( the
sovereign)และเมอ่ื มีการเปรียบเทยี บระหว่างองคอ์ ธิปัตยด์ ้วยกนั เราเรยี กว่า อำนาจ (power)และสำหรับผทู้ ี่เขา้
ร่วมอยู่ภายใตอ้ ำนาจของรัฐ เรียกว่า“ประชาชน” และเรยี กว่า “พลเมือง” ตราบเท่าทีพ่ วกเขามีส่วนร่วม
ในอำนาจอธิปไตย และเรียกพวกเขาวา่ “ราษฎร” ตราบเทา่ ที่พวกเขาอย่ภู ายใตก้ ฎหมายของรฐั

รุสโซกบั โลกปจั จุบนั

ในเรื่องมิตแิ ห่งเวลารุสโซ ไม่เชื่อว่าสงั คมจะสามารถยอ้ นเวลากลับไปสสู่ ภาวะอันเปลา่ เปลือยเหมอื นเช่น
ตอนแรกเรมิ่ ไดอ้ ีกและทส่ี ำคัญรสุ โซเชอ่ื ในความสามารถในการพัฒนาไปสูค่ วามสมบูรณแ์ บบของมนุษย์

ดังน้นั เสน้ ทางประวตั ศิ าสตร์ของมนุษย์ยอ่ มต้องเดินหน้าต่อไปมากกวา่ ทีจ่ ะถอยหลงั มนษุ ย์และเจตจำนง
เสรีในตัวเขาย่อมจะชว่ ยให้เขาก้าวเดินตอ่ ไป และรุสโซ เช่อื วา่ มนุษย์สามารถคดิ คน้ และออกแบบส ร้างส รรค์
“เจตจำนงท่วั ไป” อนั เปน็ สงิ่ ประดษิ ฐ์ในการสร้างระเบียบใหม่ใหก้ บั สังคมที่ไร้ระเบยี บท่ีมิได้เป็นผลผลิตข อง
ธรรมชาติท่มี รี ะเบียบของมันเอง ท่คี รั้งหนง่ึ มนษุ ย์อาจเคยอยูก่ บั มันมานานแลว้ และไม่มีวนั ที่จะหวนกลบั คนื ไปได้
จะทำได้เพยี งแคจ่ นิ ตนาการ

แนวคดิ ที่สำคญั ของรสุ โซ

1.มนษุ ยเ์ กดิ มาพร้อมกับเสรีภาพถา้ ไมม่ สี รีภาพก็ไมใ่ ช่มนษุ ย์

2.ความชอบธรรมของผู้มีอำนาจ อำนาจย่อมไม่ก่อให้เกิดธรรม เว้นแต่ผู้ใช้อำนาจ จะใช้อำนาจ
โดยความชอบธรรมเทา่ น้นั ต้องใชอ้ ำนาจด้วยความยุติธรรมถงึ จะมคี วามชอบธรรม

3.การ เปน็ ทาส ผู้ใดยอมรับความเป็นทาส ผู้นัน้ เห็นวา่ ทาสไมใ่ ช่มนุษย์ เพราะทาสไมม่ ีเสรีภาพ แนวคิดนี้
ของรสุ โซ แตกต่างกับโทมสั ฮอบส์ กลา่ วว่า สนั ตภิ าพหรือความปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็น แต่รุสโซกล่าววา่ สันตภิ าพ
และความปลอดภยั อยา่ งเดียวน้ันไมเ่ พยี งพอจะตอ้ งมีเสรีภาพดว้ ย เหมือนในคุกมสี ันติภาพแต่ไม่มีเสรภึ าพจึงไม่มี
ใครอยากอยู่ในคกุ

4.สัญญาประชาคม รุสโซ เสนอให้ประชาชนทำสัญญาประชาคมร่วมกัน เรียกว่า สัญญาประชาคม
(Social Contract) เพื่อสรา้ งประชาคมการเมืองขึ้น

5.ผทู้ รงอำนาจอธิปไตยของประชาชนท่ีประชุมร่วมกนั ในฐานะ ผ้ทู รงอำนาจอธิปไตยเพอื่ ทำหนา้ ทบี่ ญั ญัติ
กฎหมาย

6.ประชาชนทำหนา้ ท่ีเป็น พลเมืองในการปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ตามกฎหมาย

7.เจตจำนงทั่วไป ในฐานะผู้ทรงอำนาจอธปิ ไตย ประชาชนตอ้ งบญั ญตั กิ ฎหมายใหต้ อบสนอง เจตจำนง
ท่ัวไปของประชาชน

8.การเลือกผู้แทนราษฎร รุสโซ เหน็ ว่า การเลือกผ้แู ทนราษฎร คือจดุ เร่มิ ต้นของอวสานแหง่ เสรภี าพของ
เสรีชน รสุ โซ เหน็ วา่ ประชาชนไม่ควรมอบอำนาจอธปิ ไตยใหแ้ ก่ใครทั้งส้ิน แนวคดิ รสุ โซ เป็นแนวคิดการปกครอง
แบบตรงทีป่ ระชาชนปกครองประเทศโดยตรง แต่ในความเปน็ จริงไม่สามารถทำได้ เน่อื งจากมีประชาก รเป็น
จำนวนมาก และในโลกปัจจุบนั เป็นประชาธิปไตยโดยตวั แทนท้งั หมด

เอกสารอา้ งอิง

โทมัส ฮอบส์. สืบคน้ เมอื่ วนั ท่ี 10 กนั ยายน 2565 จาก :
https://th.wikipedia.org/wiki/
จอหน์ ล็อก : นักปรชั ญา. สืบคน้ เม่ือวนั ท่ี 10 กนั ยายน 2565 จาก :
https://www.baanjomyut.com/library_2/philosopher/08.html
มงแตส็ กเี ยอ. สืบคน้ เมอื่ วันท่ี 10 กันยายน 2565 จาก :
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%87%E
0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%AD
Voltaire - การปฏวิ ตั ขิ องโลกตะวันตก. สบื ค้นเมือ่ วันท่ี 10 กนั ยายน 2565 จาก :
http://patiwat603.blogspot.com/p/blog-page_20.html
ฌอง ฌาค รุสโซ (Jean Jacques Rousseau, ค.ศ. 1712-1778). สบื คน้ เม่ือวนั ที่ 10 กันยายน 2565 จาก :
https://www.stou.ac.th/forum/page/Answer.aspx?idindex=142283


Click to View FlipBook Version