The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือครูชีวะเพิ่มเติม ม.4

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by รัชดาภรณ์ ศรีทอง, 2020-06-28 06:13:54

คู่มือครูชีวะเพิ่มเติม ม.4

คู่มือครูชีวะเพิ่มเติม ม.4

ชวี วทิ ยา เลม่ 1 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ 189

ไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสตม์ คี วามคล้ายกนั อยา่ งไร ในแงข่ องโครงสรา้ งและหน้าที่
- ไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสต์มีความคล้ายกนั ในแง่ของโครงสรา้ ง ดังน้ี มเี ย่อื ห้มุ 2 ช้นั มี

DNA มีไรโบโซม เยื่อหุ้มช้ันนอกเรียบ เย่ือหุ้มช้ันในพับทบ ภายในมีของเหลวเป็นท่ีอยู่ของ
เอนไซมห์ ลายชนิด
- ไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสตม์ คี วามคลา้ ยกนั ในแงข่ องหนา้ ที่ ดงั นี้ ทงั้ 2 ออรแ์ กเนลล์ ท�ำ
หน้าที่เก่ียวกับการผลิตพลังงานภายในเซลล์ เช่น ไมโทคอนเดรีย ทำ�หน้าที่สร้างพลังงานให้
กบั เซลลผ์ า่ นการสลายน�้ำ ตาลเปน็ ATP ในกระบวนการหายใจระดบั เซลล์ สว่ นคลอโรพลาสต์
ท�ำ หนา้ ทส่ี ร้างพลังงานใหก้ บั เซลล์ โดยเปลยี่ นพลงั งานแสงเปน็ พลงั งานงานเคมี ไปสะสมอยู่
ในรูปของน�ำ้ ตาลดว้ ยกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง

เพอร็อกซิโซม
ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเพอร็อกซิโซมพร้อมกับศึกษารูป 3.19 ในหนังสือเรียนซึ่ง
แสดงลักษณะของเพอรอ็ กซิโซมแลว้ ให้นกั เรยี นรว่ มกนั อภิปราย โดยมแี นวคำ�ถามดังนี้

เพอร็อกซโิ ซมมโี ครงสร้างอย่างไร
ของเหลวท่ีบรรจุอยูภ่ ายในเพอรอ็ กซโิ ซมประกอบดว้ ยอะไร มีความส�ำ คญั อย่างไร
เพอรอ็ กซิโซมทำ�หน้าทอ่ี ะไร

จากการอภปิ รายรว่ มกันนกั เรยี นควรอธิบายไดว้ ่าเพอร็อกซิโซมเปน็ ถงุ มีเย่ือห้มุ 1 ช้นั รูปรา่ ง
กลม ภายในบรรจขุ องเหลว ของเหลวทบี่ รรจอุ ยภู่ ายในเพอรอ็ กซโิ ซมประกอบดว้ ยเอนไซมท์ ใี่ ชใ้ นการ
สลายไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซดซ์ ง่ึ เปน็ สารพษิ ใหก้ ลายเปน็ ออกซเิ จนและน�ำ้ เอนไซมด์ งั กลา่ วคอื เอนไซม์
คะตะเลส โดยเพอร็อกซิโซมทำ�หน้าท่ีสลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ซ่ึงเป็นสารพิษให้กลายเป็น
ออกซิเจนและนำ้� นอกจากน้ียังรวบรวมสารที่จะทำ�ให้เกิดปฏิกิริยาท่ีให้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และ
เอนไซมต์ ่าง ๆ ไว้ในเพอรอ็ กซิโซมเพือ่ ปอ้ งกันไมใ่ หเ้ กดิ อันตรายกับเซลล์

เซนทรโิ อล
ครใู หน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู เกยี่ วกบั เซนทรโิ อลพรอ้ มกบั ศกึ ษารปู 3.20 ในหนงั สอื เรยี น ซงึ่ แสดง
โครงสรา้ งของเซนทรโิ อลและเซนโทรโซม แล้วให้นกั เรียนรว่ มกนั อภปิ ราย โดยมีแนวคำ�ถามดงั น้ี

เซนทรโิ อลมโี ครงสรา้ งอยา่ งไร
เซนโทรโซม คอื อะไร มีความส�ำ คัญอยา่ งไร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

190 บทที่ 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ ชีววิทยา เล่ม 1

เสน้ ใยสปินเดลิ ท�ำ หนา้ ทีอ่ ะไร
เซนทริโอลพบในเซลลช์ นิดใดบ้าง

จากการอภปิ รายรว่ มกันนักเรียนควรอธบิ ายไดว้ ่าเซนทรโิ อลเปน็ ออร์แกเนลลท์ ี่ไม่มีเยอ่ื หุ้ม อยู่
ใกลก้ ับนวิ เคลยี ส ประกอบดว้ ยไมโครทิวบลู เรียงกนั 9 กลมุ่ กลุ่มละ 3 หลอด เชื่อมกันเป็นแทง่ ทรง
กระบอก พบอยเู่ ปน็ ควู่ างตง้ั ฉากกนั บรเิ วณทเ่ี ซนทรโิ อลอยตู่ งั้ ฉากกนั เปน็ คแู่ ลว้ ถกู ลอ้ มรอบดว้ ยโปรตนี
เรยี กวา่ เซนโทรโซม มคี วามส�ำ คญั คอื เปน็ แหลง่ ก�ำ เนดิ ของเสน้ ใยสปนิ เดลิ ซง่ึ ท�ำ หนา้ ทชี่ ว่ ยใหโ้ ครโมโซม
เคล่อื นออกจากกัน เซนทรโิ อลพบในเซลล์สัตวแ์ ละส่งิ มชี วี ติ เซลล์เดยี ว

ไซโทสเกเลตอน
ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับไซโทสเกเลตอนพร้อมกับศึกษารูป 3.21 ซ่ึงเป็นภาพ
โครงสรา้ งของไซโทสเกเลตอนในหนงั สอื เรยี น แล้วใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภิปราย โดยมีแนวคำ�ถามดังน้ี

ไซโทสเกเลตอนคืออะไร มคี วามส�ำ คัญกบั เซลล์อยา่ งไร
ไซโทสเกเลตอนแบ่งเปน็ ก่ีชนดิ ไดแ้ กอ่ ะไรบ้าง
ไมโครฟิลาเมนท์มโี ครงสรา้ งอย่างไร
ไมโครฟิลาเมนทท์ �ำ หนา้ ท่อี ะไร
ไมโครทิวบลู มีโครงสร้างอยา่ งไร
ไมโครทวิ บูลทำ�หน้าท่อี ะไร
อนิ เทอรม์ เี ดยี ทฟลิ าเมนทม์ โี ครงสร้างอย่างไร
อนิ เทอรม์ เี ดียทฟิลาเมนท์ทำ�หน้าทีอ่ ะไร

จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี นควรอธบิ ายไดว้ า่ ไซโทสเกเลตอนคอื เสน้ ใยโปรตนี มคี วามส�ำ คญั
ตอ่ เซลล์ ดังนี้

- ทำ�หน้าทค่ี ้ำ�จุนเซลล์
- เปน็ ทีย่ ดึ เกาะของออร์แกเนลลใ์ ห้อย่ใู นต�ำ แหนง่ ต่าง ๆ
- ช่วยในการเคลอื่ นท่ขี องออรแ์ กเนลลภ์ ายในเซลล์
- ชว่ ยในการเคล่ือนท่ขี องเซลล์

ไซโทสเกเลตอนแบง่ เปน็ 3 ชนิด ได้แก่
1. ไมโครฟิลาเมนท์ หรือ แอกทนิ ฟลิ าเมนท์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 1 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการทำ�งานของเซลล์ 191

2. ไมโครทิวบลู
3. อินเทอร์มเี ดียทฟลิ าเมนท์

และอธิบายโครงสร้างและหน้าทีข่ องไซโทสเกเลตอนแตล่ ะชนดิ ไดว้ า่
- ไมโครฟิลาเมนท์เป็นเส้นใยที่ประกอบด้วยโปรตีนแอกทินซ่ึงมีรูปร่างเป็นก้อนต่อกันเป็น

สายจ�ำ นวน 2 สาย และพนั บดิ กนั เปน็ เกลยี ว ท�ำ หนา้ ทส่ี �ำ คญั ในการหดตวั ของเซลลก์ ลา้ มเนอ้ื
การเคล่ือนที่ของอะมีบาและเซลล์เม็ดเลือดขาว การเปล่ียนรูปร่างของเซลล์ช่วยแบ่ง
ไซโทพลาซมึ ในการแบง่ เซลลส์ ตั ว์ นอกจากนที้ �ำ หนา้ ทคี่ �ำ้ จนุ พบในไมโครวลิ ไลทผ่ี วิ ดา้ นบน
ของเซลลบ์ ผุ วิ และช่วยให้เกิดการไหลเวยี นของไซโทพลาซมึ ในเซลล์พชื
- ไมโครทิวบูลเป็นหลอดกลวงเกิดจากโปรตีนทิวบูลิน เรียงต่อกันเป็นหลอด ทำ�หน้าท่ีเป็น
โครงร่างภายในเซลล์ท่ีทำ�หน้าที่ยึดและลำ�เลียงออร์แกเนลล์ เป็นโครงสร้างของเส้นใย
สปนิ เดิล เปน็ แกนของซเิ ลียและแฟลเจลลมั ซง่ึ ชว่ ยในการเคลื่อนทข่ี องสง่ิ มีชวี ิตเซลลเ์ ดียว
บางชนดิ
- อินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนท์เป็นเส้นใยท่ีประกอบด้วยเส้นใยโปรตีนหน่วยย่อยหลายหน่วย
ซ่ึงเรียงตวั เป็นสายยาว 8 ชุด ชดุ ละ 4 สาย พันเปน็ เกลยี ว มีการจัดเรยี งตัวเปน็ รา่ งแหตาม
ลักษณะรูปร่างของเซลล์ ทำ�หน้าที่เป็นโครงร่างคำ้�จุนตลอดท้ังเซลล์ พบได้ท่ีโปรตีน
เคอราทนิ ทผี่ ิวหนัง ขนและเลบ็ ของสตั วม์ ีกระดูกสันหลัง

ไซโทซอล
ครใู หน้ กั เรยี นศกึ ษาเกย่ี วกบั ไซโทซอลในหนงั สอื เรยี นแลว้ ใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั อภปิ ราย โดยมแี นว

คำ�ถามดังนี้

ไซโทซอลคอื อะไร
เอ็กโทพลาซึมคอื อะไร
เอนโดพลาซมึ คืออะไร
ไซโทซอลมคี วามสำ�คัญอยา่ งไร

จากการอภิปรายร่วมกันนักเรียนควรอธิบายได้ว่า ไซโทซอลเป็นส่วนของไซโทพลาซึมที่มี
ลักษณะเป็นสารก่ึงแข็งกึ่งเหลว ไซโทซอลที่อยู่ติดกับเย่ือหุ้มเซลล์ เรียกว่า เอ็กโทพลาซึม ไซโทซอล
บรเิ วณด้านใน เรยี กว่า เอนโดพลาซมึ ไซโทซอลเป็นทอี่ ยูข่ องออร์แกเนลล์ตา่ ง ๆ และโครงสรา้ งอนื่  ๆ
เชน่ เม็ดไขมนั เมด็ สี ในเซลลส์ ตั ว์ และ ergastic substance ในเซลล์พืช

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

192 บทที่ 3 | เซลล์และการท�ำ งานของเซลล์ ชวี วทิ ยา เล่ม 1

3.2.3 นวิ เคลียส
ครูให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียสพร้อมกับรูป 3.5 ซึ่งแสดงโครงสร้างพื้นฐานของ

เซลล์สัตว์และเซลล์พืชและรูป 3.22 ซึ่งแสดงโครงสร้างของนิวเคลียสในหนังสือเรียนแล้วให้นักเรียน
ร่วมกนั อภิปราย โดยมแี นวค�ำ ถามดงั นี้

นวิ เคลยี สพบได้ในส่ิงมีชีวติ ประเภทใด
รปู ร่างของนิวเคลยี สเปน็ อย่างไร และพบทีบ่ ริเวณใดของเซลล์
เม่อื ใช้กล้องจุลทรรศน์อเิ ล็กตรอนศึกษานวิ เคลยี สของเซลล์ พบโครงสรา้ งใดบา้ ง
เยอื่ หมุ้ นวิ เคลยี ส นวิ คลโี อลสั และโครมาทนิ แตล่ ะโครงสรา้ งมลี กั ษณะอยา่ งไรและท�ำ หนา้ ท่ี

อะไร
สิง่ มชี ีวิตโพรแคริโอตทไี่ มม่ ีเยอ่ื หมุ้ นิวเคลียสจะพบสารพันธุกรรมหรอื ไม่ อย่างไร

จากการอภิปรายร่วมกันนักเรียนควรอธิบายได้ว่า นิวเคลียสพบในสิ่งมีชีวิตยูแคริโอต มักมีรูป
ร่างกลม รี หรือยาว พบอยู่กลางเซลล์หรือค่อนไปทางใดทางหน่ึงของเซลล์ โครงสร้างของนิวเคลียส
ประกอบดว้ ย เยอื่ หมุ้ นวิ เคลยี ส นวิ คลโี อลสั และโครมาทนิ และสามารถอธบิ ายลกั ษณะและหนา้ ทข่ี อง
โครงสร้างท้งั สามไดว้ ่า

- เย่อื หมุ้ นิวเคลียส เป็นเยื่อหุ้ม 2 ช้ัน และมชี อ่ งเล็ก ๆ ทะลเุ ย่ือทง้ั 2 ชั้น ซงึ่ เปน็ ทางผ่านของ
สารระหว่างนิวเคลียสและไซโทพลาซึม

- นิวคลีโอลัส เป็นโครงสร้างที่เห็นชัดเม่ือย้อมนิวเคลียสด้วยสีเฉพาะ ไม่มีเย่ือหุ้ม ประกอบ
ด้วย โปรตีนและกรดนิวคลิอิกชนิด RNA เป็นส่วนใหญ่ และมี DNA ซ่ึงเก่ียวข้องกับการ
สงั เคราะห์ RNA รวมกับโปรตีนประกอบเป็นไรโบโซม

- โครมาทนิ เปน็ สาย DNA ท่ขี ดพนั กันไปมาในนิวเคลียส เมอื่ แบ่งเซลลพ์ บวา่ โครมาทินจะ
ขดตวั แน่นทำ�ให้หนาและสั้นลงจนเหน็ เป็นแทง่ โครโมโซม โดย DNA ทำ�หนา้ ท่ีควบคุมการ
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม

รวมท้ังบอกได้ว่าสิ่งมีชีวิตโพรแคริโอตที่ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียสจะพบสารพันธุกรรมอยู่ใน
ไซโทพลาซึมของเซลล์ ซง่ึ เรยี กบริเวณนวี้ ่า นวิ คลีออยด์

ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อตอบคำ�ถามตรวจสอบความเข้าใจในหนังสือเรียน โดยมี
แนวค�ำ ตอบดงั นี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เลม่ 1 บทที่ 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ 193

เฉลยตรวจสอบความเข้าใจ

เพราะเหตใุ ดนิวเคลียสจงึ เป็นศูนยก์ ลางควบคมุ การท�ำ งานของเซลล์
เพราะในนิวเคลียสมีสารพันธุกรรมท่ีเป็นตัวกำ�หนดการสร้างโปรตีนซ่ึงส่งผลต่อการ

ท�ำ งานตา่ ง ๆ ของเซลล์

ครูอาจให้นักเรียนสรุปโครงสร้างท่ีสำ�คัญเพ่ือเปรียบเทียบระหว่างเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ โดย
ให้นกั เรยี นเขยี นตามความเข้าใจและจากการสืบคน้ ขอ้ มูลจากแหล่งอนื่  ๆ แล้วให้ร่วมกนั อภปิ รายเพื่อ
หาข้อสรปุ ทถ่ี ูกต้องของชั้นเรยี น ตัวอย่างแนวทางการสรุปควรเป็นดังน้ี

โครงสร้างส�ำ คัญ เซลล์พืช เซลลส์ ัตว์
1. เย่อื หุ้มเซลล์ มี มี
2. ผนังเซลล์ มี ไม่มี
3. เอนโดพลาสมิกเรติคลู ัม มี มี
4. ไรโบโซม มี มี
5. กอลจิคอมเพลก็ ซ์ มี มี
6. ไลโซโซม มี มี
7. แวควิ โอล มี มี
8. ไมโทคอนเดรีย มี มี
9. พลาสทิด (คลอโรพลาสต์) มี ไม่มี
10. เพอรอ็ กซิโซม มี มี
11. เซนทรโิ อล ไม่มี มี
12. ไซโทสเกเลตอน มี มี
13. นวิ เคลียส มี มี

นอกจากน้ีครูอาจให้นักเรียนสรุปเป็นรายงานเก่ียวกับโครงสร้างเซลล์ (อาจวาดภาพประกอบ)
ลักษณะและหนา้ ท่ขี องโครงสร้างเซลล์ได้ ดังนี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

194 บทท่ี 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ ชวี วิทยา เล่ม 1

โครงสรา้ งเซลล์ ลักษณะ หน้าท่ี
และภาพประกอบ

ส่วนทหี่ ่อหมุ้ เซลล์ เปน็ เย่อื หุ้มช้นั เดียวประกอบ ควบคมุ การลำ�เลียงสารเขา้ และ
1. เยือ่ หมุ้ เซลล์ ด้วยฟอสโฟลิพดิ เรียงตวั 2 ชน้ั ออกจากเซลล์
ซ่งึ มีโปรตีนแทรกอยู่ และพบ
ไกลโคลพิ ิด ไกลโคโปรตนี ทด่ี ้าน
นอกเย่ือห้มุ

2. ผนังเซลล์ - เปน็ โครงสร้างหุม้ อย่ดู า้ นนอก ท�ำ ให้เซลลค์ งรูปและเพิ่มความ
ของเยอ่ื ห้มุ เซลล์ในเซลล์พชื แข็งแรงให้กับเซลล์

- ผนังเซลล์ของพชื ประกอบด้วย
เซลลูโลสและเพกทนิ เป็นหลัก
บางบรเิ วณพบพลาสโมเดสมาตา

ออรแ์ กเนลลใ์ นไซโทพลาซมึ
1. เอนโดพลาสมกิ เรตคิ ลู ัม มเี ยื่อหมุ้ ชัน้ เดยี ว เป็นถงุ แบน

เช่ือมถงึ กนั กระจายเป็นร่างแห
เรียงซ้อนกันเชอ่ื มต่อกบั เย่อื ห้มุ
ช้ันนอกของนิวเคลยี ส

- เ อนโดพลาสมกิ เรติคูลัม มไี รโบโซมเกาะทผ่ี ิวด้านนอก สรา้ งโปรตนี ส่งออกนอกเซลล์
แบบผิวขรขุ ระ หรือเปน็ ส่วนประกอบของ
เย่อื หมุ้ เซลล์

- เอนโดพลาสมิกเรตคิ ูลัม ไม่มไี รโบโซมเกาะ สงั เคราะห์สารพวกลพิ ิด ท�ำ ลาย
แบบผวิ เรยี บ สารพิษท่เี ข้าสเู่ ซลลแ์ ละเป็น
แหลง่ สะสมแคลเซียมไอออนใน
เซลลก์ ลา้ มเนือ้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เลม่ 1 บทท่ี 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ 195

โครงสร้างเซลล์ ลกั ษณะ หนา้ ที่
และภาพประกอบ
2. ไรโบโซม ไม่มีเยอื่ หมุ้ มขี นาดเลก็ สังเคราะห์โปรตีนท่ีเปน็ ส่วน

3. กอลจิคอมเพล็กซ์ ประกอบดว้ ย 2 หนว่ ยย่อย คอื ประกอบของเยอื่ หุ้มเซลลห์ รอื

4. ไลโซโซม หน่วยยอ่ ยเลก็ และหน่วยย่อย สง่ ออกนอกเซลล์ หรือใช้ภายใน

5. แวควิ โอล ใหญ่ ปกติจะอย่แู ยกกนั จะมา เซลล์
- คอนแทร็กไทล์แวควิ โอล
- ฟูดแวคิวโอล รวมกันขณะทส่ี ังเคราะห์โปรตีน
- แซบแวควิ โอล
6. ไมโทคอนเดรีย มเี ย่อื หมุ้ ช้นั เดียว เปน็ ถุงแบน รวบรวมสารท�ำ ใหส้ ารเข้มขน้

7. พลาสทิด ซ้อนกันเปน็ ชนั้ ตรงริมขอบพอง เตมิ คารโ์ บไฮเดรตใหก้ บั โปรตีน
- คลอโรพลาสต์
ออกเป็นเวสิเคลิ หรือลพิ ดิ ท่สี ง่ มาจาก

เอนโดพลาสมิกเรติคูลมั

มเี ย่ือหุ้มชน้ั เดยี ว เปน็ เวสิเคลิ มา ยอ่ ยอาหาร และสว่ นประกอบ

จากกอลจิคอมเพลก็ ซ์ ภายในมี ของเซลล์ท่เี ซลลไ์ มต่ ้องการ รวม

เอนไซมก์ ลมุ่ ไฮโดรเลส ท้งั สงิ่ แปลกปลอมท่ีเขา้ สู่เซลล์

มเี ย่ือหุ้มช้ันเดยี ว มีรปู ร่าง

ขนาด แตกตา่ งกนั ตามชนดิ ของ - รกั ษาดลุ ยภาพของน�ำ้ ใน

แวควิ โอล สิ่งมีชีวิตเซลลเ์ ดยี ว

- รบั สารทีม่ าจากภายนอกเซลล์

- สะสมน�้ำ และสารอื่น ๆ ในพืช

มเี ย่อื ห้มุ 2 ชัน้ เยอ่ื ชั้นนอกเรียบ สร้างสารพลังงานสูงในรูป ATP
เยอ่ื ช้นั ในพบั ทบย่ืนเขา้ ไปด้าน ใหก้ ับเซลล์
ในเพอื่ เพ่มิ พื้นท่ีผวิ ภายใน
ไมโทคอนเดรยี มีของเหลวบรรจุ
อยู่ เรยี ก เมทริกซ์

มีเยือ่ หุม้ 2 ช้นั ภายในมีเยอื่ ท่ี สังเคราะหด์ ว้ ยแสง
เป็นถุงแบน เรียก ไทลาคอยด์
เรียงซ้อนกนั เป็นตั้ง เรียก
กรานมุ มีของเหลวอยภู่ ายใน
คลอโรพลาสต์ เรยี ก สโตรมา

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

196 บทที่ 3 | เซลล์และการท�ำ งานของเซลล์ ชีววทิ ยา เล่ม 1

โครงสรา้ งเซลล์ ลกั ษณะ หน้าท่ี
และภาพประกอบ
8. เพอร็อกซิโซม มเี ยือ่ หุม้ ชนั้ เดียวเป็นถุงกลม สลายไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์
ภายในบรรจุเอนไซม์ทีใ่ ชส้ ลาย
9. เซนทริโอล ไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด

10. ไซโทสเกเลตอน ไม่มเี ย่อื หุ้ม ประกอบด้วย เป็นแกนของเซนโทรโซมซงึ่ เป็น
- ไมโครฟลิ าเมนท์ ไมโครทิวบูลเรยี งกัน 9 กลุ่ม แหล่งกำ�เนิดของเสน้ ใยสปนิ เดิล
กลมุ่ ละ 3 หลอด เชอ่ื มเปน็ รปู
แท่งทรงกระบอก

- เ ป็นเส้นใยโปรตีนเกิดจาก - การหดตวั ของเซลล์กลา้ มเน้ือ

แอกทนิ ซ่ึงมีรูปร่างเปน็ กอ้ น การเคลื่อนที่ของอะมบี าและ

เรยี งตอ่ กนั เป็นสายยาวจำ�นวน เซลล์เม็ดเลือดขาว การเปลยี่ น

2 สายพันบดิ กนั เปน็ เกลยี ว รปู รา่ งของเซลล์ ชว่ ยแบง่

ไซโทพลาซึมในการแบง่ เซลล์

สัตว์ และคำ�้ จุนเซลล์ และการ

ไหลเวียนของไซโทพลาซึมใน

เซลล์พชื

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เล่ม 1 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ 197

โครงสร้างเซลล์ ลักษณะ หน้าที่
และภาพประกอบ
- ไมโครทิวบูล - เ ปน็ หลอดกลวงเกดิ จากกอ้ น - ยดึ และล�ำ เลยี งออร์แกเนลล์

- อนิ เตอร์มเี ดยี ทฟลิ าเมนท์ โปรตีนทิวบูลินเรียงต่อกนั เปน็ เส้นใยสปนิ เดลิ เปน็ แกน

นิวเคลียส ของซิเลยี และแฟลเจลลัม
นวิ เคลยี ส
- ประกอบดว้ ยเสน้ ใยโปรตนี 8 - เป็นโครงรา่ งค�ำ้ จุนตลอดทงั้

ชุด ชุดละ 4 สาย พนั บิดเป็น เซลล์

เกลยี วเส้นใยนจี้ ดั เรียงตัวเป็น

รา่ งแหตามลกั ษณะรปู รา่ งของ

เซลล์

สว่ นใหญร่ ปู ร่างกลม รี หรือยาว เปน็ ศนู ย์กลางควบคุมการ
มเี ยอื่ หมุ้ 2 ชั้น ทำ�งานของเซลล์ เช่น การ
ถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม
การแสดงออกของยีน การแบง่
เซลล์ และการสังเคราะห์โปรตนี

- เยอ่ื หมุ้ นิวเคลยี ส - เป็นเย่ือหุ้ม 2 ชัน้ มชี อ่ งเล็ก ๆ - เปน็ ทางผ่านของสารระหวา่ ง

ทะลเุ ยื่อท้ัง 2 ชนั้ นวิ เคลียสและไซโทพลาซมึ

- นวิ คลโี อลัส - ไ ม่มเี ยอ่ื หุม้ ประกอบดว้ ย - เ ป็นแหลง่ ท่มี กี ารสังเคราะห์
โปรตนี RNA และ DNA ซึ่ง RNA ท่ีรวมกับโปรตีน
เกีย่ วข้องกับการสังเคราะห์ ประกอบเปน็ ไรโบโซม
RNA รวมกบั โปรตนี ประกอบ
เป็นไรโบโซม เมื่อย้อมสีจะตดิ
สีเขม้

- โครมาทิน - เ ปน็ สาย DNA ทพ่ี ันรอบ - ควบคุมการถ่ายทอดลกั ษณะ
โปรตีนขดกนั ไปมาใน ทางพันธกุ รรม
นิวเคลยี ส

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

198 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการทำ�งานของเซลล์ ชวี วทิ ยา เล่ม 1

แนวการวัดและประเมินผล

ด้านความรู้
- โครงสร้างและหน้าท่ีของส่วนท่ีห่อหุ้มเซลล์ของเซลลสัตว์และเซลลพืช จากการอภิปราย

ร่วมกนั และการทำ�แบบฝกึ หดั
- ชนดิ โครงสรา้ ง และหนา้ ทขี่ องออรแ์ กเนลลต์ า่ ง ๆ จากการสบื คน้ ขอ้ มลู การอภปิ รายรว่ มกนั

และการทำ�แบบฝกึ หดั
- โครงสรา้ งและหน้าทข่ี องนวิ เคลียส จากการอภปิ รายร่วมกนั และการท�ำ แบบฝกึ หดั

ดา้ นทกั ษะ
- การสงั เกต และการลงความเหน็ จากขอ้ มลู จากการอภปิ รายรว่ มกนั และการท�ำ แบบฝกึ หดั
- การลงความเหน็ จากขอ้ มูล จากการสบื คน้ ขอ้ มลู และอภปิ รายร่วมกนั
- การส่ือสารสารสนเทศและการรเู้ ท่าทนั ส่ือ จากการสืบค้นข้อมูล และการอภปิ รายรว่ มกนั

ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์
- การใชว้ จิ ารณญาณ และความใจกวา้ ง จากการสงั เกตพฤตกิ รรมในการสบื คน้ ขอ้ มลู การน�ำ

เสนอ และการส่ือสารเพอื่ แลกเปลี่ยนข้อมูล

3.3 การลำ�เลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธิบายและเปรียบเทียบการแพร่ ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลิเทต และแอกทีฟ-
ทรานสปอรต์
2. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเขียนแผนภาพ การลำ�เลียงสารโมเลกุลใหญ่ออกจากเซลล์ด้วย
กระบวนการเอกโซไซโทซิส และการลำ�เลียงสารโมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ด้วยกระบวนการ
เอนโดไซโทซิส

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 1 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ 199

แนวการจดั การเรยี นรู้
ครูนำ�เข้าสู่บทเรียนโดยใช้สถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำ�วันท่ีสามารถใช้ความรู้เร่ืองการ

ลำ�เลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์มาอธบิ ายได้ เชน่
- ภาพถา่ ยสมองจากการตรวจวนิ จิ ฉยั หลอดเลือดดว้ ยเทคนิค MRI (Magnetic Resonance
Imaging) ซงึ่ จะเหน็ หลอดเลอื ดชดั เจนเนอื่ งจากมกี ารฉดี สารเขา้ สหู่ ลอดเลอื ดเพอ่ื เพมิ่ ความ
แตกต่างจากพื้นหลังและความชัดเจนของหลอดเลือด จากนั้นใช้คำ�ถามเพ่ือกระตุ้นความ
สนใจวา่ เพราะเหตใุ ดสารทฉี่ ดี เขา้ ไปจงึ คงอยใู่ นหลอดเลอื ดและไมส่ ามารถล�ำ เลยี งเขา้ สเู่ ซลล์

- ยกตัวอย่างสารอาหารต่างชนิดท่ีนำ�เข้าสู่เซลล์เพื่อนำ�ไปใช้ จากน้ันใช้คำ�ถามเพ่ือกระตุ้น
ความสนใจว่าเซลลม์ ีวธิ ีลำ�เลียงสารทีม่ ีสมบัติแตกต่างกันเหล่านี้ได้อย่างไร

จากนน้ั ครอู ธบิ ายวา่ ในการทเ่ี ซลลจ์ ะด�ำ รงอยไู่ ดจ้ ะตอ้ งมกี ารล�ำ เลยี งสารตา่ ง ๆ เขา้ และออกจาก
เซลล์ พร้อมยกตัวอย่างสาร (รูป 3.23 ในหนังสือเรยี น) แลว้ ยกตัวอยา่ งกรณขี องความเข้มขน้ ของสาร
ทแ่ี ตกตา่ งกันระหว่างภายในและภายนอกเซลล์ เช่น ในกรณีความเขม้ ขน้ ของไอออนต่างชนดิ ภายใน
และภายนอกเซลล์ประสาทของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำ�นม (รูป 3.24 ในหนังสือเรียน) เพ่ือสรุปว่า
นอกจากชนิดของสารแลว้ เซลลย์ งั สามารถควบคุมปรมิ าณสารทผี่ ่านเข้าออกดว้ ย

ครูทบทวนความรู้เก่ียวกับการที่เยื่อหุ้มเซลล์ทำ�หน้าท่ีเป็นเยื่อเลือกผ่านในการลำ�เลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ จากน้นั ท�ำ กิจกรรม 3.2 เพอ่ื ศกึ ษาสมบตั ิการเปน็ เยือ่ เลือกผา่ นของเย่ือหมุ้ เซลล์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

200 บทที่ 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ ชีววทิ ยา เล่ม 1

กิจกรรม 3.2 สมบัตกิ ารเปน็ เยอ่ื เลอื กผา่ นของเยื่อห้มุ เซลล์

จุดประสงค์
1. ท�ำ กิจกรรมเพ่ือศกึ ษาสมบตั ิการเปน็ เยื่อเลือกผ่านของเยือ่ หุ้มเซลล์
2. วเิ คราะห์ผลจากการทำ�กจิ กรรม และสรปุ สมบัติการเปน็ เย่ือเลือกผา่ นของเยือ่ หุ้มเซลล์

เวลาที่ใช้ 2 ชว่ั โมง

วสั ดแุ ละอุปกรณ์

รายการ ปริมาณต่อกลุ่ม

1. ต ัวอย่างสงิ่ มชี วี ิต เชน่ แหนทีม่ รี ากตดิ อยู่ สไปโรไจรา ตวั อยา่ งสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ ละ
สาหร่ายเซลลเ์ ดยี ว ยีสต์ 2-3 ชดุ ตอ่ หอ้ ง
2-3 ขวดตอ่ หอ้ ง
2. สีนวิ ทรัลเรด (neutral red) 0.5% 2-3 ขวดตอ่ หอ้ ง
3. สีผสมอาหารสีแดง 1 ขวด
4. น�ำ้ กล่นั 1 กลอ้ ง
5. กล้องจุลทรรศน์ใชแ้ สงเชงิ ประกอบ 10 ชดุ
6. สไลด์พร้อมกระจกปดิ สไลด์ 2-3 อนั
7. เข็มเขยี่ 5 หลอด
8. หลอดหยด 5 อนั
9. พกู่ ัน 5 จาน
10. จานเพาะเชื้อ

การเตรยี มลว่ งหนา้
1. ครเู ตรยี มตวั อยา่ งสง่ิ มชี วี ติ โดยอาจเลอื กจากสง่ิ มชี วี ติ ทหี่ าไดง้ า่ ยในทอ้ งถน่ิ เชน่ แหนทม่ี รี าก

ตดิ อยู่ สไปโรไจรา สาหรา่ ยเซลลเ์ ดยี ว ยสี ต์
2. ถ้าไม่สามารถหาสีผสมอาหารสีแดงได้อาจใช้สีผสมอาหารสีอ่ืนแทน แต่ไม่ควรใช้สีเขียว

เน่ืองจากจะท�ำ ให้สงั เกตการเปลยี่ นแปลงไดย้ าก
3. เตรียมสารละลายสีนิวทรลั เรดปริมาตร 10-15 มลิ ลิลติ ร ต่อขวด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เลม่ 1 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ 201

4. สีนิวทรัลเรดจะไม่ทำ�ให้สิ่งมีชีวิตตายทันที แต่ถ้าเข้าสู่เซลล์ในปริมาณสูงจากการแช่ใน
สารละลายสที ม่ี คี วามเขม้ ขน้ มากจะท�ำ ใหเ้ ซลลต์ ายเรว็ ขนึ้ และไมค่ วรแชท่ งิ้ ไวน้ าน ครอู าจ
ทำ�การทดลองล่วงหน้าเพ่ือหาระยะเวลาท่ีเหมาะสมในการย้อมสี โดยเปล่ียนแปลงระยะ
เวลาท่ีกำ�หนดในวธิ ีการไดต้ ามความเหมาะสม

ขอ้ เสนอแนะส�ำ หรับครู
ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 3-4 คน ครูอาจทบทวนวิธีการเตรียมสไลด์สดและการใช้

กลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สงเชงิ ประกอบ แนะน�ำ ใหน้ กั เรยี นบนั ทกึ ผลทไี่ ดโ้ ดยอาจวาดภาพหรอื ถา่ ย
ภาพประกอบ จากนัน้ รว่ มกนั อภปิ รายผลการทดลองเพอ่ื ตอบคำ�ถามในกจิ กรรม

ตวั อยา่ งผลการทำ�กจิ กรรม
ตัวอย่างผลการทำ�กิจกรรมที่ใช้รากแหน จะเห็นได้ว่าเซลล์รากแหนย้อมติดสีนิวทรัลเรด

แต่ไมต่ ิดสผี สมอาหารสีแดง ดงั ภาพ

หมายเหตุ ถ้าทดลองกับสไปโรไจรา สาหรา่ ยเซลลเ์ ดียว หรอื ยสี ต์ ก็จะได้ผลการทดลอง
เปน็ เชน่ เดยี วกบั รากแหน

เมอ่ื ทำ�กจิ กรรมแลว้ ใหน้ ักเรยี นตอบค�ำ ถามท้ายกจิ กรรม

เฉลยคำ�ถามทา้ ยกจิ กรรม
หลังการแช่สี ลักษณะภายในเซลล์เปล่ียนไปหรือไม่ อย่างไร และผลท่ีได้ระหว่างสีทั้งสอง
ชนิดเหมอื นหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร
รากแหนทแ่ี ช่ในสีนิวทรัลเรดจะเห็นสแี ดงภายในเซลล์ของราก ส่วนรากแหนท่แี ช่ในสีผสม
อาหารจะใสหรือเห็นเปน็ สีเขยี วเหมอื นรากแหนปกติ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

202 บทท่ี 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ ชวี วิทยา เล่ม 1

ถา้ ทดสอบความสามารถในการละลายของสที งั้ สองโดยน�ำ สารละลายสปี ระมาณ 2 มลิ ลลิ ติ ร
และใส่น้�ำ มนั ลงไป 2 มลิ ลลิ ติ ร จากนนั้ เขย่าและท้ิงไว้ 15 นาที สังเกตได้ผลดังภาพด้านลา่ ง
จากผลท่ีได้ในกิจกรรมและการทดสอบสมบัติการละลายของสีดังกล่าว สามารถสรุปถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติการละลายของสารและความสามารถในการลำ�เลียงผ่าน
เย่ือห้มุ เซลล์ไดอ้ ย่างไร

นำ�้ มนั น้ำ�มนั

สารละลาย PBS* สารละลาย PBS*
ซึง่ มีน้�ำ เปน็ ซงึ่ มนี ำ�้ เป็น
ตวั ท�ำ ละลาย ตวั ทำ�ละลาย

สนี วิ ทรลั เรด สผี สมอาหารสแี ดง

สีนิวทรลั เรดท่ี pH ต่าง ๆ
(*สารละลาย PBS (Phosphate Buffered Saline) ประกอบดว้ ยเกลอื ประเภทต่าง ๆ

ละลายในน้ำ�กล่นั ในการทดสอบนี้ใชส้ ารละลาย PBS ท่ีมคี ่า pH ประมาณ 7.4)

ผลท่ีได้สอดคล้องกับการที่เยื่อหุ้มเซลล์มีลิพิดเป็นองค์ประกอบและมีสมบัติเป็นเย่ือเลือก
ผา่ น ซงึ่ ท�ำ ใหส้ ารทล่ี ะลายไดใ้ นลพิ ดิ เชน่ สนี วิ ทรลั เรดผา่ นเขา้ สเู่ ซลลไ์ ด้ สว่ นสารทไี่ มล่ ะลาย
ในลิพดิ หรือสารที่ชอบน�ำ้ เชน่ สผี สมอาหารจะไมส่ ามารถลำ�เลียงเข้าสเู่ ซลลไ์ ด้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เล่ม 1 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการทำ�งานของเซลล์ 203

ความรู้เพมิ่ เติมสำ�หรบั ครู

ในการทดสอบความสามารถในการละลายของสนี วิ ทรลั เรดและสผี สมอาหาร ใชส้ ารละลาย PBS
ท่มี คี า่ pH ประมาณ 7.4 แทนน�ำ้ กลัน่ เน่ืองจากท่คี ่า pH ของน้�ำ กลั่น สีนวิ ทรลั เรดจะละลายได้
ไมด่ ใี นน�ำ้ มัน จงึ ไม่เห็นผลทช่ี ัดเจน

จากนน้ั ครอู ธบิ ายวา่ การทโ่ี ครงสรา้ งของเยอ่ื หมุ้ เซลลป์ ระกอบดว้ ยชน้ั ลพิ ดิ นนั้ ท�ำ ใหส้ ารทลี่ ะลาย
ในลิพิดสามารถเข้าสู่เซลล์ได้ (รูป 3.25 ในหนังสือเรียน) และอธิบายว่าสารบางชนิดถึงแม้จะละลาย
น้ำ�ได้แต่ไม่มีประจุและมีขนาดเล็กพอ จะสามารถลำ�เลียงผ่านชั้นลิพิดได้เช่นเดียวกัน เช่น แก๊ส
ออกซเิ จน (รปู 3.26 ในหนังสอื เรียน)

ครยู กตวั อยา่ งสารทเี่ ซลลต์ อ้ งล�ำ เลยี งเขา้ หรอื ออกจากเซลล์ แตไ่ มส่ ามารถล�ำ เลยี งผา่ นชน้ั ลพิ ดิ
ได้ เชน่ กลูโคส (เนอ่ื งจากไม่ละลายในลิพิดและมขี นาดใหญ่เกนิ กว่าจะแทรกผา่ นระหวา่ งโมเลกุลของ
ฟอสโฟลิพิด) คลอไรด์ไอออน (เนื่องจากมีประจุจึงมีความชอบน้ำ�สูงเกินกว่าท่ีจะผ่านช้ันลิพิดได้)
ซึ่งจะลำ�เลียงโดยผ่านโปรตีนลำ�เลียง (transport protein) ในเยื่อหุ้มเซลล์ที่แทรกอยู่ในช้ันลิพิด
(รปู 3.27 ในหนงั สือเรยี น)

จากนั้นครูอธิบายถึงการลำ�เลียงสารที่มีโมเลกุลใหญ่เกินกว่าจะผ่านช้ันลิพิดหรือโปรตีนได้
ซึง่ จะลำ�เลียงเขา้ หรอื ออกจากเซลลไ์ ดโ้ ดยการสรา้ งเวสิเคิลลอ้ มรอบสาร (รปู 3.28 ในหนังสอื เรยี น)

ครสู รปุ ภาพรวมวา่ การล�ำ เลยี งสารเขา้ หรอื ออกจากเซลลม์ หี ลายวธิ ี ซงึ่ ขน้ึ อยกู่ บั สมบตั ขิ องสาร
รวมทง้ั สมบตั ขิ องโครงสรา้ งตา่ ง ๆ ของเยอ่ื หมุ้ เซลล์ และอาจใหน้ กั เรยี นวาดแผนภาพส�ำ หรบั แตล่ ะกรณี
รวมในแผนภาพเดยี วกนั รวมทงั้ สบื คน้ ขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั ตวั อยา่ งสารอาหารทลี่ �ำ เลยี งเขา้ และออก
จากเซลล์ด้วยวิธตี ่าง ๆ เพอ่ื ใชใ้ นการจัดท�ำ แผนภาพ

ครูอาจให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์และอภิปรายถึงกรณีสารท่ีเพิ่มความชัดเจนระหว่างหลอด
เลือดและเนื้อเย่ืออ่ืน ๆ ในการตรวจวินิจฉัยหลอดเลือดในสมองด้วยเทคนิค MRI ท่ีได้กล่าวถึงในขั้น
น�ำ เขา้ สบู่ ทเรยี น เพอ่ื สรปุ ถงึ สมบตั ขิ องสารดงั กลา่ วทสี่ มั พนั ธก์ บั ความสามารถในการล�ำ เลยี งเขา้ สเู่ ซลล์
โดยใช้แนวคำ�ตอบของค�ำ ถามทา้ ยบทขอ้ ที่ 5

กลไกการล�ำ เลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์
ครูอธิบายกลไกการลำ�เลียงสารเข้าและออกจากเซลล์แบบต่าง ๆ ท่ีกล่าวถึงข้างต้น โดยอาจใช้

แอนิเมชันหรือวีดิทัศน์ประกอบ แล้วให้นักเรียนเขียนแผนภาพเพื่อช่วยในการสรุปกลไกการลำ�เลียง
สารดว้ ยวธิ ตี ่าง ๆ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

204 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ ชวี วิทยา เลม่ 1

การแพรแ่ บบธรรมดา
ครทู บทวนความรเู้ รื่องการแพรข่ องโมเลกลุ สาร โดยใช้กรณขี องการหยดสารละลายด่างทับทมิ
ลงในนำ้� จากน้ันอธิบายกลไกการแพร่แบบธรรมดาว่าเกิดจากการเคลื่อนท่ีของโมเลกุลสารและการ
เคลอ่ื นไหวของฟอสโฟลพิ ดิ ในชนั้ ลพิ ดิ ทท่ี �ำ ใหเ้ กดิ ชอ่ งทโ่ี มเลกลุ สารสามารถแทรกผา่ นได้ โดยมที ศิ ทาง
การลำ�เลียงจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารสูงไปยังบริเวณท่ีมีความเข้มข้นของสารตำ่� (รูป 3.29
ในหนงั สอื เรยี น) อาจใหน้ กั เรียนสืบคน้ ข้อมลู เพ่อื หาตัวอย่างสารที่ลำ�เลยี งโดยวธิ นี ีเ้ พม่ิ เติม

ออสโมซสิ
ครูอธิบายเกี่ยวกับออสโมซิส โดยเพิ่มเติมจากกรณีการแพร่แบบธรรมดา ว่าโมเลกุลของนำ้�มี
การเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาและสามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้เช่นกัน ครูอาจเช่ือมโยงความรู้กับ
สถานการณใ์ นชวี ติ ประจ�ำ วนั เชน่ การเกบ็ รกั ษาพชื ผกั ไมใ่ หเ้ หยี่ ว ความเขม้ ขน้ ของน�ำ้ เกลอื ทใี่ หผ้ ปู้ ว่ ย
ผา่ นทางหลอดเลือด

การแพร่แบบฟาซลิ ิเทต
ครนู �ำ เขา้ สเู่ รอื่ งการแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทต โดยใชผ้ ลการวดั อตั ราการล�ำ เลยี งกลโู คสเขา้ สเู่ ซลลเ์ มด็
เลอื ดแดงโดยเลี้ยงเซลล์เมด็ เลอื ดแดงในสารละลายกลูโคสทมี่ ีความเข้มขน้ แตกต่างกนั ซ่ึงพบวา่ อัตรา
การล�ำ เลยี งทวี่ ดั ไดต้ า่ งจากคา่ ประมาณการหากเกดิ การล�ำ เลยี งโดยการแพรแ่ บบธรรมดา (รปู 3.30 ใน
หนังสือเรียน) และถามวา่ การล�ำ เลยี งกลูโคสเขา้ ส่เู ซลล์เม็ดเลอื ดแดงน้มี ีกลไกเปน็ อย่างไร
ครูอธิบายถึงอัตราการลำ�เลียงกลูโคสเข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดแดงในการทดลองว่า เนื่องจากการ
แพร่แบบฟาซิลิเทตเกิดผ่านโปรตีนลำ�เลียงซ่ึงมีความจำ�เพาะต่อสารจึงเกิดได้เร็วกว่าการแพร่แบบ
ธรรมดามากท่ีความเข้มข้นเร่ิมต้นเดียวกัน จากนั้นอธิบายถึงกลไกการแพร่แบบฟาซิลิเทต
โดยครอบคลมุ ถงึ การจบั กบั โปรตนี ล�ำ เลยี งทม่ี คี วามจ�ำ เพาะกบั สาร การเปลยี่ นแปลงรปู รา่ งของโปรตนี
ล�ำ เลยี งทท่ี �ำ ใหโ้ มเลกลุ ของสารทจี่ บั เคลอื่ นเขา้ สเู่ ซลล์ และทศิ ทางการล�ำ เลยี งทสี่ มั พนั ธก์ บั ความเขม้ ขน้
(รูป 3.31 ในหนังสอื เรียน)
ครูให้นักเรียนเปรียบเทียบการแพร่แบบธรรมดากับการแพร่แบบฟาซิลิเทตในประเด็นต่อไปน้ี
และอาจใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ตวั อยา่ งสารอาหารทลี่ �ำ เลยี งดว้ ยการแพรแ่ บบธรรมดา
และการแพร่แบบฟาซิลเิ ทต

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เล่ม 1 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ 205

ประเดน็ การแพรแ่ บบธรรมดา การแพร่แบบฟาซิลเิ ทต
กลไกการล�ำ เลียง
ทศิ ทางการลำ�เลียง เคลือ่ นผา่ นระหวา่ งโมเลกลุ ใน ใช้โปรตีนล�ำ เลยี ง
ชัน้ ลิพดิ
ตวั อยา่ ง
จากบรเิ วณทีม่ คี วามเขม้ ข้นของ จากบรเิ วณทม่ี ีความเข้มข้นของ
สารสูงไปยังบริเวณทีม่ ีความเข้ม สารสงู ไปยังบรเิ วณทม่ี คี วามเขม้

ขน้ ของสารต�ำ่ ขน้ ของสารต่�ำ

การลำ�เลียงกรดไขมัน วติ ามิน A การล�ำ เลียงฟรักโทสเข้าสู่เซลล์

D E และ K เข้าสเู่ ซลล์บุผวิ บผุ ิวล�ำ ไสเ้ ล็ก
ลำ�ไส้เล็ก

จากนน้ั ครใู หน้ ักเรียนตอบคำ�ถามในหนังสือเรียน ซ่งึ มีแนวค�ำ ตอบดังนี้

จากรูป 3.30 เมื่อความเข้มข้นเร่ิมต้นของกลูโคสภายนอกเซลล์สูงข้ึนมาก เพราะเหตุใดอัตรา
การลำ�เลียงกลูโคสจึงมีแนวโน้มท่จี ะมคี ่าคงที่ในทสี่ ุด

เนอ่ื งจากโปรตนี ทใ่ี ชล้ �ำ เลยี งกลโู คสดว้ ยการแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทตนน้ั มปี รมิ าณจ�ำ กดั ในเยอ่ื หมุ้ เซลล์
เม่ือถึงจุดอิ่มตัว โปรตีนทุกตัวทำ�หน้าที่ลำ�เลียงกลูโคส ดังน้ันเมื่อเพิ่มความเข้มข้นของกลูโคส
ภายนอกเซลลข์ น้ึ อีกก็จะไมส่ ามารถเพ่มิ อัตราการล�ำ เลียงกลโู คสเข้าส่เู ซลลไ์ ด้

การที่โปรตีนลำ�เลียงในเยื่อหุ้มเซลล์มีความจำ�เพาะกับชนิดของสารท่ีลำ�เลียงมีประโยชน์ต่อ
เซลล์อย่างไร

การทโ่ี ปรตนี ล�ำ เลยี งในเยอ่ื หมุ้ เซลลม์ คี วามจ�ำ เพาะกบั ชนดิ ของสารท�ำ ใหเ้ ซลลส์ ามารถควบคมุ
ชนดิ และปรมิ าณสารทผี่ า่ นเขา้ ออกไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ เซลลจ์ งึ รกั ษาความเขม้ ขน้ ของสารแตล่ ะ
ชนิดไดต้ ามความเหมาะสม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

206 บทท่ี 3 | เซลล์และการท�ำ งานของเซลล์ ชวี วทิ ยา เลม่ 1

แอกทีฟทรานสปอร์ต
ครูอธิบายเกี่ยวกับแอกทีฟทรานสปอร์ตโดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างจากการลำ�เลียงแบบอ่ืน
เชน่ การแพร่แบบธรรมดา การแพร่แบบฟาซิลเิ ทต โดยชี้ใหเ้ ห็นถงึ การใช้พลังงาน เชน่ พลังงานจาก
การสลายพันธะของ ATP ซึ่งทำ�ให้เซลล์สามารถลำ�เลียงสารย้อนทิศทางความแตกต่างของความ
เขม้ ขน้ ได้ (รปู 3.32 ในหนังสอื เรียน)
ครยู กตวั อยา่ งแอกทฟี ทรานสปอรต์ เชน่ การหลงั่ ไฮโดรเจนไอออนจากเซลลบ์ ผุ วิ ของกระเพาะ
อาหารเขา้ สกู่ ระเพาะอาหาร (รปู 3.33 ในหนงั สอื เรยี น) การรกั ษาความเขม้ ขน้ ของโซเดยี มไอออนและ
โพแทสเซยี มไอออนภายในเซลลป์ ระสาทของสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยน�้ำ นม โดยชแี้ จงวา่ แอกทฟี ทรานสปอรต์
อาจมีรายละเอียดของกลไกท่ีแตกต่างกันระหวา่ งกรณี
ครูอาจเชื่อมโยงความรู้กับสถานการณ์ในชีวิตประจำ�วัน เช่น การใช้ยาลดกรดบางประเภทที่
ยบั ยงั้ การหลงั่ ไฮโดรเจนไอออนเขา้ สกู่ ระเพาะอาหารโดยจบั กบั โปรตนี ทล่ี �ำ เลยี งไฮโดรเจนไอออน ท�ำ ให้
ไมส่ ามารถลำ�เลยี งไดต้ ามปกติ ปริมาณกรดท่ีหล่ังสู่กระเพาะอาหารจงึ ลดลง

เฉลยตรวจสอบความเข้าใจ

การแพร่แบบธรรมดา การแพร่แบบฟาซิลิเทต และแอกทีฟทรานสปอร์ตเหมือนหรือ

แตกตา่ งกนั อยา่ งไร



ประเด็น การแพร่ การแพร่ แอกทีฟทรานสปอรต์
แบบธรรมดา แบบฟาซลิ เิ ทต

กลไกการลำ�เลยี ง เคลื่อนผา่ นระหวา่ ง ใชโ้ ปรตนี ล�ำ เลยี ง ใชโ้ ปรตีนล�ำ เลียง
โมเลกุลในชั้นลพิ ิด

ทศิ ทางการล�ำ เลยี ง จากบรเิ วณทีม่ ีความ จากบริเวณที่มีความ จากบริเวณท่ีมคี วาม
เขม้ ขน้ ของสารสงู ไป เข้มขน้ ของสารสงู ไป เขม้ ขน้ ของสารต่ำ�ไป
ยังบรเิ วณท่มี ีความ ยังบริเวณท่มี คี วาม ยังบรเิ วณท่มี คี วาม
เข้มข้นของสารตำ่� เข้มข้นของสารตำ�่ เขม้ ขน้ ของสารสูง

พลังงานจาก ATP ไมใ่ ช้ ไม่ใช้ ใช้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 1 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการทำ�งานของเซลล์ 207

แนวการวัดและประเมนิ ผล

ด้านความรู้
- การล�ำ เลยี งสารเขา้ และออกจากเซลลโ์ ดยการแพร่ ออสโมซสิ การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทต และ

แอกทีฟทรานสปอรต์ จากการตอบค�ำ ถาม การอภปิ ราย และการท�ำ กจิ กรรม

ด้านทกั ษะ
- การสังเกต การจำ�แนกประเภท และการลงความเห็นจากข้อมูล จากการตอบคำ�ถาม การ

อภปิ ราย และการทำ�กิจกรรม
- การสือ่ สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทันสอ่ื จากการนำ�เสนอและสืบค้นขอ้ มลู
- การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา จากการอภปิ ราย และการทำ�กจิ กรรม

ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์
- ความอยากรู้อยากเห็นและการใช้วจิ ารณญาณ จากการตอบคำ�ถาม การอภิปราย และการ

ท�ำ กิจกรรม
- ความรอบคอบ ความซ่อื สตั ย์ และความใจกว้าง จากการท�ำ กิจกรรม

การล�ำ เลียงสารโดยการสร้างเวสเิ คลิ
ครูยกตัวอย่างกรณีท่ีเซลล์ลำ�เลียงสารขนาดใหญ่มากเข้าและออกจากเซลล์ เพื่อแสดงให้เห็น
ว่าการลำ�เลียงสารนอกจากจะเกิดผ่านชั้นลิพิดและผ่านโปรตีนแล้ว เซลล์ยังมีกลไกการลำ�เลียงแบบ
อนื่ อีก เช่น การล�ำ เลยี งสารโดยการสร้างเวสิเคิล
ครใู หน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั กลไกและตวั อยา่ งกรณกี ารล�ำ เลยี งสารโดยการสรา้ ง
เวสเิ คลิ (รูป 3.34 และ 3.35 ในหนังสอื เรยี น) และอาจอธบิ ายเอกโซไซโทซิสโดยใช้ตัวอยา่ งการหลัง่
เอนไซมท์ ใี่ ชใ้ นการยอ่ ยอาหารจากเซลลบ์ ผุ วิ ของกระเพาะอาหารเขา้ สชู่ อ่ งในกระเพาะอาหาร จากนน้ั
อธบิ ายเอนโดไซโทซสิ โดยใชต้ วั อยา่ งการน�ำ แบคทเี รยี เขา้ สเู่ ซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวกลมุ่ ฟาโกไซต์ ซง่ี จดั เปน็
ฟาโกไซโทซสิ จากนนั้ อธบิ ายพโิ นไซโทซสิ และการน�ำ สารเขา้ สเู่ ซลลโ์ ดยอาศยั ตวั รบั ซง่ึ เปน็ การล�ำ เลยี ง
สารแบบเอนโดไซโทซิสเช่นเดียวกัน ครูให้นักเรียนเขียนแผนภาพเพ่ือสรุปกลไกการลำ�เลียงสารโดย
การสร้างเวสเิ คิล
ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปถึงการลำ�เลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ด้วยวิธีต่าง ๆ รวมถึงสมบัติ
ของสารและสมบัติของโครงสร้างต่าง ๆ ของเย่ือหุ้มเซลล์ท่ีสัมพันธ์กบั วธิ ีการลำ�เลียงสารตา่ งชนิด

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

208 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ ชวี วิทยา เลม่ 1

แนวการวดั และประเมนิ ผล

ดา้ นความรู้
- การล�ำ เลียงสารโมเลกุลใหญเ่ ขา้ และออกจากเซลล์ จากการตอบค�ำ ถาม และแผนภาพ

ดา้ นทักษะ
- การจ�ำ แนกประเภทจากการตอบค�ำ ถาม
- การสอ่ื สารสารสนเทศและการรู้เท่าทนั สอื่ จากการสบื คน้ ขอ้ มลู และแผนภาพ

ด้านจิตวิทยาศาสตร์
- ความอยากรอู้ ยากเห็น จากการตอบค�ำ ถาม

3.4 การหายใจระดบั เซลล์

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายและสรปุ ขนั้ ตอนการสลายกลูโคสในภาวะท่ีมีออกซเิ จนเพียงพอ
2. อธบิ ายและสรปุ ขน้ั ตอนการสลายกลโู คสในภาวะทมี่ ีออกซิเจนไมเ่ พยี งพอ
3. เปรียบเทียบขั้นตอนการหายใจระดับเซลล์ในภาวะท่ีมีออกซิเจนเพียงพอกับภาวะท่ีมี
ออกซเิ จนไม่เพยี งพอ

แนวการจัดการเรียนรู้
การหายใจระดับเซลล์ในเอกสารหรือตำ�ราเรียนหลายเล่มอาจมีการให้นิยามหรือความหมาย

ของคำ�แตกต่างกันไป เช่น ใช้คำ�ว่าการสลายสารอาหารแทนคำ�ว่าการหายใจระดับเซลล์ และแบ่ง
เป็นการสลายสารอาหารแบบใชอ้ อกซิเจน (aerobic respiration) และการสลายสารอาหารแบบไมใ่ ช้
ออกซเิ จน (anaerobic respiration) ซ่งึ จะรวมกระบวนการหมัก (fermentation) อยใู่ นการสลายสาร
อาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจนด้วย แต่เพ่ือให้ง่ายต่อความเข้าใจ หนังสือเรียนเล่มน้ีจึงใช้ภาวะการมี
ออกซิเจนเพียงพอและออกซิเจนไม่เพียงพอในการอธิบายข้ันตอนการหายใจระดับเซลล์ท่ีเกิดข้ึนใน
เซลล์ เพื่อสลายกลโู คสให้ไดเ้ ปน็ พลงั งาน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 1 บทท่ี 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ 209

3.4.1 การหายใจระดับเซลล์ในภาวะท่มี อี อกซิเจนเพยี งพอ
ครูใช้รูปหรือวีดิทัศน์แสดงกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว พืช สัตว์ หรือกิจกรรมของมนุษย์

และใช้คำ�ถามกระตุ้นให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับการนำ�พลังงานไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของ
ส่ิงมีชีวิต จากน้ันทบทวนเรื่องสารอาหาร ปฏิกิริยาเคมีท่ีเกิดข้ึนในเซลล์ และโครงสร้างเซลล์ โดยใช้
คำ�ถามเพ่ือตรวจสอบความรทู้ น่ี ักเรยี นเคยเรียนมาแลว้ ดังนี้

สารอาหารประเภทใดจดั เปน็ สารอาหารที่ใหพ้ ลังงานกบั สิ่งมีชวี ิต
การลำ�เลียงสารชนดิ ต่าง ๆ เข้าสู่เซลล์ เกีย่ วขอ้ งกบั การสร้างพลังงานอยา่ งไร

คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน จัดเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน สารอาหารเหล่านี้จะ
ลำ�เลยี งเขา้ สูเ่ ซลล์ตา่ ง ๆ เพื่อสรา้ งเปน็ พลงั งานให้กับเซลลใ์ นการเกดิ กจิ กรรมตา่ ง ๆ

ครูอาจใช้ประเด็นคำ�ถามเพิ่มเติมเพ่ือเช่ือมโยงเร่ืองสารอาหาร ปฏิกิริยาเคมีท่ีเกิดขึ้นในเซลล์
กบั การหายใจระดบั เซลล์ ดงั น้ี

คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารหลักท่ีให้พลังงานกับร่างกาย ซึ่งจะผ่านการย่อยสลายจนได้
เป็นมอโนแซกคาไรด์ เช่น กลูโคส ก่อนจะลำ�เลียงเข้าสู่เซลล์เพื่อสร้างพลังงาน กลูโคสจัด
เป็นสารท่ีให้พลังงานสูง การที่เซลล์จะนำ�พลังงานจากการสลายกลูโคสไปใช้โดยตรงอาจ
ท�ำ ใหเ้ กดิ อนั ตรายกบั เซลลไ์ ด้ เซลลจ์ ะสรา้ งพลงั งานจากกระบวนการสลายกลโู คสไดอ้ ยา่ งไร
โดยไม่ทำ�ให้เกิดอนั ตรายขน้ึ กบั เซลล์

ครูเชื่อมโยงคำ�ตอบท่ีได้จากการแสดงความคิดเห็นของนักเรียนกับรูป 3.36 ในหนังสือเรียน
และอธิบายว่าการสร้างพลังงานจากกระบวนการสลายกลูโคสในภาวะท่ีมีออกซิเจนเกิดขึ้นเป็น
กระบวนการตอ่ เนือ่ งกนั เรมิ่ ตัง้ แต่

ไกลโคไลซสิ เปน็ กระบวนการสลายกลโู คสซงึ่ มคี ารบ์ อน 6 อะตอม ใหก้ ลายเปน็ สารทมี่ คี ารบ์ อน
3 อะตอม

การสร้างแอซิทิลโคเอนไซม์เอและวัฏจักรเครบส์ เป็นกระบวนการท่ีเปลี่ยนสารที่ได้จาก
ไกลโคไลซสิ เปน็ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์และสารพลังงานสงู ต่าง ๆ

กระบวนการถ่ายทอดอเิ ล็กตรอน เป็นกระบวนการสง่ ผ่านอิเลก็ ตรอนของสารพลงั งานสูง โดย
มีแก๊สออกซิเจนเกี่ยวข้องในการเป็นตัวรับอิเล็กตรอน และทำ�ให้เกิดการเปล่ียนรูปพลังงานจนกลาย
เป็น ATP ซง่ึ เปน็ สารพลงั งานสูงท่ีเซลล์สามารถน�ำ ไปใชไ้ ด้

จากน้ันครูใช้รูป 3.37 ในหนังสือเรียนอธิบายข้ันตอนของไกลโคไลซิส แล้วให้นักเรียนสืบค้น
ข้อมูลเพ่ิมเติมและร่วมกันอภิปรายโดยอาจใช้ประเด็นคำ�ถามเพื่อนำ�ไปสู่ข้อสรุปเก่ียวกับผลิตภัณฑ์
และพลงั งานทไ่ี ด้จากไกลโคไลซิส ดังนี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

210 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการทำ�งานของเซลล์ ชวี วทิ ยา เลม่ 1

โมเลกุลกลูโคสถูกนำ�มาใช้ในการสรา้ งสารพลงั งานสงู ในรปู ใดบ้าง

จากการอภปิ รายรว่ มกนั นกั เรยี นควรสรปุ ไดว้ า่ ไกลโคไลซสิ มที ง้ั ขน้ั ตอนทใ่ี ชพ้ ลงั งานในรปู ของ ATP
เพอ่ื เตมิ หมฟู่ อสเฟตใหก้ บั โมเลกลุ กลโู คสทม่ี คี ารบ์ อน 6 อะตอม ซง่ึ จะผา่ นขน้ั ตอนตา่ ง ๆ จนกลายเปน็ G3P
ทม่ี คี ารบ์ อน 3 อะตอม จากนน้ั เซลลจ์ ะไดพ้ ลงั งานในรปู แบบของสารพลงั งานสงู คอื ATP และ NADH ซง่ึ
เกดิ จากการเปลย่ี น G3P เปน็ กรดไพรวู กิ และสรปุ ไดว้ า่ กลโู คส 1 โมเลกลุ เมอ่ื ผา่ นไกลโคไลซสิ จะได้
ผลติ ภณั ฑเ์ ปน็ กรดไพรวู กิ 2 โมเลกลุ NADH 2 โมเลกลุ และได้ ATP สทุ ธิ 2 โมเลกลุ

จากนน้ั ครใู ชป้ ระเดน็ ค�ำ ถามกระตนุ้ ความสนใจของนกั เรยี น เพอ่ื เชอ่ื มโยงเขา้ สกู่ ารสรา้ งแอซทิ ลิ
โคเอนไซมเ์ อ ดงั น้ี

ATP 2 โมเลกุลท่ีไดจ้ ากการสลายกลโู คสเมือ่ ผ่านไกลโคไลซิสนี้ เพียงพอต่อความตอ้ งการ
ของเซลลห์ รอื ไม่ เซลลจ์ ะมวี ธิ กี ารอยา่ งไรทจ่ี ะท�ำ ใหไ้ ดพ้ ลงั งานเพม่ิ ขน้ึ จากสารทมี่ พี ลงั งาน
สูงอยา่ งกลโู คส

ครูอาจใช้คำ�ถามเพ่ือทบทวนความรู้เก่ียวกับไมโทคอนเดรียซึ่งเป็นออร์แกเนลล์ที่สำ�คัญใน
การสรา้ งพลงั งานให้กบั เซลล์ ดังน้ี

การสลายกลโู คสในขัน้ ตอนไกลโคไลซิสเกดิ ขึน้ ท่ีบรเิ วณใดของเซลล์
ออรแ์ กเนลล์ใดท่มี ีหน้าท่ีสำ�คัญในการสร้างพลงั งานใหก้ บั เซลล์

การสลายกลโู คสเกดิ ขนึ้ บรเิ วณไซโทซอล โดยมอี อรแ์ กเนลลท์ สี่ �ำ คญั ในการสรา้ งพลงั งานให้
กบั เซลล์คือ ไมโทคอนเดรยี

ความรเู้ พมิ่ เตมิ สำ�หรบั ครู

เซลลล์ �ำ เลยี งกรดไพรวู กิ เขา้ สไู่ มโทคอนเดรยี ซง่ึ เปน็ ออรแ์ กเนลลท์ ม่ี เี ยอ่ื หมุ้ สองชน้ั ไดอ้ ยา่ งไร
ภายในไมโทคอนเดรียมีเอนไซม์ต่าง ๆ ซึ่งเร่งปฏิกิริยาเคมีท่ีทำ�ให้เกิดพลังงานกับเซลล์ ดังน้ัน
เซลล์จึงต้องมีการลำ�เลียงกรดไพรูวิกซึ่งได้จากขั้นตอนไกลโคไลซิสเข้าสู่ไมโทคอนเดรีย
กรดไพรวู กิ เปน็ สารทม่ี โี มเลกลุ เลก็ แตไ่ มส่ ามารถแพรผ่ า่ นเยอื่ หมุ้ ไมโทคอนเดรยี ไดโ้ ดยตรงตอ้ ง
อาศัยการแพร่แบบฟาซิลิเทต อาศัยโปรตีนชื่อว่า porin ที่อยู่บนเย่ือหุ้มชั้นนอก และยังต้อง
อาศยั โปรตนี อีกชนดิ หนึ่งที่อยู่บนเยอื่ หุ้มชน้ั ในคอื เอนไซม์ pyruvate translocase ซึ่งมีความ
จ�ำ เพาะในการจบั และพากรดไพรวู ิกผา่ นเย่ือหมุ้ ชน้ั ในของไมโทคอนเดรียเขา้ สู่เมทรกิ ซ์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เล่ม 1 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการทำ�งานของเซลล์ 211

ครูอาจใช้รูป 3.38 ซ่ึงแสดงการเปลี่ยนกรดไพรูวิกให้กลายเป็นแอซิทิลโคเอนไซม์เอ และใช้
คำ�ถามเพ่อื ให้นกั เรยี นอภิปรายร่วมกนั วา่ การเปล่ยี นกรดไพรูวกิ ใหก้ ลายเป็นแอซทิ ลิ โคเอนไซมเ์ อ
เกิดข้ึนท่ีบรเิ วณใด ผลท่เี กดิ ขึ้นจากการสลายกรดไพรูวิกไดส้ ารพลังงานสูงในรปู ใด

จากการอภิปรายร่วมกัน นักเรียนควรสรุปได้ว่า กรดไพรูวิก 1 โมเลกุลจะถูกลำ�เลียงจาก
ไซโทพลาซึมผ่านเย่ือหุ้มไมโทคอนเดรียเข้าสู่เมทริกซ์ซึ่งเป็นของเหลวในไมโทคอนเดรียและจะทำ�
ปฏิกิริยากับโคเอนไซม์เอ ได้เป็นแอซิทิลโคเอนไซม์เอ 1 โมเลกุล ปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นจะได้แก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์ 1 โมเลกลุ และมีการสรา้ งพลังงานในรปู NADH เกิดข้ึน 1 โมเลกุล

ครูเชือ่ มโยงเขา้ สู่เนอื้ หาของวัฏจักรเครบส์ โดยใชร้ ูป 3.38 ในหนงั สือเรียน ซงึ่ ปฏิกริ ิยาเริ่มต้น
จากการสลายแอซทิ ลิ โคเอนไซมเ์ อ ใหก้ ลายเปน็ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละสารผลติ ภณั ฑต์ า่ ง ๆ โดย
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีเหล่านเ้ี กิดขน้ึ ต่อเนื่องเป็นวัฏจกั ร และเพื่อใหน้ กั เรยี นสามารถสรปุ เก่ียวกบั พลงั งานท่ไี ด้
จากปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในวัฏจักรเครบส์ ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายโดยอาจใช้ประเด็นคำ�ถาม
ในหนงั สอื เรยี นเปน็ แนวทางการอภปิ รายดงั นี้

แอซทิ ลิ โคเอนไซมเ์ อเมอื่ เขา้ สวู่ ฏั จกั รเครบสแ์ ลว้ จะมกี ารปลดปลอ่ ยพลงั งานจากปฏกิ ริ ยิ าตา่ ง ๆ
หรอื ไม่ ถ้ามี พลงั งานเหลา่ นนั้ อย่ใู นรปู ของสารใด

มีการปลดปลอ่ ยพลังงาน อยใู่ นรูปของสารพลงั งานสงู คือ ATP NADH และ FADH2

การสลายกรดไพรูวกิ 1 โมเลกลุ ในไมโทคอนเดรียจะได้ผลติ ภณั ฑ์ใดบ้าง
CO2 3 โมเลกลุ NADH 4 โมเลกลุ FADH2 1 โมเลกุล และ ATP 1 โมเลกุล

จากนนั้ ครใู ชค้ �ำ ถามกระตนุ้ ความสนใจและใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกนั เพอ่ื เชอื่ มโยงเขา้ สเู่ นอ้ื หา
เรอ่ื งกระบวนการถา่ ยทอดอิเลก็ ตรอน โดยอาจใช้ประเด็นค�ำ ถามเพ่มิ เตมิ ดงั น้ี

เซลลต์ ้องการ ATP ไปใชใ้ นกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดเวลาหรือไม่ เพราะเหตุใด
การสลายกลูโคสจนถงึ วัฏจกั รเครบส์ ได้ ATP เพยี งพอต่อความต้องการของเซลล์หรอื ไม่
สมบัติการเป็นตัวให้อิเล็กตรอนของ NADH และ FADH2 เก่ียวข้องกับการสร้างพลังงาน

ให้กบั เซลลห์ รอื ไม่
เซลล์จะมีกระบวนการอ่ืน ๆ เพ่ือเปล่ียนพลังงานในรูปของสารพลังงานสูง ได้แก่ NADH

และ FADH2 ให้ไดเ้ ป็นพลงั งานในรปู ATP อกี หรือไม่ ถ้ามีจะเปลี่ยนรูปพลงั งานอยา่ งไร
เซลลต์ อ้ งการ ATP เพอื่ ใชใ้ นกจิ กรรมตา่ ง ๆ ตลอดเวลา เพราะ ATP เปน็ แหลง่ พลงั งานของ

เซลล์ การสลายกลูโคสเมื่อผ่านกระบวนการไกลโคไลซิสและวัฏจักรเครบส์จะได้ ATP

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

212 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ ชีววทิ ยา เลม่ 1

รวมทงั้ NADH และ FADH2 จ�ำ นวนหน่ึง ซง่ึ อาจยังไม่เพียงพอตอ่ ความต้องการของเซลล์
โดยเฉพาะเม่ือมีกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีต้องใช้พลังงานเป็นจำ�นวนมาก NADH และ FADH2 มี
สมบัติการเป็นตัวให้อิเล็กตรอนซึ่งจะส่งผ่านอิเล็กตรอนไปยังตัวรับอิเล็กตรอนชนิดต่าง ๆ

ภายในเซลล์ทำ�ใหเ้ กิดการเปลี่ยนพลงั งานจาก NADH และ FADH2 ไปเป็นพลงั งานในรปู
ของ ATP ผ่านกระบวนการถ่ายทอดอเิ ลก็ ตรอน

ความรเู้ พ่มิ เตมิ ส�ำ หรบั ครู

ปฏกิ ริ ยิ าเคมที มี่ สี ารหนงึ่ ใหอ้ เิ ลก็ ตรอนแลว้ มเี ลขออกซเิ ดชนั เพม่ิ ขนึ้ เรยี กวา่ ปฏกิ ริ ยิ าออกซเิ ดชนั
(oxidation reaction) สว่ นปฏกิ ริ ยิ าทอ่ี กี สารหนง่ึ รบั อเิ ลก็ ตรอนแลว้ มเี ลขออกซเิ ดชนั ลดลงเรยี ก
ว่า ปฏิกิริยารีดักชัน (reduction reaction) ปฏิกิริยาออกซิเดชันและปฏิกิริยารีดักชันเป็นคร่ึง
ปฏกิ ริ ยิ าทเี่ กดิ ขนึ้ พรอ้ มกนั ซงึ่ เมอ่ื รวมครง่ึ ปฏกิ ริ ยิ าทง้ั สองเขา้ ดว้ ยกนั จะไดเ้ ปน็ ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์
ตัวอย่างเช่น ปฏิกิริยาท่ีเปล่ียนกรดไพรูวิกเป็นแอซิทิลโคเอนไซม์เอ โดยเอ็นไซม์ pyruvate
dehydrogenase

O OH S CoA
ตัวรีดวิ ซ์
C
ตวั ออกซิไดส์ C O + CO2 + NADH

C O + HS-CoA + NAD+ CH3

CH3 แอซทิ ลิ โคเอนไซม์เอ
กรดไพรวู ิก

ในปฏิกิริยารีดอกซ์ สารที่เป็นตัวรับอิเล็กตรอนจากสารอื่นเรียกว่า ตัวออกซิไดส์ (oxidizing
agent) ส่วนสารทเ่ี ปน็ ตัวใหอ้ ิเล็กตรอนแกส่ ารอ่ืนเรียกวา่ ตัวรดี ิวซ์ (reducing agent)

คำ�ตอบท่ีเกิดจากการอภิปรายของนักเรียนอาจมีหลากหลาย ซ่ึงครูสามารถสรุปเพื่อเชื่อมโยง
เขา้ สกู่ ารบรรยายในเนอ้ื หาตอ่ ไปวา่ เซลลต์ อ้ งการพลงั งานในรปู ของ ATP ไปใชใ้ นกจิ กรรมตา่ ง ๆ ตลอด
เวลา ดงั นน้ั เซลลจ์ งึ ตอ้ งมกี ระบวนการถา่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอน เพอ่ื เปลย่ี นพลงั งานในรปู ของสารพลงั งาน
สงู ไดแ้ ก่ NADH และ FADH2 ให้ไดพ้ ลงั งานในรปู ATP

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 1 บทท่ี 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ 213

จากนนั้ ครบู รรยายเนอ้ื หาของกระบวนการถา่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอนโดยใชร้ ปู 3.39 ในหนงั สอื เรยี น
ประกอบการบรรยาย และรว่ มกันสรุปเป็นประเด็นหลกั ดังน้ี

- กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนเกิดขึ้นบริเวณเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรีย ซึ่งเป็น
บรเิ วณท่ีมโี ปรตีนตัวนำ�อเิ ลก็ ตรอนชนดิ ต่าง ๆ ฝังอยู่

- สารพลังงานสูง คือ NADH และ FADH2 ซ่ึงมีสมบัติเป็นตัวให้อิเล็กตรอน จะส่งผ่าน
อเิ ลก็ ตรอนไปยังตวั น�ำ อเิ ลก็ ตรอนต่าง ๆ บรเิ วณเยอ่ื หุ้มชน้ั ในของไมโทคอนเดรีย

- แก๊สออกซิเจนเป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายในกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนและได้
นำ้�เป็นผลิตภัณฑ์

- ในขณะทม่ี กี ารสง่ ผา่ นอเิ ลก็ ตรอน NADH และ FADH2 จะเกดิ การปลดปลอ่ ยพลงั งานออก
มาทลี ะน้อย พลังงานเหล่านน้ี �ำ มาใชเ้ ป็นพลงั งานในการเคลอื่ นย้าย H+ จากเมทริกซ์มายงั
ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเยื่อหุ้มชน้ั ในและเย่อื หมุ้ ชน้ั นอกของไมโทคอนเดรยี

- การเคลื่อนย้าย H+ ทำ�ให้เกิดความแตกต่างของความเข้มข้นของ H+ ระหว่างผิวสองด้าน
ของเยอื่ หุม้ ชนั้ ในของไมโทคอนเดรยี

- H+ ทอี่ ยใู่ นชอ่ งวา่ งระหวา่ งเยอื่ หมุ้ ชน้ั ในและเยอ่ื หมุ้ ชนั้ นอกของไมโทคอนเดรยี จะแพรก่ ลบั
เข้าสูเ่ มทริกซ์ผ่านเอนไซม์ ATP synthase และเกิดการสรา้ ง ATP

ครูและนักเรียนอาจจะอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับคำ�ถามชวนคิดในหนังสือเรียนที่ว่า NADH 1

โมเลกลุ ใหพ้ ลงั งานเทา่ กบั FADH2 1 โมเลกลุ หรอื ไม่ โดยครใู หน้ กั เรยี นใชร้ ปู 3.39 ประกอบค�ำ อธบิ าย
ว่า NADH 1 โมเลกลุ ส่งผา่ นอเิ ล็กตรอนไปยังตวั น�ำ อเิ ลก็ ตรอนทอ่ี ย่ใู นเย่ือหมุ้ ไมโทคอนเดรยี มากกว่า
FADH2 1 โมเลกลุ ท�ำ ใหเ้ กดิ การเคลอื่ นยา้ ย H+ ไปยงั ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเยอ่ื หมุ้ ไมโทคอนเดรยี ไดม้ ากกวา่
สง่ ผลใหเ้ กดิ การสรา้ ง ATP ทมี่ ากกวา่ ตามไปดว้ ย และหลงั จากการอภปิ รายรว่ มกนั ของนกั เรยี นครอู าจ

สรปุ เปน็ แผนภาพเพอ่ื อธบิ ายใหเ้ ข้าใจได้ง่ายขน้ึ ดงั นี้

H+ H+ H+ H+ H+ H+ H+ H+
H+ H+ H+ H+ H+ H+

ไซโทซอล e-

ตัวน�ำ อเิ ลก็ ตรอน e- e-

e- เมทริกซ์ FADH2

NADH H+ H+ FAD H+ H+
NAD+ H+ H+

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

214 บทท่ี 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ ชวี วิทยา เล่ม 1

ความรูเ้ พิม่ เตมิ สำ�หรบั ครู

พลังงานจาก NADH 2 โมเลกลุ ในไซโทซอล
โมเลกุลของ NADH ในไซโทซอลที่เกิดจากไกลโคไลซิสไม่สามารถผ่านเยื่อหุ้มไมโทคอนเดรีย
ได้โดยตรง เน่ืองจากไม่มีโปรตีนตัวพาที่จำ�เพาะสำ�หรับ NADH แต่จะส่งพลังงานในรูปของ
อเิ ล็กตรอนผา่ นตวั รับอิเลก็ ตรอนในเมทรกิ ซ์ ซงึ่ ถา้ ตัวรับอเิ ลก็ ตรอนเป็น NAD+ จะได้ NADH
เข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน แต่ถ้าตัวรับอิเล็กตรอนเป็น FAD จะได้ FADH2 เข้าสู่
กระบวนการถ่ายทอดอิเลก็ ตรอนซ่งึ ทำ�ให้ได้ ATP น้อยกวา่ วิธีการส่งผ่านพลังงานของ NADH
เข้ามาในไมโทคอนเดรียจะส่งพลังงานผ่านสารอ่ืนท่ีเป็นสารตัวกลางเช่น malate-aspartate
shuttle และ glycerophosphate shuttle เป็นตน้

ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปขั้นตอนของการสลายกลูโคสในภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ
ซง่ึ นกั เรยี นควรสรปุ ไดว้ า่ เซลลจ์ ะมกี ารสลายกลโู คสผา่ นกระบวนการตา่ ง ๆ คอื ไกลโคไลซสิ การสรา้ ง
แอซทิ ลิ โคเอนไซมเ์ อ วฏั จกั รเครบส์ และกระบวนการถา่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอน โดยกระบวนการทกี่ ลา่ วมา
จะเปลีย่ นพลังงานที่อยู่ในกลูโคสให้อยใู่ นรปู สารพลงั งานสงู คอื ATP ซงึ่ เปน็ พลังงานที่เซลล์สามารถ
นำ�ไปใช้ได้ โดยออกซิเจนเปน็ ปจั จยั หลกั ที่ทำ�ใหก้ ระบวนการท้ังหมดดำ�เนินไปไดอ้ ย่างตอ่ เนื่อง

ครใู ห้ความรเู้ พม่ิ เติมเก่ียวกบั การสลายลิพิดและโปรตีน โดยอาจใช้ภาพอาหาร เชน่ ขา้ วขาหมู
ขา้ วมันไก่ และใช้ค�ำ ถามกระต้นุ ความสนใจนักเรยี น เช่น

อาหารที่นักเรียนเห็นนอกจากพลังงานท่ีได้จากคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังได้พลังงานจากสาร
อาหารประเภทใดอกี บา้ ง

เซลลจ์ ะมกี ารสลายสารอาหารประเภทอน่ื  ๆ เพอ่ื สรา้ งพลงั งานใหก้ บั เซลลห์ รอื ไม่ ถา้ มจี ะมี
วธิ ีการอย่างไร

นักเรียนอาจตอบได้ว่านอกจากคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังได้พลังงานจากสารอาหารประเภทลิพิด
และโปรตนี ส�ำ หรบั วธิ ที เ่ี ซลล์มกี ารสลายสารอาหารประเภทอ่ืน ๆ นักเรียนอาจจะยังตอบค�ำ ถามไม่ได้
ซึง่ ครสู ามารถใช้รูป 3.40 ในหนงั สอื เรยี นเพอ่ื บรรยายสรุปเกย่ี วกับการสลายลิพดิ และโปรตีน ซงึ่ อาจ
สรุปไดด้ งั นี้

- กลเี ซอรอลที่ได้จากการยอ่ ยลพิ ิด เข้าสูก่ ระบวนการสลายสารอาหารในชว่ งไกลโคไลซสิ
- กรดไขมนั ทีไ่ ดจ้ ากการยอ่ ยลพิ ิด จะถูกเปลีย่ นเปน็ แอซิทิลโคเอนไซมเ์ อ
- กรดแอมโิ นทไ่ี ดจ้ ากการยอ่ ยโปรตนี อาจถูกเปล่ียนแปลงไปเป็นสารตา่ ง ๆ เช่น กรดไพรูวกิ

แอซทิ ิลโคเอนไซม์เอ หรือสารตวั ใดตวั หนงึ่ ในวัฏจักรเครบส์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 1 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ 215

3.4.2 การหายใจระดับเซลลใ์ นภาวะทม่ี อี อกซเิ จนไม่เพียงพอ
ครนู �ำ เขา้ สบู่ ทเรยี นโดยใหน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งกรณตี า่ ง ๆ ทเี่ ซลลไ์ ดร้ บั ออกซเิ จนไมเ่ พยี งพอ เชน่
- ขณะออกกำ�ลังกายเซลล์กล้ามเน้ือต้องมีการใช้พลังงานมากทำ�ให้เลือดลำ�เลียงออกซิเจน
ไปยังเซลล์กล้ามเน้ือไมเ่ พยี งพอ
- นำ�้ ท่วมขังบริเวณท่ีปลกู พชื เป็นเวลานาน เซลลบ์ รเิ วณรากอาจไดร้ ับออกซเิ จนไมเ่ พียงพอ
- เซลล์ของยีสต์ทีเ่ ติมลงในน�้ำ ผลไมใ้ นถังหมกั ซ่ึงควบคุมภาวะใหม้ อี อกซเิ จนเพียงเลก็ น้อย
- เซลลแ์ บคทเี รยี ทอี่ ยใู่ นเนอ้ื หมทู น่ี �ำ มาใชผ้ ลติ แหนมซง่ึ ตอ้ งมกี ารหอ่ ดว้ ยพลาสตกิ หรอื ใบตอง
ใหแ้ นน่ เพื่อปอ้ งกนั ไมใ่ ห้อากาศเข้า

จากน้ันทบทวนเก่ียวกับบทบาทของออกซิเจนในกระบวนการสลายกลูโคสเพื่อให้ได้ ATP ท่ี
เป็นพลังงานทเ่ี ซลลส์ ามารถน�ำ ไปใชไ้ ด้ ครูใช้ค�ำ ถามน�ำ ไปสู่การอภปิ รายดงั น้ี

ถ้าในภาวะที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ การหายใจระดับเซลล์ในสิ่งมีชีวิตจะเกิดข้ึนได้หรือไม่

ถ้าเกิดขึ้นได้จะมีกระบวนการท่ีเหมือนหรือแตกต่างจากการหายใจระดับเซลล์ในภาวะที่มี

ออกซเิ จนเพียงพออยา่ งไร บทความ
ซ่งึ จากการอภิปรายครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรปุ เปน็ ประเดน็ ได้ว่า

- ในภาวะทอี่ อกซเิ จนไมเ่ พยี งพอ การหายใจระดบั เซลลย์ งั สามารถเกดิ ขน้ึ ไดแ้ ตก่ ารสลายสาร

อาหารให้ไดเ้ ปน็ คาร์บอนไดออกไซด์และน้�ำ จะเกิดไดไ้ มส่ มบรู ณ์

- กระบวนการถา่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอนหยดุ ชะงกั เนอื่ งจากอเิ ลก็ ตรอนจาก NADH และ FADH2
ทสี่ ง่ ผา่ นไปยงั ตวั น�ำ อเิ ลก็ ตรอนชนดิ ตา่ ง ๆ ขาดตวั รบั อเิ ลก็ ตรอนตวั สดุ ทา้ ยซงึ่ กค็ อื ออกซเิ จน

- เกิดการสะสมของ NADH และ FADH2 มากข้นึ และท�ำ ใหข้ าดแคลน NAD+ และ FAD ท่ี
ตอ้ งน�ำ กลบั ไปใชใ้ นไกลโคไลซิสและวฏั จกั รเครบส์

- ไกลโคไลซสิ ยงั คงด�ำ เนนิ ตอ่ โดยกรดไพรวู กิ จะถกู น�ำ เขา้ สกู่ ระบวนการหมกั กรดแลกตกิ หรอื

เกดิ การหมักแอลกอฮอล์

จากประเดน็ ท่สี รุปได้รว่ มกนั ครูใช้คำ�ถามในการอภปิ รายเพ่ิมเตมิ ดังน้ี

เซลล์จะมีวิธีการอย่างไรท่ีจะเปลี่ยน NADH ที่มีสะสมอยู่มากให้กลายเป็น NAD+ ซ่ึงจะ
ท�ำ ให้ไกลโคไลซิสไมห่ ยุดชะงักและสรา้ งพลงั งานบางส่วนให้กับเซลลไ์ ด้

การอภปิ รายในประเดน็ นค้ี รอู าจจะใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั สบื คน้ ขอ้ มลู ในเบอ้ื งตน้ เพอ่ื เชอื่ มโยงเขา้
ส่เู น้ือหาเรือ่ งกระบวนการหมกั (fermentation)

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

216 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการทำ�งานของเซลล์ ชวี วทิ ยา เลม่ 1

ครใู หค้ วามรเู้ พม่ิ เตมิ ในหวั ขอ้ กระบวนการหมกั ซง่ึ อาจเกดิ ขนึ้ ได้ 2 รปู แบบคอื กระบวนการหมกั
กรดแลกติก และกระบวนการหมกั แอลกอฮอล์ โดยใช้รูป 3.41 และรูป 3.42 ในหนังสือเรยี นประกอบ
คำ�บรรยาย ซึ่งก่อนการบรรยายในหัวข้อนี้ครูอาจแนะนำ�ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มทำ�กิจกรรมลองทำ�ดูใน
หนังสือเรยี น

กิจกรรมลองท�ำ ดูเป็นกิจกรรมเสริม ที่แนะนำ�ให้นักเรียนท�ำ เพ่ือต่อยอดความรู้ตามความสนใจ
ของนักเรียน โดยมีแนวทางในการทำ�กจิ กรรมดงั นี้

- ครูอาจมอบหมายให้นักเรียนทำ�กิจกรรมต่าง ๆ นอกเวลาเรียนและให้นักเรียนออกแบบ
กจิ กรรมเอง โดยอิงขอ้ มูลในกรอบทว่ี างไว้

- ผลการทำ�กิจกรรมท่ีได้อาจนำ�มาอภิปรายร่วมกันในช้ันเรียน อาศัยแนวทางคำ�ถามท่ีมีไว้
เป็นตวั อย่าง หรอื ครสู ามารถตงั้ ค�ำ ถามอน่ื  ๆ ท่สี อดคล้องกบั เน้ือหาเพิ่มเติมเองไดด้ ว้ ย

- หากผลการทดลองไมเ่ ปน็ ไปในแนวทางเดยี วกนั อาจรว่ มกนั วเิ คราะหห์ าสาเหตุ และลองท�ำ
กิจกรรมซ�ำ้ โดยปรับเปล่ยี นคา่ ตา่ ง ๆ ได้

- ครคู วรใหน้ กั เรยี นบนั ทกึ กจิ กรรมใหล้ ะเอยี ด ทงั้ วธิ กี ารทดลองทอ่ี อกแบบ ชนดิ วสั ดอุ ปุ กรณ์
และปรมิ าตรทีใ่ ช้ ผลการท�ำ กจิ กรรม จำ�นวนซ�ำ้ ของการทำ�กิจกรรม

- การบันทึกผลการทดลอง นักเรียนอาจจะบันทึกส่ิงที่เห็นจากการทดลองเรียงจากหลอด
ทดลองที่ 1 2 และ 3 ตามลำ�ดับ แต่ในการอภิปรายผลการทดลอง อาจจะพิจารณาจาก
หลอดทใ่ี หผ้ ลกอ่ น เพอ่ื เชอื่ มโยงกบั เนอ้ื หา แลว้ จงึ อภปิ รายหลอดทไ่ี มเ่ กดิ กระบวนการหมกั

- วสั ดุ อปุ กรณท์ ใ่ี ช้ อาจจะปรับเปลีย่ นไดใ้ หเ้ หมาะสมกับบรบิ ทของโรงเรยี น

ลองท�ำ ดู : การหมกั แอลกอฮอล์ของเซลล์ยสี ต์

หลอดทดลองท่ี 1 น�ำ้ กลั่น 9 mL + ยีสตผ์ ง 1/2 ชอ้ นชา
หลอดทดลองท่ี 2 น�้ำ กล่นั 9 mL + ยีสต์ผง 1/2 ชอ้ นชา + น้�ำ ตาลทราย 1/2 ช้อนชา
หลอดทดลองท่ี 3 น�้ำ สบั ปะรด 9 mL + ยสี ต์ผง 1/2 ชอ้ นชา
เติมนำ้�มันพืชให้ลอยอยู่ท่ีผิวหน้าของสารละลายต้ังทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ช่ัวโมงโดยไม่ต้องเขย่า
หลอดทดลองและสังเกตผล

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เลม่ 1 บทที่ 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ 217

ครอู าจแนะน�ำ ใหน้ กั เรยี นใชน้ �้ำ ผลไมท้ ผี่ า่ นการฆา่ เชอ้ื เชน่ น�้ำ ผลไมก้ ระปอ๋ ง หรอื น�้ำ ผลไม้ UHT
เพอื่ ปอ้ งกนั การปนเปอื้ นจากจลุ นิ ทรยี อ์ นื่  ๆ สว่ นแนวทางในการตอบค�ำ ถามหรอื อภปิ รายกจิ กรรมลอง
ท�ำ ดูเรื่องการหมกั แอลกอฮอลข์ องเซลลย์ ีสต์มดี ังนี้

เหตใุ ดจงึ มกี ารเติมน้ำ�มันพชื ลงในหลอดทดลองทงั้ 3 หลอด
การเตมิ น�ำ้ มนั พชื ลงในผวิ หนา้ ของสารละลายเพอื่ จ�ำ กดั ปรมิ าณแกส๊ ออกซเิ จนในหลอดทดลอง

เพ่อื ให้เซลลย์ ีสต์เกดิ การสลายสารอาหารโดยกระบวนการหมัก

การเปล่ียนแปลงทเี่ กิดขน้ึ ในหลอดทดลองทงั้ 3 หลอดเหมอื นหรือแตกต่างกนั อย่างไร
หลอดทดลองที่ 2 และท่ี 3 เกดิ ฟองแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ และไดแ้ อลกอฮอล์เปน็ ผลติ ภณั ฑ์

(เมอื่ ลองดมจะไดก้ ลนิ่ แอลกอฮอล)์ เนอื่ งจากหลอดทดลองที่ 2 มคี ารโ์ บไฮเดรตจากน�้ำ ตาลทราย
และหลอดทดลองท่ี 3 มีคาร์โบไฮเดรตจากนำ้�สับปะรด จึงมีวัตถุดิบท่ียีสต์จะใช้ในการสร้าง
พลังงาน แต่เนื่องจากมีแก๊สออกซิเจนอยู่จำ�กัดทำ�ให้การสลายสารอาหารของยีสต์ในหลอด
ทดลองทั้ง 2 หลอดจะดำ�เนินผ่านไกลโคไลซิส วัฏจักรเครบส์ และกระบวนการถ่ายทอด
อเิ ลก็ ตรอนตามล�ำ ดบั ได้ในเพยี งชว่ งแรก หลังจากน้นั เม่ือแกส๊ ออกซิเจนหมดลง การสลายสาร
อาหารของยสี ต์จะผา่ นไกลโคไลซสิ แล้วเขา้ สูก่ ระบวนการหมกั สว่ นหลอดทดลองท่ี 1 ไม่มกี าร
เปลี่ยนแปลงเนอ่ื งจากยสี ตไ์ ม่มีสารอาหารส�ำ หรับเปน็ วตั ถดุ บิ ในการสร้างพลงั งานให้กบั เซลล์

ถา้ ไมม่ กี ารเติมน�ำ้ มนั พืช และเขยา่ หลอดทดลองท้งั 3 หลอด จะเกดิ การเปลีย่ นแปลงที่เหมอื น
หรอื แตกต่างจากการทดลองแรกอย่างไร

หลอดทดลองที่ 1 ไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลงเชน่ เดยี วกบั การทดลองแรก สว่ นหลอดทดลองท่ี 2 และ
3 จะเกดิ ฟองแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ แตไ่ มเ่ กิดแอลกอฮอล์ เนือ่ งจากการไมใ่ สน่ ำ้�มนั พชื และ
การเขย่าหลอดเป็นการเติมอากาศให้กับหลอดทดลอง ทำ�ให้ยีสต์เกิดการสลายสารอาหารได้
อยา่ งสมบูรณ์

ในกรณีที่ผลการทดลองไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย ให้ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือ
หาเหตผุ ล เชน่ ถา้ หลอดท่ี 2 และ 3 ของชดุ การทดลองที่ 2 มกี ลนิ่ แอลกอฮอล์ อาจจะเกดิ จากการเขยา่
แลว้ ออกซิเจนในหลอดไม่มากพอ (เนอื่ งจากเขย่าเบา เขยา่ ไมถ่ พ่ี อ เป็นต้น)

จากนนั้ ครใู หน้ กั เรยี นรว่ มกนั สรปุ ขนั้ ตอนของการสลายกลโู คสในภาวะทมี่ อี อกซเิ จนไมเ่ พยี งพอ
ซ่ึงนักเรียนควรสรุปได้ว่า เซลล์จะมีการสลายกลูโคสผ่านกระบวนการต่าง ๆ คือ ไกลโคไลซิส วัฏจักร
เครบส์ แต่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนหยุดชะงักเนื่องจากไม่มีตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายคือ
ออกซิเจน เกดิ การสะสมของ NADH และ FADH2 มากขึ้น ทำ�ใหเ้ ซลล์ตอ้ งมีกระบวนการหมักเกิดขึ้น
แทน เพื่อเปลี่ยนกรดไพรูวิกท่ีเกิดจากไกลโคไลซิสให้กลายเป็นกรดแลกติกหรือแอลกอฮอล์ ซ่ึงใน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

218 บทท่ี 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ ชวี วิทยา เลม่ 1

ปฏกิ ริ ยิ าจะมกี ารเปลยี่ น NADH ใหก้ ลายเปน็ NAD+ ทต่ี อ้ งน�ำ กลบั เขา้ สไู่ กลโคไลซสิ ในการสรา้ ง ATP
ใหก้ บั เซลล์ต่อไป

เม่ือเปรียบเทียบข้ันตอนการหายใจระดับเซลล์ในภาวะท่ีมีออกซิเจนเพียงพอกับภาวะที่มี
ออกซเิ จนไมเ่ พยี งพอ พบวา่ เมอ่ื มอี อกซเิ จนเพยี งพอจะเกดิ การหายใจระดบั เซลลข์ น้ึ อยา่ งสมบรู ณผ์ า่ น
ขน้ั ตอนในกระบวนการตา่ ง ๆ คอื ไกลโคไลซสิ การสรา้ งแอซทิ ลิ โคเอนไซมเ์ อและวฏั จกั รเครบส์ จนสนิ้
สุดที่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน แต่เม่ือออกซิเจนไม่เพียงพอจะเกิดการหายใจระดับเซลล์ผ่าน
ขน้ั ตอนในไกลโคไลซสิ และเขา้ สกู่ ระบวนการหมกั

เฉลยตรวจสอบความเขา้ ใจ

ไมโทคอนเดรยี มคี วามจ�ำ เปน็ ตอ่ การสลายกลโู คสในภาวะทม่ี อี อกซเิ จนไมเ่ พยี งพอหรอื ไม่
เพราะเหตุใด

แก๊สออกซิเจนเป็นตัวกำ�หนดการเปลี่ยนแปลงของกรดไพรูวิกในเซลล์ หลังจากเกิด
ไกลโคไลซิส และไมโทคอนเดรียไม่มีความจำ�เป็นต่อการสลายกลูโคสในภาวะที่มี
ออกซิเจนไม่เพียงพอ เน่ืองจากกระบวนการสลายสารกลูโคสเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณ
ไซโทซอล

แนวการวดั และประเมินผล

ดา้ นความรู้
- การเปรยี บเทยี บการหายใจระดบั เซลลใ์ นภาวะทมี่ อี อกซเิ จนเพยี งพอและภาวะทมี่ อี อกซเิ จน

ไม่เพยี งพอ จากแบบฝึกหดั หรอื แบบทดสอบ
- ข้ันตอนการหายใจระดับเซลล์ในภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอและภาวะที่มีออกซิเจนไม่

เพียงพอ จากแบบฝกึ หัดหรอื แบบทดสอบ
ด้านทักษะ
- การจำ�แนกประเภท จากการตอบค�ำ ถาม การอธิบายและอภปิ ราย
- การส่อื สารสารสนเทศและการรเู้ ท่าทนั สอื่ จากการสืบค้นข้อมลู และการน�ำ เสนอข้อมลู
ด้านจติ วทิ ยาศาสตร์
- ความอยากรู้ อยากเหน็ จากการอภิปราย

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เลม่ 1 บทท่ี 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ 219

3.5 การแบง่ เซลล์

3.5.1 โครโมโซม
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1. ระบชุ นดิ ของการแบง่ เซลลแ์ ละบอกความส�ำ คญั ของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ และไมโอซสิ
2. อธิบายความหมายของฮอมอโลกสั โครโมโซม เซลลด์ พิ ลอยด์ เซลลแ์ ฮพลอยด์

แนวการจดั การเรียนรู้
ครูนำ�เข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนศึกษารูปเก่ียวกับการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตหรือวีดิทัศน์

วีดิโอคลิป การแบง่ เซลลข์ องส่งิ มีชีวิตเซลล์เดยี ว แล้วตั้งค�ำ ถามใหน้ ักเรียนแสดงความคิดเห็น เช่น

การแบง่ เซลลข์ องสงิ่ มชี วี ติ เซลลเ์ ดยี วเกดิ ขนึ้ เพอ่ื อะไร ในสง่ิ มชี วี ติ หลายเซลลม์ กี ารแบง่ เซลล์
เหมอื นกับสิ่งมีชวี ิตเซลลเ์ ดยี วหรอื ไม่ อย่างไร

จากการแสดงความคดิ เหน็ นกั เรยี นควรไดข้ อ้ สรปุ วา่ สง่ิ มชี วี ติ เซลลเ์ ดยี วมกี ารแบง่ เซลลเ์ พอ่ื การ
สืบพันธ์ุเพิ่มจำ�นวนประชากร ในขณะที่สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์จะมีการแบ่งเซลล์เพ่ือการเจริญเติบโต
หรือทดแทนเซลล์ท่ีตายหรอื เสียหาย นอกจากนีย้ งั มกี ารแบง่ เซลล์เพื่อสร้างเซลลส์ บื พนั ธ์อุ กี ดว้ ย

ครูเช่ือมโยงคำ�ตอบท่ีได้จากการแสดงความคิดเห็นของนักเรียนเข้าสู่เรื่องการแบ่งเซลล์โดยใช้
ค�ำ ถามเพิ่มเตมิ ดงั ตอ่ ไปน้ี

เซลล์มวี ิธกี ารเพิม่ จำ�นวนได้อยา่ งไร
ในร่างกายมนุษย์มีเซลล์ใดบ้างที่สามารถเพิ่มจำ�นวนได้ และเซลล์ใดบ้างที่ไม่สามารถเพิ่ม

จ�ำ นวนได้
การเพ่ิมจ�ำ นวนเซลลม์ ปี ระโยชนอ์ ย่างไร

จากการแสดงความคิดเห็นควรสรุปได้ว่า เซลล์ของส่ิงมีชีวิตมีการเพ่ิมจำ�นวนเซลล์โดยการ
แบง่ เซลล์ ทำ�ให้ส่งิ มชี ีวติ มีการเตบิ โต ทำ�ใหม้ รี ูปร่าง หรอื ขนาดใหญ่ขึน้ ทดแทนเซลล์ที่ตายหรอื เซลล์
ท่ีเสียหาย เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์ผิวหนังเป็นเซลล์ร่างกายมนุษย์ท่ีสามารถเพ่ิมจำ�นวนได้ ใน
ขณะที่เซลล์รา่ งกายมนุษย์บางเซลล์ไมส่ ามารถเพม่ิ จ�ำ นวนได้ เชน่ เซลลก์ ล้ามเน้อื เซลล์ประสาท

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

220 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ ชวี วทิ ยา เลม่ 1

ครูให้ความรู้เพิ่มเติมถึงการแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชีวิตยูแคริโอตว่าประกอบด้วย 2 ขั้นตอนคือ
การแบ่งนิวเคลียสและการแบ่งไซโทพลาซึม โดยการแบ่งนิวเคลียสน้ีสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
การแบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโทซสิ และการแบ่งนิวเคลยี สแบบไมโอซสิ ซง่ึ จะเก่ยี วข้องกบั โครโมโซม

จากน้นั ครูให้นกั เรยี นศึกษารปู ร่างโครโมโซมจากหนงั สือเรียนรูป 3.43 ก. และรูป 3.43 ข. หรอื
จากแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ โดยให้สังเกตลักษณะของโครโมโซม เพ่ือท่ีจะเช่ือมโยงไปสู่การแบ่งเซลล์ท่ี
เกดิ การเปลย่ี นแปลงในนวิ เคลยี ส โดยจากการสงั เกตนกั เรยี นควรสรปุ ไดว้ า่ ภายในนวิ เคลยี สของเซลล์
ยแู ครโิ อตมสี ารพันธกุ รรมหรือ DNA และโปรตีนอน่ื ๆ ประกอบกนั เปน็ โครงสรา้ งท่เี ปน็ สายยาวเรียก
วา่ โครมาทนิ และเมื่อมกี ารแบ่งเซลล์โครมาทนิ จะขดตวั จนกลายเป็นแทง่ โครโมโซม โดยโครโมโซม 1
แทง่ อาจมี 1 โครมาทิดหรอื 2 โครมาทิดได้

ครูให้นักเรียนศึกษาคำ�ศัพท์ต่างๆ จากหนังสือเรียน ได้แก่ ฮอมอโลกัสโครโมโซม ดิพลอยด์
แฮพลอยด์ ออโตโซม และโครโมโซมเพศ เพื่อใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจเบือ้ งต้นกอ่ นท่ีจะเขา้ ส่กู ารเรียนรู้เร่ือง
การแบ่งเซลล์ จากน้ันครูใช้รูป 3.44 และรูป 3.45 ในการตั้งคำ�ถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของ
นกั เรียน ดงั น้ี

โครโมโซมในเซลล์ร่างกายมนุษยม์ กี ่ชี ดุ
โครโมโซมในเซลลร์ ่างกายของมนุษยม์ จี �ำ นวนเท่าใด
ดิพลอยด์กับแฮพลอยด์ แตกต่างกันอย่างไร
โครโมโซมเพศแตกต่างจากออโตโซมอยา่ งไร

จากการตอบคำ�ถามนักเรียนควรจะสรุปว่า โครโมโซมในเซลล์ร่างกายมนุษย์มี 2 ชุด หรือ 2n
เรียกว่า ดิพลอยด์ ซึ่งได้มาจากพ่อ 1 ชุด และแม่ 1 ชุด ซึ่งจะแตกต่างจากโครโมโซมที่พบในเซลล์
สบื พนั ธุท์ ่มี จี �ำ นวนโครโมโซมเปน็ 1 ชุด หรอื n เรยี กวา่ แฮพลอยด์ โครโมโซมในเซลลร์ า่ งกายมนุษย์
มจี �ำ นวน 46 โครโมโซม หรอื 23 คู่ โดยเปน็ ออโตโซม 22 คทู่ ที่ �ำ หนา้ ทค่ี วบคมุ ลกั ษณะตา่ ง ๆ พบเหมอื น
กนั ในสง่ิ มีชีวิตท้ังสองเพศ สว่ นคู่ท่ี 23 เป็นโครโมโซมเพศท่ที ำ�หนา้ ทีก่ �ำ หนดเพศ

จากนนั้ ใหน้ ักเรยี นตอบคำ�ถามในหนังสือเรียน

เซลล์สบื พนั ธข์ุ องมนุษย์ที่ได้จากการแบง่ เซลล์จะมีจ�ำ นวนโครโมโซมเทา่ ใด
เซลลส์ บื พนั ธม์ุ จี �ำ นวนโครโมโซม n = 23 โดยเปน็ ออโตโซมจ�ำ นวน 22 โครโมโซม และโครโมโซม

เพศ 1 โครโมโซม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 1 บทที่ 3 | เซลล์และการท�ำ งานของเซลล์ 221

ครูให้ความรู้เพิ่มเติมแก่นักเรียนว่า การแบ่งเซลล์ประกอบด้วยการแบ่งนิวเคลียสและการแบ่ง
ไซโทพลาซึม โดยเวลาส่วนใหญ่อยู่ในข้ันตอนการแบ่งนิวเคลียส การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดข้ึนเป็น
วัฏจกั ร เรยี กว่า วฏั จกั รเซลล์

แนวการวัดและประเมนิ ผล

ด้านความรู้
- ความส�ำ คญั ของการแบง่ เซลล์ ชนดิ ของการแบง่ เซลล์ ความหมายของฮอมอโลกสั โครโมโซม

เซลลด์ พิ ลอยด์ เซลลแ์ ฮพลอยด์ จากการตอบคำ�ถาม และการสืบค้น

ด้านทกั ษะ
- การสังเกต การจำ�แนกประเภท การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา จากการ

ตอบคำ�ถาม
- การสอ่ื สารสารสนเทศและการร้เู ทา่ ทันสื่อ จากการสืบคน้ และการตอบค�ำ ถาม

ด้านจติ วิทยาศาสตร์
- ความอยากรู้ อยากเหน็ ความเชอ่ื มน่ั ตอ่ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ จากการตอบค�ำ ถาม และการสรปุ

3.5.2 วัฏจกั รเซลล์และการแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้

1. อธิบายวัฏจกั รเซลล์
2. อธบิ ายการเปลีย่ นแปลงของนิวเคลียสในการแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ

แนวการจัดกจิ กรรม
สำ�หรับหัวข้อน้ีครูควรให้นักเรียนทำ�กิจกรรม 3.3 เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสของ

ปลายรากหอม โดยอาจแบง่ นักเรียนออกเปน็ กลมุ่ กลุ่มละ 3-4 คน แลว้ จึงเชื่อมโยงเขา้ สวู่ ฏั จกั รเซลล์
และการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

222 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการทำ�งานของเซลล์ ชีววทิ ยา เล่ม 1

กจิ กรรม 3.3 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ ของปลายรากหอม

จดุ ประสงค์
1. ศึกษาการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิสของปลายรากหอมตามขั้นตอนต่าง ๆ
2. สังเกต บนั ทกึ และอธบิ ายโครงสร้างของเซลลท์ แ่ี บ่งแบบไมโทซสิ จากกล้องจุลทรรศน์
3. เปรียบเทยี บการแบง่ เซลล์ระยะตา่ ง ๆ ทเ่ี ห็นจากกลอ้ งจลุ ทรรศนก์ ับรูปในบทเรียน

เวลาท่ใี ช้ (โดยประมาณ) 2 ชวั่ โมง

วสั ดแุ ละอปุ กรณ์

รายการ ปริมาณต่อกลมุ่

1. หอมแดง หรอื หอมใหญ่ 3-5 หวั
2. กรดไฮโดรคลอริก ความเขม้ ข้น 10% 15 mL
3. สีอะซีโทคาร์มีน (acetocarmine) ความเข้มข้น 0.5% หรือ 15 mL

น�้ำ สจี ากการต้มขา้ วเหนยี วด�ำ 1 ขวด
4. นำ้�กล่นั 4 ใบ
5. ขวดปากกว้างหรอื บีกเกอรข์ นาด 50 mL 1 ชดุ
6. กระดาษเยื่อ 2 หลอด
7. หลอดหยด 1 กลอ่ ง
8. ใบมดี โกน 1-2 แทง่
9. ดนิ สอชนิดท่ีมียางลบ 6-8 ชดุ
10. สไลด์ และกระจกปิดสไลด์ 1 ชดุ
11. ชดุ ตะเกยี งแอลกอฮอล์ 1 กลอ้ ง
12. กล้องจลุ ทรรศน์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เล่ม 1 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการทำ�งานของเซลล์ 223

การเตรยี มลว่ งหนา้
การเพาะรากหอม

ถา้ เพาะหอมดงั ทแี่ นะน�ำ ไวใ้ นหนงั สอื เรยี นบางครงั้ พบปญั หาวา่ รากเนา่ อาจเพาะในกระบะ
ทราย รดนำ�้ พอชุ่ม ใช้ใบมดี โกนตดั บรเิ วณทลี่ กู ศรช้ี ปกั หอมลงในทรายลึกประมาณ 2/3 ส่วน
ของหวั หอม คอยรดน�้ำ อยเู่ สมอทงิ้ ไวป้ ระมาณ 3 วนั รากจะงอกยาวพอเหมาะทจ่ี ะตดั ไปศกึ ษาได้

อกี วธิ หี นงึ่ คอื การน�ำ หอมใสไ่ วใ้ นตเู้ ยน็ ในชอ่ งใสผ่ กั ประมาณ 3-4 วนั จะมรี ากยาวประมาณ
2-3 เซนตเิ มตร แตต่ อ้ งระวงั อยา่ วางทบั กนั รากจะช�ำ้ งา่ ย ถา้ รากไมง่ อกอาจเปน็ เพราะเปน็ หอม
ที่ผ่านการอาบรังสี

ตำ�แหน่งทต่ี ัด

บรเิ วณล�ำ ตน้ ที่แห้งและแขง็

ควรให้นักเรียนช่วยกันเพาะหอมเพ่ือจะได้รากหอมปริมาณเพียงพอต่อการทำ�กิจกรรม
รากหอมเหล่าน้ีถ้ามีปริมาณมาก ๆ จะสามารถรักษาไว้ได้นานถึง 1-2 ปี โดยแช่ในสารละลาย
Clark’s fluid

การเตรียมสารละลาย Clark’s fluid
ใสเ่ อทลิ แอลกอฮอล์ 75 มลิ ลลิ ติ ร ในบกี เกอรแ์ ละใสก่ รดแอซติ กิ 25 มลิ ลลิ ติ ร ผสมเขา้ ดว้ ยกนั

เทใส่ในขวดแก้วท่มี ีฝาปิดสนิท ใชเ้ ก็บรกั ษาปลายรากหอมส�ำ หรับน�ำ ไปทำ�กิจกรรม เพ่ือศกึ ษา
เร่ืองการแบ่งเซลล์สารละลายนี้ควรเตรียมข้ึนมาใหมเ่ พื่อใช้ในแตล่ ะครง้ั

การเตรยี มสารละลายกรดไฮโดรคลอริกความเขม้ ขน้ 10%
ใชก้ รดไฮโดรคลอรกิ เข้มข้น 1 สว่ นใส่ลงในบีกเกอร์ท่ีมีน�้ำ กล่นั 9 ส่วน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

224 บทที่ 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ ชวี วทิ ยา เล่ม 1

การเตรยี มสารละลาย acetocarmine
ใช้ Glacial acetic acid 45 มลิ ลลิ ติ ร ผสมกบั น�้ำ กลน่ั 55 มลิ ลลิ ติ ร น�ำ ไปอนุ่ ใหร้ อ้ นทอ่ี ณุ หภมู ิ

ประมาณ 60 องศาเซลเซียส เติมสี Carmine 0.5 กรัม ลงไปผสมให้เข้ากัน (ข้ันตอนดังกล่าว
ควรท�ำ ในภาชนะทม่ี ฝี าปดิ มดิ ชดิ ) น�ำ ไปตม้ ใหเ้ ดอื ด 15 นาที แลว้ ปลอ่ ยทง้ิ ไวใ้ หเ้ ยน็ จงึ กรอง เมอ่ื
จะใชค้ วรใส่สารละลาย Ferric chloride อ่มิ ตัว 1-2 หยด (อาจใชต้ ะปูข้นึ สนมิ แชล่ งไป 1 คนื
แทนได้) จะท�ำ ให้ตดิ สดี ขี ึน้ ควรเตรียมสารละลายนี้ล่วงหนา้ อยา่ งน้อย 1-2 สัปดาห์ เมื่อเลกิ ใช้
แล้วควรนำ�ไปเกบ็ ในตู้เยน็

การเตรยี มน้ำ�สีจากน�ำ้ ต้มข้าวเหนียวดำ�
เตรยี มข้าวเหนยี วด�ำ 100 กรมั ใสล่ งไปในนำ�้ ปริมาตร 150 มลิ ลิลิตร น�ำ ไปตม้ จนนำ้�เดอื ด

และต้มตอ่ ไปเป็นเวลา 5 นาที จากนน้ั นำ�ไปกรองนำ�สารละลายทไ่ี ดไ้ ปใช้ย้อมสี

ข้อเสนอแนะส�ำ หรับครู
บริเวณท่ีเหมาะสมตอ่ การน�ำ ไปทำ�กิจกรรม คือ ส่วนปลายรากหอม โดยต�ำ แหนง่ ที่ควรตัด

เพอื่ น�ำ ไปศึกษา คือ ยาวประมาณไมเ่ กนิ 1-2 มิลลเิ มตรจากปลาย เพราะถา้ ตดั ยาวเกนิ ไปเซลล์
สว่ นใหญท่ ีพ่ บจะเป็นเซลล์ที่ไม่มีการแบง่ เซลล์

ครูน�ำ เขา้ สู่บทเรยี นโดยใชค้ ำ�ถามใหน้ ักเรยี นรว่ มกันอภิปรายก่อนการทำ�กจิ กรรม ดงั นี้

เหตุใดจงึ เลือกใช้หอมเพื่อศึกษาการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ
เหตทุ เ่ี ลอื กใชห้ อมเพอ่ื ศกึ ษาการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ เนอื่ งจากเพาะงา่ ย รากงอกเรว็ และ
มจี �ำ นวนมาก

ในการทำ�กิจกรรมเรื่องการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส ครูควรกระตุ้นให้นักเรียนสนใจศึกษา
และสังเกตการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียสในการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสด้วยตนเอง โดยให้
นกั เรยี นลงมอื ปฏบิ ตั หิ ลงั จากทคี่ รสู าธติ และแนะน�ำ ขน้ั ตอนตา่ งๆ แลว้ ใหน้ กั เรยี นน�ำ ผลการท�ำ
กิจกรรมมาเปรียบเทียบกับรูป 3.46 หรือครูอาจนำ�สไลด์ถาวรมาศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์
ตงั้ ไวใ้ หน้ กั เรยี นดเู พอ่ื เปรยี บเทยี บกนั และควรใหน้ กั เรยี นเรยี งล�ำ ดบั การเปลยี่ นแปลงนวิ เคลยี ส
ในระยะตา่ งๆ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เล่ม 1 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ 225

ครูให้นกั เรยี นทำ�กิจกรรมตามข้นั ตอนในหนงั สือเรียน โดยใหร้ ะมดั ระวงั ในขน้ั ตอนต่อไปนี้
1. การตัดปลายรากหอม การผ่านสไลด์บนเปลวไฟ การหยดกรดไฮโดรคลอรกิ และการยอ้ มสี

ดว้ ยอะซโี ทคารม์ นี หรอื น�ำ้ ตม้ ขา้ วเหนยี วด�ำ โดยครอู าจสาธติ ใหน้ กั เรยี นดเู ปน็ ตวั อยา่ ง พรอ้ ม
อธิบายเพิม่ เติม ดังตอ่ ไปน้ี
- การตัดปลายรากหอม ใหต้ ดั หา่ งจากปลายรากประมาณ 1-2 มลิ ลิเมตร เพราะถ้าตดั

สงู ข้ึนไปจะไมพ่ บบริเวณทก่ี �ำ ลงั แบ่งเซลล์
- การผ่านสไลด์บนเปลวไฟ ต้องผ่านสไลด์บนเปลวไฟเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จะช่วยให้

สีย้อมตดิ ดีข้นึ
- การหยดกรดไฮโดรคลอรกิ จะท�ำ ใหผ้ นงั เซลลอ์ อ่ นตวั และท�ำ ใหเ้ ซลลแ์ ยกออกจากกนั

ไดง้ ่าย
2. ครูเตือนนักเรียนระวังอย่าใช้ไฟลนสไลด์นานเกินไป เพราะเน้ือเย่ือจะหดตัว ทำ�ให้สังเกต

โครโมโซมได้ยาก

ตวั อยา่ งผลการท�ำ กจิ กรรม
ผลการทำ�กจิ กรรมทไ่ี ดอ้ าจพบเซลลท์ ่มี ีการแบ่งเซลล์ครบหรอื ไม่ครบทกุ ระยะ ใหน้ ักเรยี น

บนั ทกึ ตามทส่ี งั เกตไดใ้ นแตล่ ะระยะ และจดั ล�ำ ดบั การแบง่ เซลลใ์ นระยะตา่ ง ๆ โดยเปรยี บเทยี บ
กบั รูป 3.46 ในหนงั สือเรียน

อภิปรายและสรุปผล
ครใู หน้ กั เรยี นร่วมกันอภปิ รายในแต่ละประเดน็ ตอ่ ไปน้ี

1. การเลือกบรเิ วณทีต่ ัดรากหอม ครูอาจใชค้ ำ�ถามต่อไปนี้
เหตใุ ดจึงใช้หอมในการศึกษา และใชเ้ ฉพาะส่วนปลายรากเทา่ นัน้
โครโมโซมมขี นาดใหญแ่ ละจ�ำ นวนไมม่ าก สว่ นทใ่ี ชเ้ ฉพาะสว่ นปลายรากเนอื่ งจากเปน็
บรเิ วณทม่ี ีการแบง่ เซลล์

2. การเปลี่ยนแปลงของนวิ เคลยี ส
นกั เรยี นควรอภปิ รายและสรปุ เกย่ี วกบั การเปลย่ี นแปลงของนวิ เคลยี สในแตล่ ะระยะทส่ี งั เกตได้

รวมถงึ การแบง่ โซโทพลาซมึ แลว้ เขยี นรายงานหรอื น�ำ เสนอในรูปแบบตา่ ง ๆ
จากการสังเกตการแบ่งเซลล์ระยะต่าง ๆ ของรากหอมภายใต้กล้องจุลทรรศน์ หรือสังเกต

จากรปู ถา่ ยของเซลล์รากหอมท่คี รูให้ศกึ ษาเป็นตัวอย่าง นกั เรียนควรจะไดร้ บั ขอ้ สรปุ ดังนี้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

226 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ ชวี วิทยา เลม่ 1

- เซลล์มีขนาดเล็ก ไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์ และพบการเปล่ียนแปลงของโครโมโซม
ภายในเซลล์

- นิวเคลียสในบางเซลล์มลี ักษณะคล้ายกับทเี่ คยพบจากการศึกษาเซลลเ์ ยอื่ หอม แตใ่ น
บางเซลล์อาจมองไม่เหน็ ขอบเขตของนวิ เคลยี ส บางเซลลอ์ าจเห็นโครโมโซมลักษณะ
เปน็ แทง่ แตบ่ างเซลลอ์ าจมองเห็นเป็นเส้นใยโครมาทนิ

จากน้ันครูควรตั้งคำ�ถามเพ่ือนำ�ไปสู่การอภิปรายตามความเหมาะสม โดยคำ�ตอบท่ีได้จะ
เปน็ สิง่ ทไี่ ด้จากการสังเกตและรวบรวมข้อมูลของนักเรียน เชน่

ถา้ เซลลข์ องรากหอมมกี ารเปล่ียนแปลงตลอดเวลา นกั เรยี นระบุไดห้ รือไมว่ ่า เซลล์ท่ี
อยู่บรเิ วณปลายรากจะมลี กั ษณะแตกตา่ งจากเซลลท์ ่อี ยูใ่ กล้โคนรากอย่างไร

เซลล์บริเวณปลายรากหอมยังคงมีการแบ่งตัวอยู่ แต่เซลล์ที่อยู่บริเวณโคนรากจะไม่
พบเซลลท์ ีก่ �ำ ลงั แบง่ ตวั แล้ว

จากนัน้ ให้นักเรยี นตอบค�ำ ถามท้ายกิจกรรมในหนังสือเรียน

จากภาพท่สี งั เกตได้ โครโมโซมมีลกั ษณะอยา่ งไรบ้าง เมอื่ เปรยี บเทียบกบั รูป 3.46
นักเรียนอาจสังเกตเห็นโครโมโซมในระยะต่าง ๆ กัน ซ่ึงแต่ละระยะลักษณะโครโมโซมจะ

แตกต่างกันไป เช่น โครโมโซมมีความยาวไม่เท่ากันในแต่ละเซลล์ บางเซลล์อาจพบ
โครโมโซมเรยี งกนั ทกี่ งึ่ กลางเซลล์ บางเซลลอ์ าจพบโครโมโซมแยกกนั เปน็ 2 กลมุ่ หรอื อาจ
พบแผน่ กั้นผนังเซลล์ทำ�ใหเ้ ห็นโครโมโซมแยกออกจากกันเปน็ 2 เซลล์ เปน็ ต้น

จากกจิ กรรม 3.3 นกั เรียนจะเห็นการเปล่ยี นแปลงของนวิ เคลียสในเซลลข์ องปลายรากหอมทง้ั
จากการส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์และการเปรียบเทียบกับตัวอย่างรูปในหนังสือเรียน แต่นักเรียนยัง
ไมท่ ราบถงึ รายละเอยี ดแตล่ ะขน้ั ตอนของการเปลยี่ นแปลง ครคู วรใหน้ กั เรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู จากหนงั สอื
เรยี นหรอื ส่ือการเรียนรู้อน่ื  ๆ แล้วรว่ มกนั อภปิ รายถึงการเปลย่ี นแปลงของนวิ เคลยี สและโครโมโซมใน
ระยะต่าง ๆ ของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ โดยใช้คำ�ถาม เชน่

โครโมโซมมกี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ งไรในแตล่ ะระยะ
การแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ ในเซลลพ์ ืชและเซลล์สตั ว์แตกต่างกันอยา่ งไร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เลม่ 1 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ 227

จากการอภิปรายนักเรียนควรใช้ความรู้ที่ได้จากการทำ�กิจกรรม 3.3 และการสืบค้นข้อมูลมา
ตอบค�ำ ถาม จากนนั้ ครคู วรเสรมิ ความรเู้ รอ่ื งความแตกตา่ งของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ ระหวา่ งเซลล์
พชื และเซลลส์ ัตว์ ได้แก่ การสรา้ งเสน้ ใยสปนิ เดลิ ในเซลล์พชื เซนโทรโซมจะไมม่ เี ซนทริโอล และระยะ
การแบ่งไซโทพลาซึมจะแตกต่างกันโดยในเซลล์พืชจะมีการสร้างแผ่นกั้นเซลล์ ขณะท่ีเซลล์สัตว์เย่ือ
หุ้มเซลล์จะคอดเขา้ หากัน

เพื่อให้นักเรียนเข้าใจย่ิงขึ้น ครูอาจให้นักเรียนนำ�บันทึกผลการศึกษาท่ีได้จากทำ�กิจกรรม 3.3
เรยี งสลบั กนั แบบสมุ่ แลว้ ใหน้ กั เรยี นเรยี งตามระยะการแบง่ เซลลใ์ หถ้ กู ตอ้ งอกี ครงั้ จากนนั้ ใหน้ กั เรยี น
ตอบคำ�ถามตรวจสอบความเข้าใจในหนังสือเรยี น

เฉลยตรวจสอบความเข้าใจ

ถา้ ไม่มีการสร้างเสน้ ใยสปินเดิลจะมีผลตอ่ การแบ่งเซลล์อยา่ งไร
เม่ือไม่มีเส้นใยสปินเดิลจะไม่มีการแยกกันของซิสเตอร์โครมาทิด ซ่ึงอาจทำ�ให้เซลล์ลูก

ทไี่ ดม้ ีจ�ำ นวนโครโมโซมผดิ ปกติ

เซลล์ของสงิ่ มีชวี ติ หน่ึงในระยะอินเตอรเ์ ฟสมี 8 โครโมโซม เมอ่ื สน้ิ สุดกระบวนการแบง่
เซลลแ์ บบไมโทซิสแลว้ เซลล์ใหมท่ เี่ กิดขน้ึ แตล่ ะเซลลม์ กี ี่โครโมโซม

8 โครโมโซม

ครอู ธบิ ายเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั วฏั จกั รเซลล์ โดยใชข้ อ้ มลู จากการท�ำ กจิ กรรมของนกั เรยี น น�ำ ผลจาก
การเรียงลำ�ดับการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสในระยะต่างๆ และจากการท่ีสิ่งมีชีวิตเติบโตมาจากการ
แบง่ เซลลม์ าเนน้ ประเดน็ ใหน้ กั เรยี นไดท้ ราบวา่ เซลลม์ กี ารเปลย่ี นแปลงและเกดิ ขน้ึ เปน็ วฏั จกั รจงึ เรยี กวา่
วฏั จกั รเซลล์ ดงั รปู 3.47 จากนนั้ ครคู วรใชค้ �ำ ถามเกีย่ วกบั วัฏจักรเซลล์ดังตอ่ ไปนี้

ระยะใดในวฏั จกั รเซลล์ใช้เวลานานท่สี ดุ
ระยะอนิ เตอร์เฟส

การจำ�ลองโครโมโซมมคี วามสำ�คญั ต่อการแบ่งเซลลอ์ ยา่ งไร
ทำ�ให้เซลลล์ ูกมจี �ำ นวนโครโมโซมเทา่ กับเซลล์แม่

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

228 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ ชวี วทิ ยา เล่ม 1

โดยท่ัวไปแล้วเซลล์ลูกจะสามารถแบ่งเซลล์ต่อไปได้หรือไม่ และการเปล่ียนแปลงในระยะ
ตา่ งๆ ท่ีเกดิ ขึน้ ทน่ี ิวเคลยี สยังเกิดขนึ้ เหมอื นเดมิ หรอื ไม่

ยังสามารถแบง่ เซลล์ตอ่ ไปได้อีก โดยมีการเปล่ียนแปลงในระยะต่าง ๆทเ่ี กดิ ขึน้ ทน่ี วิ เคลยี ส
เหมอื นเดิม

ถ้าต้องการจะนบั จำ�นวนโครโมโซมควรศึกษาในระยะใดของการแบ่งเซลล์ เพราะเหตุใด
ระยะเมทาเฟส เพราะเปน็ ระยะที่โครโมโซมมกี ารขดสนั้ ทส่ี ุด

ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้นักเรียนเกิด
ความเข้าใจท่ีถูกตอ้ ง ในประเด็นต่างๆ ต่อไปน้ี

1. เกิดข้นึ กบั เซลลร์ ่างกายของสง่ิ มชี ีวติ
2. ไดเ้ ซลลล์ กู 2 เซลล์ แตล่ ะเซลลม์ จี �ำ นวนโครโมโซมและขอ้ มลู ทางพนั ธกุ รรมเหมอื นกบั เซลลแ์ ม่
3. วัฏจักรเซลล์ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คอื ระยะอินเตอร์เฟสและระยะ M phase ท่ีรวมไป

ถึงการแบง่ ไซโทพลาซมึ
4. ระยะอินเตอร์เฟสเป็นระยะท่ีใช้เวลานานท่ีสุดในวัฏจักรเซลล์ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ

ระยะ G1 ระยะ S และระยะ G2 ซงึ่ เป็นชว่ งทีเ่ ซลล์มกี ิจกรรมตา่ ง ๆ เพ่อื เตรยี มตวั สำ�หรับ
แบง่ เซลล์ตอ่ ไป
5. ระยะ M phase เป็นระยะการแบ่งเซลล์จนได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ประกอบด้วยการแบ่ง
นิวเคลียส 4 ระยะคอื ระยะโพรเฟส เมทาเฟส แอนาเฟส และเทโลเฟส รวมไปถึงระยะทม่ี ี
การแบ่งไซโทพลาซึม
6. การแบ่งไซโทพลาซึม เซลล์พืชจะมีการสร้างแผ่นกั้นเซลล์ข้ึนมาแบ่งไซโทพลาซึม โดยนำ�
เวสิเคิลท่ีสร้างจากกอลจิบอดีท่ีมีสารท่ีเป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ ซ่ึงจะเริ่มสร้างจาก
บริเวณตรงกลางก่อนแล้วจึงขยายไปสู่ผนังเซลล์เดิมทั้งสองข้าง ต่อมามีการสร้างสาร
เซลลูโลสมาสะสมทแ่ี ผน่ กั้นเซลลเ์ กิดเปน็ ผนงั เซลลใ์ หมก่ น้ั เซลลเ์ ดมิ ออกเปน็ 2 เซลล์ ส่วน
เซลล์สัตว์เย่ือหุ้มเซลล์จะคอดเข้าหากันโดยเกิดจากการทำ�งานของไมโครฟิลาเมนท์แบ่ง
ไซโทพลาซึมไดเ้ ปน็ 2 เซลล์

หลังจบเรอื่ งวฏั จักรเซลล์และการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส ครอู าจใช้คำ�ถามวา่ ถ้าเซลล์มีการแบง่
เซลลโ์ ดยไมส่ ามารถควบคมุ ไดจั ะเกดิ อะไรขนึ้ กบั รา่ งกาย เพอ่ื เชอื่ มโยงไปถงึ การเกดิ มะเรง็ บรเิ วณสว่ น
ตา่ ง ๆ ของร่างกาย ครใู ห้นักเรยี นสบื ค้นข้อมูลเกยี่ วกับสาเหตกุ ารเกิดมะเรง็ บางชนิด เชน่ มะเรง็ ปอด
มะเร็งลำ�ไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม เกี่ยวกับปัจจัยที่ทำ�ให้เกิดมะเร็ง รวมทั้งวิธีการ

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เลม่ 1 บทที่ 3 | เซลล์และการท�ำ งานของเซลล์ 229

ปอ้ งกนั หรอื รกั ษา และอาจใหน้ �ำ เสนอในรปู แบบตา่ ง ๆ ซง่ึ จะท�ำ ใหน้ กั เรยี นไดต้ ระหนกั ถงึ อนั ตรายและ
สังเกตพฤติกรรมตนเองทอี่ าจเป็นการเพ่ิมปัจจัยเสย่ี งท�ำ ใหป้ ่วยเปน็ โรคมะเรง็ ได้

แนวการวัดและประเมนิ ผล

ด้านความรู้
- วัฏจักรเซลล์ การเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียสของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส จากการตอบ

ค�ำ ถาม การอภปิ ราย และการท�ำ กิจกรรม
- การเปรยี บเทยี บการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ ระยะตา่ ง ๆ จากการอภปิ รายและการท�ำ กจิ กรรม

ดา้ นทกั ษะ
- การสงั เกต การจ�ำ แนกประเภท การจดั กระท�ำ และสอื่ ความหมายขอ้ มลู การสรา้ งแบบจ�ำ ลอง

การตีความหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ จากการทำ�กจิ กรรม
- การสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื จากการสบื คน้ การตอบค�ำ ถามและการอภปิ ราย
- การคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณและการแก้ปัญหา จากการตอบค�ำ ถาม และการอภปิ ราย
- ความรว่ มมือการท�ำ งานเป็นทมี และภาวะผูน้ �ำ จากการท�ำ กจิ กรรม

ดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์
- ความอยากรู้ อยากเหน็ จากการตอบคำ�ถาม และการสังเกตพฤตกิ รรมในการทำ�กจิ กรรม
- ความเชอ่ื มั่นตอ่ หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ความมงุ่ มัน่ อดทน จากการอภปิ ราย และการสงั เกต

พฤตกิ รรมการทำ�กจิ กรรม

3.5.3 การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. อธบิ ายการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียสในการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
2. อธบิ าย และเปรียบเทยี บเซลล์ที่ไดจ้ ากการแบง่ แบบไมโทซิสและแบบไมโอซิส

แนวการจัดการเรียนรู้
ครูน�ำ เขา้ ส่บู ทเรียนโดยใชค้ �ำ ถามใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคดิ เห็น ดงั นี้

เซลลส์ บื พนั ธุ์มกี ารแบง่ นวิ เคลยี สเหมอื นเซลลร์ า่ งกายหรอื ไม่ อยา่ งไร

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

230 บทท่ี 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ ชีววทิ ยา เลม่ 1

ความคดิ เหน็ ทไ่ี ดอ้ าจมที ง้ั เหมอื นและไมเ่ หมอื นขนึ้ อยกู่ บั ความรเู้ ดมิ ของนกั เรยี น ซงึ่ ครจู ะยงั ไม่
เฉลยจนกว่าจะใหน้ ักเรียนได้ศกึ ษาและท�ำ กจิ กรรมต่อไป

ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจากหนังสือเรียนหรือแหล่งการ
เรียนรู้อ่ืน ๆ แล้วนำ�เสนอในชั้นเรียน จากนั้นครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลที่ได้จากการสืบค้น ซ่ึงใน
เบื้องต้นควรได้ข้อสรุปว่า เซลล์สืบพันธุ์มีวิธีการแบ่งนิวเคลียสคล้ายกับการแบ่งนิวเคลียสของเซลล์
รา่ งกาย แตม่ ีรายละเอยี ดท่ีแตกต่างกนั ดงั ต่อไปนี้

1. มีการแบง่ นวิ เคลยี ส 2 คร้ัง
2. มจี ำ�นวนโครโมโซมลดลงเป็นครง่ึ หนึง่ ของเซลลแ์ ม่
3. ได้เซลล์ลกู จ�ำ นวน 4 เซลล์ ที่มีข้อมลู พันธกุ รรมต่างกัน

จากนน้ั ครูอาจถามเพิม่ เตมิ โดยใชค้ ำ�ถาม ต่อไปน้ี

ส่งิ มีชวี ิตยูแคริโอต เช่น พืชและสัตว์ พบการแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ ที่เซลลช์ นดิ ใด
พบได้ในเซลลท์ ีจ่ ะเจรญิ ไปเป็นเซลลส์ ืบพันธ์ุ

จ�ำ นวนชดุ ของโครโมโซมในเซลล์ร่างกายและเซลล์สบื พนั ธเ์ุ หมือนหรือต่างกนั อยา่ งไร
ต่างกัน เซลล์สืบพันธ์ุมีจำ�นวนชุดโครโมโซมเป็นครึ่งหน่ึงของเซลล์ร่างกาย ดังน้ันสำ�หรับ
ส่ิงมีชีวิตที่เซลล์ร่างกายมีโครโมโซม 2 ชุด หรือ 2n เรียกว่า ดิพลอยด์ จะมีจำ�นวนชุด
โครโมโซมในเซลล์สืบพันธ์ุ 1 ชุด หรือ n เรียกวา่ แฮพลอยด์

การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ นวิ เคลยี สมกี ารเปลยี่ นแปลงแตกตา่ งจากการแบง่ แบบไมโทซสิ
อย่างไร

เกิดการแบ่งนิวเคลียส 2 คร้ัง เม่ือส้ินสุดการแบ่งจะได้เซลล์ลูกทั้งหมด 4 เซลล์ โดยแต่ละ
เซลล์มชี ุดโครโมโซมเปน็ ครงึ่ หนง่ึ ของเซลลแ์ ม่

ครูช้ีแจงเพ่ิมเติมว่านักเรียนจะได้เห็นการเปล่ียนแปลงของโครโมโซมในนิวเคลียสขณะท่ีมีการ
แบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ โดยการท�ำ กจิ กรรม 3.4 การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ ในเซลลพ์ ชื ซงึ่ กจิ กรรมนค้ี รู
อาจแบ่งนกั เรียนออกเป็นกลมุ่ กลมุ่ ละ 3-4 คน

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววิทยา เลม่ 1 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการท�ำ งานของเซลล์ 231

กจิ กรรม 3.4 การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิสในเซลล์พืช

จดุ ประสงค์
1. เตรียมสไลด์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมในนิวเคลียสของการแบ่งเซลล์แบบ

ไมโอซสิ ของเซลลพ์ ชื
2. อธบิ ายและเปรยี บเทยี บการเปลย่ี นแปลงของนวิ เคลยี สแตล่ ะระยะในการแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ

เวลาทีใ่ ช้ (โดยประมาณ) 2 ชัว่ โมง

วัสดแุ ละอุปกรณ์

รายการ ปรมิ าณต่อกลมุ่

1. ชอ่ ดอกกยุ ช่าย (ดอกหอมใหญ่ หรอื ดอกหัวใจมว่ ง) 3-5 ชอ่
2. สารละลายอะซีโทออรซ์ ีนหรอื อะซโี ทคาร์มนี 15 mL

ความเข้มข้น 0.5-2% 1 ชดุ
3. กระดาษเยอื่ 1 แทง่
4. แท่งแกว้ คนสาร 2 อนั
5. เข็มเขย่ี 6-8 ชดุ
6. สไลด์ และกระจกปดิ สไลด์ 1 ชดุ
7. ชุดตะเกยี งแอลกอฮอล์ 1 หลอด
8. หลอดหยด 1 กลอ้ ง
9. กล้องจุลทรรศน์

การเตรยี มล่วงหน้า
ครูอาจนัดหมายลว่ งหนา้ ใหน้ กั เรยี นน�ำ ดอกกุยช่าย หรอื ดอกหอมใหญ่ หรือดอกหัวใจม่วง

มาในวันทำ�กิจกรรม ควรเลือกช่อดอกที่ยังตูม ๆ มิฉะน้ันจะไม่เห็นการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
เพราะดอกทแี่ ก่จะแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ เสร็จแลว้ และจะเจรญิ ไปเป็นเรณู

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

232 บทท่ี 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ ชีววิทยา เล่ม 1

ขอ้ เสนอแนะส�ำ หรบั ครู
การเลอื กดอกกยุ ชา่ ยมาท�ำ กจิ กรรมใหเ้ ลอื กดอกทมี่ ขี นาดปานกลาง ฉกี เยอื่ บาง ๆ ทห่ี มุ้ ดอก

กุยช่ายออกและเข่ียส่วนต่าง ๆ ทิ้งไปให้เหลือไว้แต่อับเรณูซ่ึงมีลักษณะเป็นแท่งส้ัน ๆ สีเหลือง
ออ่ นหรอื ครมี น�ำ มาบดขยใี้ หแ้ หลกแลว้ จงึ ยอ้ มสี ถา้ เปน็ สยี อ้ มทเ่ี พงิ่ เตรยี มใหม ่ ๆ อาจไมจ่ �ำ เปน็
ต้องลนไฟก็เห็นระยะต่าง ๆ ได้ดี สามารถเลือกขนาดของดอกให้เหมาะสมกับการศึกษาการ
แบง่ เซลล์ นอกจากนชี้ ว่ งเวลาและอณุ หภมู กิ ม็ ผี ลกบั การแบง่ เซลลด์ ว้ ยซงึ่ ขน้ึ อยกู่ บั ชนดิ ของพชื
ส�ำ หรบั ดอกกยุ ชา่ ยหากตรวจสอบแลว้ พบวา่ เซลลอ์ ยใู่ นระยะอนิ เตอรเ์ ฟสใหเ้ ตรยี มใหมโ่ ดยเลอื ก
ดอกท่ีมีขนาดใหญ่ข้ึน หรือหากพบแต่เรณูให้เตรียมใหม่โดยเลือกดอกที่มีขนาดเล็กลงเพ่ือให้
เหน็ ระยะอนื่  ๆ

เพอ่ื ทจี่ ะใหเ้ หน็ โครโมโซมไดช้ ดั เจน ครคู วรแนะน�ำ ใหน้ กั เรยี นใชย้ างลบกน้ ดนิ สอกดเนอื้ เยอื่
เพ่ือให้เซลล์หลุดกระจาย นอกจากน้ีในขณะที่นักเรียนกำ�ลังทำ�กิจกรรมครูควรสังเกตนักเรียน
ในเร่ืองการใช้กล้องจุลทรรศน์และการเตรียมสไลด์ไปพร้อม ๆ กัน เพ่ือท่ีจะได้ทราบถึงทักษะ
การใช้กล้องจลุ ทรรศนแ์ ละการเตรียมสไลด์ว่ามขี อ้ บกพรอ่ งหรอื ควรปรบั ปรุงตอ่ ไป

ครูให้นักเรียนร่วมกนั อภปิ รายกอ่ นการท�ำ กิจรรม โดยใชค้ ำ�ถามดงั นี้

เหตใุ ดจงึ เลอื กศกึ ษาการแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ จากดอกกยุ ชา่ ย (ขน้ึ อยกู่ บั พชื ทน่ี กั เรยี นน�ำ มา)
โครโมโซมในขณะที่มีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนการแบ่งเซลล์

แบบไมโทซสิ หรือไม่

ตวั อยา่ งผลการท�ำ กจิ กรรม
ผลทีไ่ ดอ้ าจพบการแบ่งเซลลค์ รบหรือไม่ครบทกุ ระยะ ให้นักเรยี นบนั ทกึ ตามทีส่ ังเกตไดใ้ น

แต่ละระยะ และเรียงลำ�ดับการแบ่งเซลล์ระยะต่าง ๆ โดยเปรียบเทียบกับรูป 3.61 ก.
ในหนังสือเรียน (ในหนังสือเรียนจะเป็นการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสของหัวใจม่วง ซ่ึงจะใช้
แสดงถงึ การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ ของเซลล์พืช)

อภิปรายและสรุปผล
ครูให้นักเรียนอภิปรายการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียสในแต่ละระยะที่สังเกตได้ และ

รว่ มกนั สรปุ การเปลย่ี นแปลงของนวิ เคลยี ส และการแบง่ โซโทพลาซมึ และตอบค�ำ ถามทา้ ยกจิ กรรม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา เลม่ 1 บทที่ 3 | เซลล์และการท�ำ งานของเซลล์ 233

เฉลยค�ำ ถามท้ายกิจกรรม
จากภาพที่สังเกตได้ โครโมโซมมีลักษณะอยา่ งไรบ้าง
คำ�ตอบท่ไี ด้นักเรยี นจะได้จากการสงั เกตจากการทำ�ในกจิ กรรม 3.4 และการสืบคน้

เพราะเหตใุ ดจงึ ใช้ดอกกุยชา่ ยขนาดเลก็ ในการศกึ ษา และไม่เลอื กดอกทบ่ี านแล้ว
เพราะกยุ ชา่ ยหาไดง้ ่าย และมหี ลายดอกใน 1 ชอ่ ดอก โดยแตล่ ะดอกท่ีเปน็ ดอกตมู หรือยงั

ไมบ่ านจะยงั คงมีการแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ อยซู่ ง่ึ เหมาะสมตอ่ การศกึ ษา สาเหตทุ ไี่ มเ่ ลือก
ดอกบานเพราะดอกบานจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเสรจ็ แล้วและจะเจรญิ ไปเปน็ เรณู

ครูให้นักเรียนศึกษารายละเอียดของระยะต่าง ๆ จากหนังสือเรียน หรืออาจใช้วีดิทัศน์และสื่อ
การสอนเร่ืองไมโอซิส แล้วให้นักเรียนร่วมกันสรุปเหตุการณ์สำ�คัญต่าง ๆ ของแต่ละระยะในการแบ่ง
เซลล์แบบไมโอซิส ลงในตารางดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้

ระยะ เหตุการณ์ส�ำ คัญ
โพรเฟส I - มีการเขา้ คกู่ ันของฮอมอโลกสั โครโมโซม
- เกดิ ครอสซิงโอเวอร์
เมทาเฟส I - ฮอมอโลกัสโครโมโซมเรียงตัวเป็นคู่ตามแนวระนาบของเมทาเฟสเพลท
แอนาเฟส I - ฮอมอโลกัสโครโมโซมแยกออกจากกนั
เทโลเฟส I - ได้ 2 นวิ เคลียส
อนิ เตอร์ไคเนซสิ - มีการแบ่งไซโทพลาซึม ได้เซลล์ลูก 2 เซลล์ และเตรยี มพร้อมเพ่ือเข้าสู่
ระยะไมโอซสิ II ต่อไป
โพรเฟส II - โครโมโซมขดตวั
เมทาเฟส II - โครโมโซมซง่ึ ประกอบดว้ ย 2 โครมาทดิ เรยี งตามแนวระนาบของเมทาเฟสเพลท
แอนาเฟส II - ซิสเตอร์โครมาทิดแยกออกจากกัน
เทโลเฟส II - ได้เซลลล์ ูก 4 เซลล์ แตล่ ะเซลล์มขี อ้ มูลพนั ธกุ รรมแตกตา่ งจากเซลลแ์ ม่

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

234 บทที่ 3 | เซลลแ์ ละการทำ�งานของเซลล์ ชีววิทยา เลม่ 1

เฉลยตรวจสอบความเข้าใจ

ระยะโพรเฟส I แตกตา่ งจากระยะโพรเฟสของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ หรอื ไม่ อยา่ งไร
แตกต่างกัน โดยในระยะโพรเฟส I ฮอมอโลกัสโครโมโซมมีการเข้าคู่กันและเกิดการ

ครอสซิงโอเวอร์ขึ้น สำ�หรับระยะโพรเฟสของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสไม่มีการเข้าคู่
กนั ของฮอมอโลกสั โครโมโซมและครอสซงิ โอเวอร์

เซลล์ลูกที่ได้จากการแบง่ เซลล์ระยะไมโอซิส II จะสามารถแบ่งเซลล์ต่อไปได้อกี หรอื ไม่
สามารถแบง่ เซลลต์ อ่ ไปได้ โดยในสงิ่ มชี วี ติ บางชนดิ เซลลล์ กู ทไ่ี ดจ้ ากการแบง่ เซลลร์ ะยะ

ไมโอซสิ II จะมกี ารแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิสตอ่ ไป

ระยะใดทีโ่ ครโมโซมขดสน้ั ทส่ี ุดและชว่ งใดที่โครโมโซมลดจาก 2n เป็น n
ระยะเมทาเฟส I และระยะเมทาเฟส II เป็นระยะท่ีโครโมโซมขดส้ันที่สุด ส่วนช่วงท่ี

โครโมโซมลดจาก 2n เปน็ n คอื เมือ่ สิ้นสดุ ไมโอซิส I

ระยะเมทาเฟส I และระยะเมทาเฟส II ต่างกนั อยา่ งไร
ระยะเมทาเฟส I ฮอมอโลกัสโครโมโซมจะเรียงตัวเป็นคู่ตามแนวระนาบของเมทาเฟส

เพลท ส่วนระยะเมทาเฟส II แตล่ ะโครโมโซมซง่ึ ประกอบด้วย 2 โครมาทดิ จะเรียงตาม
แนวระนาบของเมทาเฟสเพลท

ในระยะแอนาเฟส I แอนาเฟส II และระยะแอนาเฟสของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
แตกตา่ งกันหรอื ไม่ อยา่ งไร

แตกต่างกัน โดยระยะแอนาเฟส I จะเป็นการแยกกันของฮอมอโลกัสโครโมโซมท่ีเข้าคู่
กนั แตร่ ะยะแอนาเฟส II เปน็ การแยกกนั ของซสิ เตอรโ์ ครมาทดิ โดยมจี �ำ นวนโครโมโซม
ลดลงเป็นคร่งึ หน่ึงของเซลลแ์ ม่ ส�ำ หรบั ระยะแอนาเฟสของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ
เปน็ การแยกออกจากกนั ของซสิ เตอรโ์ ครมาทดิ เชน่ กนั แตเ่ ซลลล์ กู จะมจี �ำ นวนโครโมโซม
เทา่ กบั เซลล์แม่

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชีววทิ ยา เล่ม 1 บทที่ 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ 235

เซลลล์ กู ทไ่ี ดจ้ ากการแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ มคี วามเหมอื นหรอื แตกตา่ งจากการแบง่ เซลล์
แบบไมโทซิสหรือไม่ อย่างไร

เซลล์ลูกทไี่ ด้แตกต่างกนั ครอู าจให้นกั เรียนทำ�ตารางแสดงการเปรยี บเทยี บ ดงั ตัวอย่าง
ตอ่ ไปนี้

การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ
1. ไดเ้ ซลล์ลกู 2 เซลล์ 1. ไดเ้ ซลลล์ ูก 4 เซลล์
2. เซลลล์ ูกมีขอ้ มูลทางพันธกุ รรมเหมือน 2. เซลล์ลูกมขี ้อมูลทางพนั ธุกรรมตา่ งจาก

เซลลแ์ ม่ เซลล์แม่
3. จำ�นวนโครโมโซมเทา่ กับเซลล์แม่ 3. จ�ำ นวนโครโมโซมลดลงครึง่ หน่ึงจาก

เซลล์แม่

ถ้าเซลล์เร่ิมต้นมีจำ�นวนโครโมโซม 2n= 16 หลังการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I และ
ไมโอซิส II เซลลล์ ูกจะมีจ�ำ นวนโครโมโซมเทา่ ใดตามล�ำ ดับ

เม่อื ส้ินสดุ การแบ่งเซลลท์ งั้ 2 ระยะเซลล์ลกู จะมีจำ�นวนโครโมโซมเป็น n = 8

การเกดิ ครอสซิ่งโอเวอรม์ ีผลต่อสงิ่ มีชวี ิตอย่างไร
ท�ำ ให้สิ่งมชี วี ิตมีความหลากหลายทางพันธกุ รรม

จากนน้ั ใหน้ กั เรยี นตอบค�ำ ถามตรวจสอบความเขา้ ใจในหนังสือเรยี น

ครูอาจใหน้ ักเรียนร่วมกันตอบค�ำ ถามชวนคิดในหนงั สอื เรียน หรือทำ�กจิ กรรมเสนอแนะเพอ่ื ให้
นักเรียนมีความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียสในการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและแบบไมโอซิส
ไดด้ ียง่ิ ขึน้

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

236 บทที่ 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ ชวี วทิ ยา เล่ม 1

เฉลยชวนคิด

ถา้ การแบง่ เซลลเ์ พอื่ สรา้ งเซลลส์ บื พนั ธมุ์ คี วามผดิ ปกตใิ นการแยกฮอมอโลกสั โครโมโซม
ในระยะแอนาเฟส I หรือ ซิสเตอร์โครมาทิดในระยะแอนาเฟส II จะส่งผลอย่างไรกับ
เซลล์สบื พันธ์ุ และหากเซลล์สืบพนั ธน์ุ ัน้ เกดิ การปฏสิ นธจิ ะส่งผลอยา่ งไรกับไซโกต

เซลล์สืบพันธ์ุท่ีได้จะมีจำ�นวนโครโมโซมมากหรือน้อยกว่าปกติ ทำ�ให้ไซโกตมีจำ�นวน
โครโมโซมผิดปกติไปด้วย ตวั อยา่ ง เช่น กลมุ่ อาการดาวน์ซินโดรมท่มี โี ครโมโซมคูท่ ี่ 21
เพมิ่ ข้นึ อีก 1 โครโมโซม จดั เปน็ trisomy 21

กจิ กรรมเสนอแนะ การแบง่ เซลล์แบบไมโทซิสและแบบไมโอซสิ

จุดประสงค์
1. จัดเรยี งโครโมโซมในระยะต่าง ๆ ของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ และแบบไมโอซสิ
2. เปรียบเทียบความแตกต่างของการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิสและแบบไมโอซิส

เวลาที่ใช้ (โดยประมาณ) 2 ช่วั โมง

วสั ดุและอปุ กรณ์

รายการ ปริมาณตอ่ กลุ่ม

1. ดนิ น้ำ�มนั สตี า่ งกนั 2 สี
2. กระดาษ ขนาด A4 ประมาณ 20 แผน่

แนวการจัดกิจกรรม
1. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม แล้วให้นักเรียนทบทวนระยะต่าง ๆ ของการแบ่งเซลล์

แบบไมโทซิสและแบบไมโอซิสจากหนังสือเรียนหรือผลที่ได้จากการทำ�กิจกรรม 3.3 และ
3.4

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วทิ ยา เล่ม 1 บทที่ 3 | เซลล์และการทำ�งานของเซลล์ 237

2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มใช้ดินน้ำ�มันป้ันโครโมโซมระยะต่าง ๆ โดยกำ�หนดให้มีจำ�นวน
โครโมโซมเริ่มต้น คือ 2n = 4 หรือ 2n = 6 และให้นักเรียนเลือกทำ�ระหว่างเซลล์พืชกับ
เซลลส์ ตั ว์ จากนน้ั ใหเ้ พอื่ นในกลมุ่ ลองน�ำ มาจดั เรยี งเปน็ ระยะตา่ ง ๆ ของการแบง่ เซลลแ์ ตล่ ะ
แบบและตรวจสอบว่าเพอื่ นท�ำ ถูกหรือไม่ หรืออาจให้สมาชิกกลมุ่ อืน่ ผลัดกันดูและให้กลุ่ม
ทเี่ ปน็ ผปู้ น้ั โครโมโซมสมุ่ ถามสมาชกิ กลมุ่ อน่ื ทง้ั นส้ี ามารถเปลย่ี นจ�ำ นวนโครโมโซมของเซลล์
เริม่ ตน้ ได้ตามความเหมาะสม

ตวั อยา่ งผลการทำ�กจิ กรรม prophase metaphase
การแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ 2n = 6

interphase

cytokinesis

telophase anaphase

การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ 2n = 6

ไมโอซสิ I prophase I metaphase I anaphase I telophase I

interphase

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

238 บทที่ 3 | เซลล์และการท�ำ งานของเซลล์ ชีววิทยา เล่ม 1

ไมโอซิส II metaphase II anaphase II telophase II cytokinesis

prophase II

แนวการวดั และประเมินผล

ดา้ นความรู้
- การเปล่ียนแปลงของนิวเคลียสของการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส การเปรียบเทียบการแบ่ง

นิวเคลียสแบบไมโทซิสและแบบไมโอซิส จากการตอบคำ�ถาม การอภิปราย และการทำ�
กจิ กรรม

ดา้ นทกั ษะ
- การสงั เกต การจ�ำ แนกประเภท การจดั กระท�ำ และสอ่ื ความหมายขอ้ มลู การสรา้ งแบบจ�ำ ลอง

การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงข้อสรปุ จากการท�ำ กิจกรรม
- การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ จากการสืบค้น การตอบคำ�ถาม การอภิปราย

และการนำ�เสนอ
- การคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณและการแก้ปญั หา จากการตอบคำ�ถาม และการอภปิ ราย

ดา้ นจิตวิทยาศาสตร์
- ความอยากรู้ อยากเหน็ จากการตอบคำ�ถาม และการสงั เกตพฤตกิ รรมการทำ�กิจกรรม
- ความมุ่งม่ันอดทน ความเชอ่ื มัน่ ตอ่ หลักฐานเชิงประจักษ์ จากการอภิปราย และการสงั เกต

พฤตกิ รรมการทำ�กจิ กรรม

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


Click to View FlipBook Version