The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศักดิ์มงคล ศิริมา 040

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 620113189043, 2021-01-20 06:18:35

ศักดิ์มงคล ศิริมา 040

ศักดิ์มงคล ศิริมา 040

2

3

จิตวทิ ยาการรบั รู้ การเรยี นรู้ จิตวทิ ยาพฒั นาการ

จัดทำโดย
นำยจริ วฒั น์ บำสแตง็ น์ รหสั นักศึกษำ 620113189030
นำยศกั ดิม์ งคล ศริ มิ ำ รหัสนกั ศึกษำ 620113189040
นำงสำวนรศิ รำ โพธิ์สุ รหัสนักศึกษำ 620113189047
นำงสำวสทุ ธิดำ ทองทำ รหัสนกั ศึกษำ 620113189054
นำวสำวอัญนกิ ำ จันทรค์ ง รหสั นกั ศกึ ษำ 620113189056

เสนอ
อำจำรย์สญั ชยั ครบอดุ ม

สำขำวชิ ำเทคโนโลยแี ละคอมพวิ เตอรเ์ พอื่ กำรศึกษำ คณะครศุ ำสตร์
มหำวิทยำลยั รำชภัฏบรุ รี มั ย์

4



คานา

รำยงำนเล่มน้ีเป็นสว่ นหนงึ ของรำยวิชำนวัตกรรมและเทคโนโลยสี ำรสนเทศทำงกำรศกึ ษำ
จัดทำข้ึนมำเพ่ือจัดทำข้อมูลเกยี่ วกับจติ วิทยำกำรรบั รู้ กำรเรยี นรู้ จิตวทิ ยำพัฒนำกำรทำงดำ้ นตวั
ผจู้ ดั ทำมีควำมสนใจในด้ำนนเี้ ปน็ พเิ ศษ จึงได้จัดทำรำยงำนเร่อื งนขี้ ้ึนมำเพื่อนำเสนอและใหผ้ ้ทู ม่ี ี
ควำมสนใจได้มำศึกษำและนำไปต่อยอด

ทำงคณะผู้จัดทำอำจจะมกี ำรพิมคำทีต่ กหล่นและใช้คำไม่สุภำพก็ขออภยั มำ ณ ที่นด้ี ว้ ย

คณะผู้จดั ทำ

สารบญั ข

เร่อื ง หนำ้

คำนำ ข
สำรบญั 1
จิตวิทยำกำรเรียนรู้ 1
2
ควำมหมำยของกำรเรียนรู้ 4
กระบวนกำรของกำรเรยี นรู้ 5
ทฤษฎีกำรเชือ่ มโยงของ ธอร์นไดค์ 6
ทฤษฎีกำรวำงเงือ่ นไขแบบคลำสสิคหรือแบบอตั โนมตั ิ 7
ทฤษฎีกำรเรียนร้กู ำรวำงเงื่อนไขแบบกำรกระทำ 10
ทฤษฎกี ำรเรยี นร้แู บบร่วมมอื 10
แนวคดิ ของ Maslow 11
แนวคิดของ Rogers 12
แนวคดิ ของ Combs 13
แนวคดิ ของ Fox 13
จติ วทิ ยำพฒั นำกำร 14
ควำมหมำยของพฒั นำกำร 15
หลกั ทวั่ ไปของพัฒนำกำร 15
ทฤษฎเี ก่ยี วกบั กำรพัฒนำกำรของมนุษย์ 18
20
1. ทฤษฎีพฒั นำกำรของฟรอยด์ 21
2. ทฤษฎพี ัฒนำกำรของอรี คิ สนั ค
3. ทฤษฎีพฒั นำกำรของเพียเจต์
4. ทฤษฎพี ัฒนำกำรทำงจริยธรรมของโคลเบอร์ก
บรรณานกุ รม

1

จติ วิทยาการเรียนรู้

ความหมายของการเรยี นรู้
นักจติ วทิ ยำได้อธบิ ำยควำมหมำยและให้ทัศนะเกย่ี วกบั กำรเรียนรมู้ ำกมำย ในที่น้จี ะกลำ่ วถึง

บำงทำ่ น เพื่อเป็นแนวทำงในกำรสร้ำงควำมคิดรวบยอดเกี่ยวกับกำรเรียนรู้
แอล เจ ครอนบำช (L. J Cronbach. 1990: 71) ให้แนวคิดวำ่ กำรเรยี นรู้ คอื กำรเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมอันเปน็ ผลมำจำกกำรได้มปี ระสบกำรณ์
ฮิลกำรด์ (Hilgard. 1975: 194) สรุปว่ำ กำรเรียนรู้ คือ กระบวนกำรเปล่ียนแปลงของ
กิจกรรม ในกำรแสดงปฏกิ ิริยำตอบสนองต่อสถำนกำรณอ์ ย่ำงใดอย่ำงหนง่ึ
บำรอน (Baron. 1981: 136) เชอ่ื วำ่ กำรเรยี นร้เู ป็นกำรเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมต่ำงๆ ท่ีคงทน
ถำวร ซงึ่ กำรเปล่ียนแปลงนน้ั เป็นผลมำจำกประสบกำรณ์
อำรี พันธ์มณี (2540: 86) กล่ำววำ่ กำรเรยี นรู้ หมำยถึง กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
จำกเดิมไปส่พู ฤตกิ รรมใหม่ที่ค่อนขำ้ งถำวร และพฤติกรรมใหม่นเ้ี ปน็ ผลมำจำกประสบกำรณห์ รอื
กำรฝึกฝน มิใชเ่ ป็นผลจำกกำรตอบสนองตำมธรรมชำติหรือสญั ชำตญำณหรือวุฒภิ ำวะ

สรปุ กำรเรยี นรู้ คือ กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม ซ่ึงมผี ลเนอ่ื งมำจำกประสบกำรณ์พฤตกิ รรม
ทีเ่ ปลย่ี นแปลงค่อนข้ำงจะถำวร

ประเด็นทห่ี นึง่ ประสบกำรณ์ที่กอ่ ใหเ้ กดิ กำรเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม หมำยถงึ ประสบกำรณท์ ำงตรง
และประสบกำรณ์ทำงอ้อม

ประสบการณท์ างตรง คือ ประสบกำรณ์ที่ผูเ้ รียนรู้ได้พบหรอื สมั ผสั ดว้ ยตนเอง เช่น
เด็กเลก็ ทำนปลำ แล้วกำ้ งตดิ คอ เด็กทัง้ เจบ็ และตกใจ ผู้ใหญ่พยำยำมแก้ไขโดยให้กลืนปน้ั ข้ำวเหนยี ว
พยำยำมให้อำเจียน สุดท้ำยต้องสง่ โรงพยำบำลให้หมอแก้ไข ตอ่ มำเมือ่ เดก็ เห็นปลำ จะไม่ยอมทำน
ปลำอกี เลย ฉะนั้นอำจกล่ำวไดว้ ำ่ ประสบกำรณต์ รงจำกกำรทำนปลำแล้วกำ้ งติดคอ มีผลทำใหเ้ ดก็ เกิด
กำรเรียนรู้ จึงเกิดกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจำกเคยทำนปลำเป็นไมย่ อมแตะต้องปลำอกี
ประสบการณ์ทางออ้ ม คือ ประสบกำรณ์ทผี่ ้เู รยี นมไิ ดพ้ บหรือสัมผัสดว้ ยตนเองโดยตรง
แตไ่ ด้รบั จำกคำบอกเล่ำ กำรอบรมส่ังสอน จำกสื่อต่ำงๆ หนังสือพิมพ์ หนงั สือ วทิ ยุ โทรทัศน์
ภำพยนตร์
หรอื ส่ือมวลชนต่ำงๆ ตวั อยำ่ งเชน่ ในชนั้ เรยี นของนักศึกษำปี 1 ของมหำวิทยำลัยภำคอีสำนแห่งหน่งึ
อำจำรยผ์ ูส้ อนใหน้ ักศึกษำแต่ละคนแนะนำควำมเปน็ มำของตวั เอง นกั ศึกษำหญิงคนหนึ่งแนะนำวำ่
ตนเองมำจำกจังหวัดนครศรธี รรมรำช (ภำคใต)้ ดำรำเป็นนักศึกษำคนหนึง่ ในหอ้ ง นึกในใจวำ่
นกั ศึกษำ
คนน้ตี ้องใจดำพอดู ท้ังๆ ทไ่ี ม่เคยมีเพื่อนเป็นคนใต้ ไม่เคยไปเท่ียวใต้
นอกจำกน้ี ยงั มีประเดน็ ที่ควรทำควำมเข้ำใจเพ่ิมขึน้ บำงประกำร กล่ำวคือ ประเดน็ แรก

2

กำรเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมกินควำมแค่ไหน กำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในนิยำมนี้ รวมควำมถึง
พฤติกรรม
ภำยในดว้ ย ลักษณะของกำรเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมอำจเป็นไปได้ทั้ง 4 กรณี คือ กำรทำพฤติกรรม
ใหม่
กำรเลิกทำ กำรเพ่ิมพฤติกรรมท่ีเคยทำใหม้ ำกขนึ้ และกำรลดพฤติกรรมที่เคยทำใหน้ ้อยลง
ลว้ นเป็นกำรเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมทง้ั สิ้น

ประเด็นท่ีสอง คือ กำรเรยี นรู้เปน็ กำรเปล่ียนแปลงพฤติกรรมทีเ่ กดิ จำกกำรได้รับ
ประสบกำรณห์ รือกำรฝกึ นัน้ หมำยควำมว่ำอย่ำงไร ประเด็นนี้หมำยควำมวำ่ กำรเปลยี่ นแปลง
พฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นตำมวัยหรือวุฒภิ ำวะมิได้อย่ใู นขอบขำ่ ยของกำรเรยี นรนู้ ่ันเอง
ส่วนประเดน็ ท่สี ำม คือ กำรเรียนรเู้ ป็นกำรเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมที่คอ่ นขำ้ งถำวรนนั้
เป็นอยำ่ งไร ในประเดน็ นี้ แสดงว่ำพฤติกรรมทเ่ี ปลย่ี นแปลงไปนน้ั ต้องคงอย่คู ่อนข้ำงนำนจนกว่ำ
จะไดร้ ับประสบกำรณห์ รอื กำรฝกึ ใหม่ จึงเกดิ กำรเปลยี่ นใหม่ ดงั น้นั กำรเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมทีเ่ กิด
จำกประสบอบุ ัติเหตุ เช่น ถกู หนำมตำ ทำให้กำรเดนิ เปล่ียนแปลงไป พอเอำหนำมออก แผลทหี่ นำม
ตำหำย
ก็เดนิ เหมือนเดิม ไม่ถือเปน็ เรื่องของกำรเรยี นรู้ หรือกำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมท่ีเกิดจำกมีสำรหรือ
สง่ิ แปลกปลอมเข้ำไปในร่ำงกำย พอสำรหรอื ส่ิงน้ันหมดฤทธิ์ พฤติกรรมน้ันกห็ ำยไป ไม่ถือเปน็ กำร
เรยี นรู้
ด้วยเหมอื นกัน เช่น ชำยคนหนงึ่ ปกติไมช่ อบพูดชอบคยุ แต่พอดื่มเหล้ำเขำ้ ไปจะคยุ จอ้ ทเี ดยี ว
พอหมดฤทธเิ์ หล้ำก็ไม่พูดไมค่ ุยเหมือนเดมิ เป็นต้น

เม่อื พิจำรณำประเดน็ ตำ่ งๆ เหล่ำน้แี ลว้ จะพบวำ่ กำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนษุ ย์
จะเกดิ ข้นึ ได้ 3 ทำง คือ
กรณที ี่ 1 มนุษยเ์ รำเปล่ียนพฤติกรรมเพรำะกำรเรยี นรู้
กรณีที่ 2 มนุษยเ์ ปล่ียนแปลงพฤติกรรมเพรำะวุฒภิ ำวะ และ
กรณที ี่ 3 มนุษยเ์ รำเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมเพรำะ
อบุ ตั เิ หตุ หรอื มสี ิง่ แปลกปลอมเขำ้ ไปในร่ำงกำย ในบทนเ้ี รำจะกล่ำวถึงกำรเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมที่
เกิด
จำกกำรเรยี นรู้เท่ำนัน้ สำหรับขอ้ สรุปของกำรเรยี นรู้ ทีเ่ กย่ี วกับกำรเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรม จะไม่
รวมถงึ
กำรเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมท่เี กิดจำกเหตุอ่ืน เชน่ กำรเจรญิ เติบโต พฒั นำกำร วุฒิภำวะ ควำม
เจบ็ ป่วย
อุบตั ิเหตุ ฤทธย์ิ ำ สำรเคมี ฯลฯ

3

กระบวนการของการเรยี นรู้

กำรเรยี นร้ขู องมนุษย์อำจเกิดขึ้นโดยมจี ุดมุ่งหมำยหรอื อำจเกดิ ขนึ้ โดยบงั เอญิ ก็ได้ กำรเกิด
กำรเรยี นรู้ของบคุ คลมีกระบวนกำร 5 ขัน้ ตอน ดังนี้
1. มสี ิง่ เรำ้ (Stimulus) มำเรำ้ อินทรีย์ (Organism)
2. เกดิ กำรรบั สัมผัส (Sensation) อวยั วะรับสมั ผสั เปลี่ยนเป็นประสำทสมั ผัส สง่ กระแส
สัมผสั ไปยังระบบประสำทส่วนกลำง (สมอง)
3. สมองตีควำมหมำยโดยอำศัยประสบกำรณ์เดมิ เปน็ กำรรับรู้
4. กำรรบั รู้สรุปผลออกมำเป็นสังกปั (Conception)
5. เมอ่ื เกดิ สังกัปแลว้ กม็ ปี ฏิกิริยำตอบสนอง (Response) ต่อสิง่ เร้ำตำมทร่ี ับรเู้ ป็นผลให้
เกิดกำรเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรม แสดงว่ำเกดิ กำรเรยี นรู้
บุคคลจะเกิดกำรเรยี นรู้ได้ดีและมำกน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับกำรรับรู้ ซ่งึ มีบทบำทมำก กำรรบั รู้
สิง่ เร้ำของบุคคลจำกภำยนอกจะขนึ้ อยกู่ บั ตวั ส่งิ เร้ำและประสำทสมั ผสั ของผ้รู บั รู้แล้ว ยังข้ึนอยกู่ บั
ประสบกำรณเ์ ดมิ หรือควำมรู้เดิมของผรู้ บั รู้
ในกำรเรยี นรู้สิ่งทมี่ ีกำรวำงจุดมุ่งหมำยของกำรเรียนรไู้ ว้ กำรทจี่ ะรวู้ ่ำบุคคลเกดิ กำรเรียนรู้
ตำมท่ีต้องกำรหรือไม่ พจิ ำรณำไดจ้ ำกปฏิกริ ยิ ำตอบสนองสิง่ เรำ้ กล่ำวคือ ถ้ำผลท่ีได้รบั เป็นไปตำม
จุดมงุ่ หมำยทว่ี ำงไวแ้ สดงวำ่ เกิดกำรเรียนร้แู ล้ว
สว่ นครอนบำช (Cronbach. 1990: 68-70) อธบิ ำยถึง กระบวนกำรเรยี นรูว้ ่ำเป็นกระบวนกำร
ซึ่งประกอบดว้ ย 7 ส่วนของพฤติกรรม ดงั น้ี

1. จดุ ประสงค์ (Goal) ก่อนกำรเรยี นวชิ ำใดๆ ก็ตำม ควรได้กำหนดจุดประสงค์ไว้ เชน่
ตำมท่ีหลกั สูตรของกระทรวงศึกษำธิกำรได้กำหนดจดุ ประสงค์ไว้ในแต่ละวิชำ และให้ผูเ้ รียนได้
เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมตำมจุดประสงค์ท่ีกำหนดไว้ ครู-อำจำรยจ์ งึ ไดป้ ระเมนิ ผลตำมจดุ ประสงค์
ดังกล่ำว ถำ้ นักเรยี นไมผ่ ำ่ นจุดประสงคใ์ ดก็ให้เรียนซำ้ จนกว่ำจะผ่ำนจุดประสงคน์ ้ัน

2. ควำมพร้อม (Readiness) ก่อนกำรเรียนวิชำใดๆ กต็ ำม ผเู้ รยี นจะต้องเตรียมตวั ให้
พรอ้ มท้ังร่ำงกำย จติ ใจ อปุ กรณ์กำรเรยี นและส่ิงแวดลอ้ ม กำรเตรียมตวั ให้พร้อมย่อมจะช่วยให้กำร
เรยี นรูด้ ำเนนิ ไปด้วยดี ดงั คำกลำ่ วท่วี ำ่ “กำรเตรียมตวั ให้ดเี ท่ำกับกำรมีชยั ไปกว่ำครึ่งแล้ว”

3. สถำนกำรณ์ (Situation) ได้แก่ บรรยำกำศและสิ่งแวดล้อมทีเ่ กย่ี วข้องกบั กำรเรยี นรู้
เชน่ ในหอ้ งเรยี นจะไดแ้ ก่ ครู บทเรยี น สอ่ื กำรสอน สภำพอำกำศ และมลพิษตำ่ งๆ (ถ้ำมี) สำหรบั
กำรเรียนรู้ในหอ้ งสมุด หรอื สถำนทน่ี อกห้องเรยี น บรรยำกำศ ได้แก่ บทเรยี น สภำพสอื่ กำรสอน
สภำพอำกำศ มลพิษต่ำงๆ ทั้งทำงเสียง แสง กลิ่น และภยนั ตรำยต่ำงๆ ถ้ำสถำนกำรณเ์ ป็นบวกสำหรบั
ผู้เรยี นจะชว่ ยในกำรเรียนรูไ้ ด้ดี ในทำงตรงกนั ขำ้ มถ้ำสถำนกำรณเ์ ป็นลบจะเป็นอุปสรรคในกำรเรยี นรู้

4. กำรแปลควำมหมำย (Interpretion) เม่อื ผู้เรยี นได้พบกับสถำนกำรณ์อำจจะใน
ห้องเรียนหรือนอกห้องเรยี นก็ตำม ผู้เรียนจะต้องรบั สมั ผสั เชน่ ตำดู หฟู งั ใช้ล้ิน และหรอื มอื สมั ผัสใน
บรรดำสงิ่ เร้ำ คำสั่ง หรือเนื้อหำสำระตำ่ งๆ แล้วจะต้องแปลควำมหมำยให้ถูกต้อง เปน็ ควำมเข้ำใจที่
ตรงกัน จะได้นำไปใช้ ไปปฏบิ ัตไิ ด้อย่ำงถูกตอ้ ง ในทำงตรงกันขำ้ มถ้ำผู้เรยี นแปลควำมหมำยเบี่ยงเบน
ไป
ผลกค็ ือเกดิ กำรรบั รู้ทีผ่ ิดพลำดได้ ดังนั้นถำ้ ผเู้ รยี นไดต้ รวจสอบกำรแปลควำมหมำยของตนให้ถูกต้อง

4

แลว้ จะช่วยให้กำรเรียนรู้มีประสทิ ธิภำพได้
5. กำรตอบสนอง (Response) เมอื่ ผเู้ รียนได้แปลควำมหมำยของสถำนกำรณท์ ี่ก่อให้เกดิ

กำรเรียนรแู้ ลว้ ผู้เรยี นจะตัดสินใจแสดงพฤติกรรมตอบสนองตอ่ สถำนกำรณ์ที่เกย่ี วข้อง เชน่ ถ้ำผ้เู รียน
ไดเ้ รยี นรูเ้ รอื่ งกำรรบกวนแล้วตอ่ ไปครูได้มอบหมำยให้ผเู้ รยี นทำแบบฝกึ หดั ผู้เรยี นกจ็ ะลงมอื ทำและ
ทำได้ถกู ต้องตรงตำมจดุ ประสงค์ กำรเรียนรกู้ เ็ กิดขน้ึ ได้

6. ผลต่อเน่ือง (Consequence) เปน็ ผลตอ่ เนอื่ งจำกกำรตอบสนอง ถำ้ กำรตอบสนอง
ตรงตำมจดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้กเ็ กิดข้นึ เม่ือครู-อำจำรยป์ ระเมินผลก็ปรำกฏวำ่ นกั เรยี นผำ่ น
จุดประสงค์ตำ่ งๆ ตำมทก่ี ำหนดเป็นขั้นตำ่ ไว้ ครู-อำจำรยย์ อมรบั ว่ำนักเรยี นมผี ลตอ่ เนื่องดีและไดเ้ กิด
กำรเรียนรแู้ ล้ว ในทำงตรงขำ้ มถ้ำผ้เู รียนตอบสนองไม่ดี หรือกำรประเมินผลสรปุ ได้ว่ำผู้เรียนไม่ผำ่ น
จุดประสงค์ ย่อมแสดงวำ่ ผลต่อเนอื่ งไม่ดี ผเู้ รยี นยงั ไมเ่ กิดกำรเรยี นรู้

7. ปฏกิ ิริยำตอ่ กำรขัดขวำง (Reaction to Thwarting) เมอ่ื ผ้เู รยี นได้ดำเนนิ กำรตำม
ขัน้ ตอนของกำรเรียนรู้จำกกำรกำหนดจดุ ประสงค์กำรเตรยี มควำมพร้อม กำรพบกับสถำนกำรณ์
กำรแปลควำมหมำย กำรตอบสนอง และผลต่อเนอื่ งทีไ่ ดร้ ับ ถำ้ ผลต่อเนื่องเป็นที่พึงพอใจและ
สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ข้ำงตน้ กำรเรยี นรู้ก็เกิดขนึ้ ในทำงตรงขำ้ มถำ้ ผลต่อเน่ืองไมเ่ ป็นทพ่ี ึงพอใจ
และหรือไม่สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคข์ องบทเรียน กำรเรียนรู้ยอ่ มจะไม่เกิดขึ้น แสดงว่ำผู้เรียนพบกบั
ปัญหำและอปุ สรรค ผ้เู รยี นจะต้องกลับไปเริ่มตน้ นบั 1 ใหม่ จนกว่ำจะบรรลผุ ลสำเรจ็ หรือถ้ำยอมแพ้
อำจจะเปล่ียนบทเรยี นหรือขอถอนวชิ ำน้ันๆ ไป เพื่อไปเรยี นวชิ ำใหม่กไ็ ด้

ทฤษฎีการเชอื่ มโยงของ ธอรน์ ไดค์

คิดคน้ โดย ธอร์นไดค์ มที ฤษฎีกำรเรียนรแู้ ละกำรประยุกตใ์ ช้ในกำรจดั กำรเรียนรู้ สรปุ ได้ดังนี้
(ชัยวัฒน์ สทุ ธิรัตน,์ 2552 : หน้ำ 18-19)
ทฤษฎีกำรเรยี นรู้
กฎกำรเรยี นรขู้ องธอรน์ ไดค์ สรุปไดด้ ังนี้

1. กฎแหง่ ควำมพร้อม (Law of readiness) ท่วี ่ำกำรเรียนรู้จะเกดิ ข้นึ ไดด้ ีถ้ำผู้เรียนมีควำม
พรอ้ มทง้ั ทำงรำ่ งกำยและจติ ใจ

2. กฎแห่งกำรฝกึ หดั (Law of exercise) ท่ีว่ำกำรฝกึ หัดหรือกระทำบ่อยๆ ดว้ ยควำมเข้ำใจ
จะทำให้กำรเรยี นรู้นัน้ คงทนถำวร

3. กฎแหง่ กำรใช้ (Law of use and disuse) ท่วี ำ่ กำรเรยี นรู้เกิดจำกกำรเชือ่ มโยงระหว่ำงส่งิ
เร้ำกับกำรตอบสนอง ซง่ึ ควำมมั่นคงของกำรเรียนร้จู ะเกดิ ขน้ึ หำกได้มกี ำรนำไปใช้บ่อยๆ หำกไม่มีกำร
นำไปใช้อำจลมื ได้

4. กฎแหง่ ผลที่พึงพอใจ (Law of effect) เม่ือบุคคลไดร้ บั ผลท่พี ึงพอใจย่อมอยำกจะเรียนรู้
ต่อไปแต่ถ้ำได้รบั ผลที่ไม่พึงพอใจจะไม่อยำกเรียนรู้
กำรประยุกต์ใช้ในกำรจดั กำรเรียนรู้ จัดทำไดด้ งั น้ี

5

1. กำรจดั กำรเรียนรู้ผ้สู อนควรให้ผู้เรียนไดเ้ รียนรู้จำก กำรลองผดิ ลองถูกบำ้ ง ซงึ่ จะมี
ประโยชน์ในกำรช่วยให้ผ้เู รยี น เรยี นรู้วธิ กี ำรแกป้ ญั หำมำกข้ึน จดจำ เข้ำใจในสิ่งที่
เรยี นและภำคภูมิใจในส่งิ ทต่ี นเองได้กระทบ
2. กำรสำรวจควำมพร้อมของผู้เรียน ว่ำมีควำมรู้พ้ืนฐำนใดบำ้ ง เพียงพอหรือไม่ เป็น
กำรเชือ่ มโยงควำมรูเ้ ดิมกับควำมร้ใู หม่
3. กำรฝกึ ทกั ษะแกผ่ ้เู รยี น จะทำใหผ้ เู้ รียนเกิดทักษะในเร่ืองนนั้ อย่ำงแทจ้ ริง แตไ่ ม่
ควรฝกึ ซำ้ ซำกจนสรำ้ งควำมเบอื่ หน่ำยแก่ผู้เรียน
4. เม่อื เกิดกำรเรียนรู้ในเร่ืองที่เรยี นแล้ว ควรให้นำสง่ิ ท่ีเรยี นรู้น้ันไปใชใ้ นสถำนกำรณ์
ต่ำงๆบ่อยๆ
5. กำรใหผ้ ้เู รยี นได้รับผลทตี่ นพงึ พอใจจะชว่ ยให้กำรเรียนของผูเ้ รยี นประสบผลสำ
เรจ็

ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขแบบคลาสสิคหรอื แบบอัตโนมัติ

คดิ ค้นโดย พำฟลอฟ มีทฤษฏีกำรเรยี นรู้และกำรประยุกต์ใชใ้ นกำรจัดกำรเรียนกำรสอน สรปุ
ได้ดงั นี้ (ชัยวัฒน์ สทิ ธิรตั น์ , 2552 : หนำ้ 19-20)
ทฤษฎีกำรเรียนรู้

1. พฤตกิ รรมกำรตอบสนองของมนุษยเ์ กิดกำรวำงเง่ือนไขที่ตอบสนองต่อควำมตอ้ งกำรทำง
ธรรมชำติ

2. พฤติกรรมกำรตอบสนองของมนุษย์สำมำรถเกดิ ขน้ึ ไดจ้ ำกสิ่งเร้ำทีเ่ ชื่อมโยงกับสิ่งเรำ้ ตำม
ธรรมชำติ

3. พฤติกรรมกำรตอบสนองของมนุษย์ทีเ่ กิดจำกสงิ่ เรำ้ ทเ่ี ชื่อมโยงกบั สงิ่ เรำ้ ท่ีเป็นธรรมชำตจิ ะ
ลดลงเรื่อยๆ และหยดุ ลงในท่ีสุดหำกไม่ไดร้ ับกำรตอบสนองตำมธรรมชำติ
4. พฤตกิ รรมกำรตอบสนองของมนุษย์ ต่อสิง่ เรำ้ ทีเ่ ชอ่ื มโยงกับสิ่งเรำ้ ตำมธรรมชำตจิ ะลดลง
และหยุดลงไป เมือ่ ไม่ไดร้ ับกำรตอบสนองตำมธรรมชำติ และจะกลับปรำกฏขน้ึ ไดอ้ ีกโดยไม่
ต้องใชส้ ่ิงเรำ้ ตำมธรรมชำติ
5. มนุษย์มีแนวโน้มท่จี ะรบั รู้สงิ่ เร้ำที่มีลักษณะคลำ้ ยๆกนั และจะตอบสนองเหมอื นๆกนั
6. บุคคลมีแนวโน้มท่จี ะจำแนกลกั ษณะของสิ่งเร้ำใหแ้ ตกตำ่ งกันและเลือกตอบสนองได้
ถูกต้อง
7. กฎแห่งกำรหยุดย้งั หรือหดหำยของพฤตกิ รรม (Law of extinction) ที่ว่ำหำกบุคคลไดร้ บั
แตส่ ่งิ เรำ้ ทวี่ ำงเงื่อนไขอย่ำงเดียว หรอื ควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งสิ่งเรำ้ ทีว่ ำงเงอ่ื นไข กบั สิง่ เร้ำทไ่ี ม่
วำงเงอื่ นไขหำ่ งกนั ออกไปมำกขนึ้ ควำมเข้มของกำรตอบสนองจะลดลงเรื่อยๆ
8. กฎกำรฟื้นกลบั มำใหม่ของพฤติกรรม (Law of spontaneous recovery) ที่วำ่ กำร
ตอบสนองทเี่ กิดจำกกำรวำงเงื่อนไขทลี่ ดลง สำมำรถเกิดขึ้นไดอ้ ีก โดยไมต่ ้องใชส้ ิ่งเรำ้ ท่ีไม่วำง
เง่ือนไขมำเขำ้ คู่

6

9. กฎแห่งกำรถำ่ ยโยงกำรเรยี นร้สู ู่สถำนกำรณ์อ่นื ๆ(Law of generalization) ท่วี ำ่ เม่ือเกิด
กำรเรียนรู้จำกกำรวำงเงือ่ นไขแลว้ หำกมสี ่ิงเรำ้ คลำ้ ยๆกับสิ่งเร้ำทวี่ ำงเง่ือนไขมำกระตุ้นอำจ
ทำให้เกดิ กำรตอบสนองทเี่ หมือนกนั
10. กฎแห่งกำรจำแนกควำมแตกต่ำง (Law of discrimination) ทวี่ ำ่ หำกมีกำรใชส้ ิง่ เร้ำที่
วำงเงือ่ นไขหลำยแบบ แต่มกี ำรใช้สง่ิ เร้ำทไ่ี มว่ ำงเง่ือนไขเข้ำคู่กับสิ่งเรำ้ ท่ีวำงเง่ือนไขน้ัน ก็
สำมำรถชว่ ยให้เกิดกำรเรยี นรไู้ ดโ้ ดยสำมำรถแยกควำมแตกต่ำงและเลือกตอบสนอง เฉพำะส่งิ
เร้ำที่วำงเงอ่ื นไขเท่ำนน้ั ได้

การประยุกต์ใช้ในการจดั การเรยี นรู้ ทำไดด้ ังน้ี
1. ผูส้ อนควรนำควำมต้องกำรทำงธรรมชำติของผ้เู รยี นหรอื สิง่ ทผ่ี ู้เรียนชอบมำใช้เป็นส่งิ เร้ำมำ
ใช้ในกำรจัดกำรเรยี นรู้และให้รำงวัลผู้เรยี น ซงึ่ จะทำใหผ้ ู้เรียนเกดิ กำรเรียนรู้ไดด้ ี
2. ผ้สู อนควรเสนอสิ่งที่จะสอนไปพร้อมๆกบั สิง่ เร้ำท่ผี ูเ้ รยี นชอบหรือสนใจ
3. กำรทผี่ สู้ อนนำเรื่องที่เคยสอนมำแลว้ กลับมำสอนใหม่สำมำรถช่วยให้ผเู้ รียนเกดิ กำรเรียนรู้

ได้
4. ผสู้ อนควรจดั กิจกรรมกำรเรียนให้ต่อเนื่องและคลำ้ ยคลงึ กันระหวำ่ งประสบกำรณ์เดิมกับ
ประสบกำรณ์ใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรไู้ ด้งำ่ ยขึ้น
5. ผสู้ อนควรเสนอสงิ่ เร้ำในกำรสอนใหช้ ัดเจน ซ่งึ จะชว่ ยให้ผ้เู รยี นเกดิ กำรเรียนรแู้ ละ
ตอบสนองไดช้ ัดเจนขน้ึ
6. หำกผู้สอนต้องกำรให้ผู้เรยี นเกดิ พฤติกรรมใด ควรมีกำรใช้สิง่ เร้ำหลำยแบบ แตต่ ้องมีสง่ิ เร้ำ
ที่มีกำรตอบสนองโดยไม่มเี ง่ือนไขควบคู่ไปด้วย

ทฤษฎีการเรยี นรกู้ ารวางเง่ือนไขแบบการกระทา

คดิ ค้นโดย สกนิ เนอร์ มีทฤษฎีกำรเรียนรแู้ ละกำรประยุกต์ใช้ในกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนสรุป
ไดด้ ังน้ี (ชยั วฒั น์ สุทธริ ตั น์, 2552 : หน้ำ 20-21)
SE 742 47
ทฤษฎกี ำรเรยี นรู้

1. กำรกระทำใดๆ ถำ้ ไดร้ บั กำรเสริมแรงจะมีแนวโน้มเกิดข้ึนอกี ส่วนกำรกระทำท่ีไม่มี
กำรเสริมแรง แนวโนม้ ที่ควำมถี่ของกำรกระทำนัน้ จะลดลงและหำยไปในทสี่ ดุ
2. กำรเสรมิ แรงท่ีแปรเปลย่ี นทำให้เกดิ กำรตอบสนองกวำ่ กำรเสริมแรงที่ตำยตัว
3. กำรลงโทษทำให้เรยี นรู้ได้เรว็ และลมื เร็ว
4. กำรใหแ้ รงเสริมหรอื ใหร้ ำงวลั เมื่อมกี ำรแสดงพฤตกิ รรมท่ีตอ้ งกำรสำมำรถชว่ ยปรับหรอื
ปลกู ฝงั นิสยั ทีต่ ้องกำรได้

7

การประยุกตใ์ ช้ในการจัดการเรียนรู้
1. กำรเสริมแรงทำงบวก (positive reinforcement) เป็นกำรทำให้ควำมถ่ีของพฤติกรรม

คงทห่ี รอื เพิ่มมำกขน้ึ อนั เป็นผลเนื่องมำจำกผลกรรมท่ีตำมหลังพฤติกรรมนั้นๆ ซึ่งสิ่งท่มี ีศักยภำพเป็น
ตัวเสริมแรงไดน้ ั้น แบง่ ไดเ้ ป็น 4 ประเภทคือ

1) ตัวเสรมิ แรงท่ีเปน็ ส่งิ ของ (material reinforcer) เป็นตัวเสริมแรงที่ประกอบไป
ดว้ ยอำหำร ของที่เลน่ ได้ และส่งิ ของต่ำงๆ เชน่ ขนม ของเล่น เสอื้ ผ้ำ เปน็ ต้น
2) ตัวเสรมิ แรงทำงสังคม (social reinforcer) ตัวเสรมิ แรงทำงสงั คมเป็นตัวเสรมิ แรง
ทไี่ ม่ต้องลงทุนซ้ือหำมอี ยู่กบั ตัวเรำ และคอ่ นข้ำงมปี ระสิทธิภำพสูงในกำรปรับ
พฤติกรรมแบง่ เป็น 2 ลกั ษณะ คือ คำพดู ได้แก่ คำชมเชย เช่น ดมี ำก และกำร
แสดงออกทำงทำ่ ทำง เช่น ย้มิ มองอยำ่ งสนใจ เป็นตน้
3) ตัวเสรมิ แรงทีเ่ ป็นกจิ กรรม (activity reinforcer) เป็นกำรใช้กิจกรรมหรือ
พฤติกรรมท่ีชอบไปเสริมแรงกิจกรรมหรือพฤติกรรมท่ีไมช่ อบ
4) ตัวเสรมิ แรงที่เปน็ เบ้ยี อรรถกร (token reinforcer) โดยกำรนำเบี้ยอรรถกรไป
แลกเปน็ ตัวเสริมแรงอน่ื ๆได้ เช่น ดำว คูปอง เปน็ ต้น
2. กำรเสรมิ แรงทำงลบ (negative reinforcement) เปน็ กำรทำให้ควำมถี่ของพฤติกรรม
คงที่หรอื เพ่มิ มำกขนึ้ อันเป็นผลมำจำกกำรท่ีเรำทำพฤติกรรมดังกล่ำวแล้ว สำมำรถหลกี หนีจำกสง่ิ ท่ี
เรำไม่พึงพอใจได้ กำรเสรมิ แรงทำงลบผสู้ อนควรปฏบิ ัตโิ ดยทนั ทีหรอื เร็วทสี่ ดุ เมื่อพฤติกรรมที่ไม่
ตอ้ งกำรเกิดขึ้น ควรให้มคี วำมรนุ แรงพอเหมำะไมม่ ำกหรือน้อยเกนิ ไป ควรให้ผถู้ กู ลงโทษรู้ว่ำ
พฤติกรรมใดที่ถกู ลงโทษและเพรำะเหตุใด ควรใชเ้ หตผุ ลไมใ่ ช้อำรมณ์ ควรใชก้ ำรลงโทษควบคกู่ บั กำร
เสรมิ แรงทำงบวก ผู้ลงโทษต้องเป็นตวั แบบท่ดี ีในทุกๆด้ำน และกำรลงโทษควรเป็นวิธสี ุดท้ำย ถ้ำไมจ่ ำ
เปน็ ไมค่ วรใชก้ ำรลงโทษ

ทฤษฎีการเรียนรแู้ บบร่วมมือ

ผเู้ ผยแพรแ่ นวคดิ นี้ไดแ้ ก่ Slavin , David Johnson และ Roger Johnson มีทฤษฏีกำร
เรยี นรแู้ ละกำรประยุกต์ใช้ในกำรจดั กำรเรียนกำรสอนสรปุ ได้ดงั น้ี (Johnson and Johnson,1994 :
pp.31-37 อำ้ งองิ ใน ชยั วฒั น์ สุทธริ ตั น์, 2552 : หนำ้ 41 – 44)
ทฤษฎกี ำรเรยี นรู้
กำรเรียนรูแ้ บบร่วมมือ คือ กำรเรียนรู้เป็นกลุ่มยอ่ ยโดยมีสมำชิกกล่มุ ที่มีควำมสำมำรถแตกต่ำงกนั
ประมำณ 3-6 คน ช่วยกนั เรียนร้เู พือ่ ไปสเู่ ป้ำหมำยของกลุ่ม ซึง่ มอี งค์ประกอบของกำรเรยี นรู้ ดงั น้ี

1. กำรพึง่ พำกนั ทำงบวก (positive interdependence) กลุ่มกำรเรียนรูแ้ บบรว่ มมอื จะต้อง
มีควำมตระหนักวำ่ สมำชกิ กลุ่มทกุ คนมคี วำมสำคญั และควำมสำเรจ็ ของกลมุ่ ขน้ึ กบั สมำชิก
ทกุ คนในกลมุ่ ในขณะเดยี วกันสมำชิกแตล่ ะคนจะประสบควำมสำเร็จได้ก็ต่อเม่ือกลุ่มประสบ
ควำมสำเร็จ ควำมสำเรจ็ ของบุคคลและของกล่มุ ขน้ึ อยู่กบั กนั และกัน
2. กำรปฏิสัมพนั ธ์เก้ือหนนุ กัน (face – to – face promotive interaction) กำรท่ีสมำชิก
ในกลมุ่ มีกำรพึ่งพำชว่ ยเหลือเกื้อกลู กัน เปน็ ปจั จยั ทีจ่ ะสง่ เสริมให้ผเู้ รยี นมีปฏสิ ัมพันธต์ ่อกัน

8

และกันในทำงทีจ่ ะช่วยให้กลุ่มบรรลุเปำ้ หมำย สมำชิกกลุ่มจะห่วงใย ไว้วำงใจ สง่ เสริม และ
ชว่ ยเหลือกันและกนั ในกำรทำงำนตำ่ งๆรว่ มกัน ส่งผลให้เกิดสัมพันธภำพท่ีดีต่อกนั
3. กำรกำหนดภำระหน้ำทแี่ ละควำมรับผดิ ชอบของสมำชิกแต่ละคน (individual
accountability) สมำชกิ ในกลุ่มกำรเรียนรทู้ ุกคนจะต้องมีหน้ำทร่ี บั ผิดชอบ และพยำยำมทำ
งำนท่ไี ดร้ ับมอบหมำยอย่ำงเต็มควำมสำมำรถ ไม่มีใครทจี่ ะไดร้ บั ประโยชนโ์ ดยไม่ทำหน้ำท่ี
ของตน ดงั นนั้ กลมุ่ จึงจำเปน็ ต้องมรี ะบบกำรตรวจสอบผลงำน ทั้งทเี่ ป็นรำยบคุ คลและเปน็
กล่มุ
4. กำรใชท้ ักษะระหว่ำงบุคคลและทักษะกลุ่มย่อย (interpersonal and small group
skills) กำรเรยี นรแู้ บบรว่ มมือจะประสบควำมสำเรจ็ ได้ ต้องอำศยั ทักษะท่สี ำคญั ๆหลำย
ประกำร เช่น ทักษะทำงสังคม ทกั ษะกำรปฏิสัมพนั ธก์ ับผู้อื่น ทักษะกำรทำงำนกลุ่ม ทกั ษะ
กำรสื่อสำร และทกั ษะกำรแก้ปญั หำขดั แยง้ รวมทั้งกำรเคำรพ ยอมรบั และไวว้ ำงใจกนั และ
กัน ซึ่งผูส้ อนควรสอนและฝกึ ใหแ้ กผ่ เู้ รียนเพื่อช่วยใหด้ ำเนนิ งำนไปได้
5. กำรใชก้ ระบวนกำรกลมุ่ (group processing) กลมุ่ กำรเรียนรู้แบบร่วมมอื จะตอ้ งมีกำร
วเิ ครำะหก์ ระบวนกำรทำงำนของกล่มุ เพ่ือชว่ ยให้กลมุ่ เกดิ กำรเรียนรูแ้ ละปรบั ปรงุ กำรทำงำน
ให้ดขี ึ้น

การประยุกต์ ใชใ้ นการจัดการเรียนรู้
กำรเรียนรแู้ บบรว่ มมือ ผสู้ อนควรจัดระเบยี บขนั้ ตอนกำรทำงำนหรอื ฝึกฝนใหผ้ เู้ รียนดำเนินงำนอยำ่ ง
เป็นระบบระเบียบ เพ่ือช่วยใหง้ ำนเป็นไปอยำ่ งมีประสิทธิภำพ กระบวนกำรทีใ่ ชใ้ นกำรเรียนรแู้ บบ
รว่ มมือมีดังน้ี (ชัยวฒั น์ สุทธริ ตั น์, 2552 : หนำ้ 42 – 44)

1. ดำ้ นกำรวำงแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ ผสู้ อนควรมกี ำรวำงแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ ดังน้ี
1.1 กำหนดจุดมุ่งหมำยของบทเรยี นท้ังทำงดำ้ นควำมรู้และทกั ษะกระบวนกำรต่ำงๆ
ทผ่ี ู้สอนต้องกำรให้ชัดเจน
1.2 กำหนดขนำดของกลมุ่ กล่มุ ควรมขี นำดเล็ก ประมำณ 3 – 6 คน กลุ่มขนำด 4
คน จะเป็นขนำดท่ีเหมำะทส่ี ดุ
1.3 กำหนดองคป์ ระกอบของกลุ่ม หมำยถงึ กำรจัดผเู้ รียนเขำ้ กลุม่ ซ่งึ อำจทำโดย
กำรสุ่ม หรอื กำรเลอื กใหเ้ หมำะกบั วตั ถุประสงค์ โดยท่ัวไปกลุม่ จะตอ้ งประกอบไป
ด้วย สมำชกิ ท่ีคละกันในด้ำนต่ำงๆ เช่น เพศ ควำมสำมำรถ เปน็ ตน้
1.4 กำหนดบทบำทของสมำชิกแต่ละคนในกลุ่ม เพ่ือช่วยใหผ้ ูเ้ รียนมีปฏิสมั พนั ธก์ ัน
อยำ่ งใกลช้ ดิ และมีส่วนในกำรทำงำนอย่ำงท่ัวถงึ ผสู้ อนควรมอบหมำยบทบำทหน้ำท่ี
ในกำรทำงำนให้ทุกคน และบทบำทหน้ำที่นัน้ ๆจะต้องเปน็ ส่วนหนึง่ ของงำนอันเปน็
จุดมุ่งหมำยของกลมุ่ ผสู้ อนควรจัดบทบำทหน้ำทข่ี องสมำชิกใหอ้ ยู่ในลักษณะที่
จะต้องพ่ึงพำอำศัยและเกื้อกูลกัน บทบำทหน้ำทีใ่ นกำรทำงำนเพ่ือกำรเรยี นรู้มีจำน
วนมำก เชน่ บทบำทผู้นำกลุ่ม ผู้สงั เกตกำรณ์ เลขำนุกำร ผเู้ สนอผลงำน ผ้ตู รวจสอบ
ผลงำน เป็นต้น

9

1.5 จัดสถำนท่ใี หเ้ หมำะสมในกำรทำงำนและกำรมปี ฏิสมั พันธ์กัน ผูส้ อนจำเปน็ ตอ้ ง
คิดออกแบบกำรจัดห้องเรียน หรือสถำนท่ที จ่ี ะใชใ้ นกำรเรยี นรูใ้ หเ้ ออ้ื และสะดวกตอ่
กำรทำงำนของกลมุ่
1.6 จัดสำระ วัสดุ หรืองำนท่ีจะใหผ้ ู้เรยี นทำ วิเครำะห์สำระ / งำน / หรอื วสั ดทุ ่จี ะ
ใหผ้ ูเ้ รยี นไดเ้ รยี นรู้ และจดั แบ่งสำระหรอื งำนนัน้ ในลักษณะท่ีผู้เรียนแตล่ ะคนมีส่วน
ในกำรชว่ ยกลุม่ และพึง่ พำกันในกำรเรยี นรู้

2. ด้ำนกำรสอน ผู้สอนควรมีกำรเตรยี มกลุ่มเพื่อกำรเรียนร้รู ่วมกนั ดังนี้
2.1 อธบิ ำยชี้แจงเก่ยี วกับงำนของกลุ่ม ผสู้ อนควรอธิบำยถงึ จดุ มุ่งหมำยของบทเรียน
เหตผุ ลในกำรดำเนนิ กำรต่ำงๆรำยละเอยี ดของงำนและขน้ั ตอนในกำรทำงำน
2.2 อธิบำยเกณฑ์กำรประเมินผลงำนผเู้ รยี นจะต้องมีควำมเขำ้ ใจตรงกันว่ำควำมสำ
เร็จของงำนอยู่ตรงไหน งำนท่ีคำดหวงั มีลกั ษณะอยำ่ งไร เกณฑท์ จ่ี ะใช้ในกำรวัด
ควำมสำเรจ็ ของงำนคืออะไร
2.3 อธบิ ำยถงึ ควำมสำคัญและวิธกี ำรของกำรพึ่งพำและเกื้อกูลกัน ผสู้ อนควรอธบิ ำย
กฎเกณฑ์ ระเบยี บ กติกำ บทบำทหน้ำท่ี และระบบกำรใหร้ ำงวัลหรอื ประโยชน์ที่
กลมุ่ จะได้รับในกำรร่วมมือกนั เรียนรู้
2.4 อธบิ ำยวธิ ีกำรชว่ ยเหลอื กันระหวำ่ งกลมุ่
2.5 อธบิ ำยถงึ ควำมสำคัญและวิธีกำรในกำรตรวจสอบ ควำมรับผิดชอบต่อหน้ำทที่ ี่
แต่ละคนได้รบั มอบหมำย เช่น กำรส่มุ เรยี กชือ่ ผู้เสนอผลงำนกำรทดสอบ กำร
ตรวจสอบผลงำน เปน็ ต้น
2.6 ชแ้ี จงพฤติกรรมที่คำดหวัง หำกผูส้ อนช้แี จงใหผ้ เู้ รียนได้ร้อู ยำ่ งชดั เจนวำ่ ต้องกำร
ให้ผเู้ รยี นแสดงพฤติกรรมอะไรบำ้ ง จะชว่ ยให้ผู้เรียนรู้ควำมคำดหวังทม่ี ีต่อตนและ
พยำยำมจะแสดงพฤติกรรมน้ัน

3. ด้ำนกำรควบคมุ กำกับและกำรช่วยเหลอื กลุ่ม ผ้สู อนควรดำเนินกำรควบคุมกำกบั และกำร
ช่วยเหลือกลุ่ม ดงั น้ี

3.1 ดูแลใหส้ มำชิกกลุ่มมกี ำรปรึกษำหำรือกันอย่ำงใกล้ชิด
3.2 สงั เกตกำรณ์กำรทำงำนร่วมกันของกลมุ่ ตรวจสอบว่ำสมำชกิ กลุ่มมีควำมเขำ้ ใจ
ในงำนหรือบทบำทหนำ้ ท่ีท่ไี ด้รับมอบหมำยหรือไม่ สังเกตพฤตกิ รรมต่ำงๆของ
สมำชกิ ใหข้ ้อมูลปอ้ นกลับ ให้แรงเสริม และบันทึกข้อมลู ท่จี ะเป็นประโยชนต์ อ่ กำร
เรยี นรู้ของกลุ่ม
3.3 เข้ำไปช่วยเหลือกลุ่มตำมควำมเหมำะสม เพื่อเพมิ่ ประสิทธภิ ำพของงำนและกำร
ทำงำน เมื่อพบว่ำกลมุ่ ตอ้ งกำรควำมช่วยเหลือ ผู้สอนสำมำรถเขำ้ ไปชแี้ จง สอนซำ้
หรอื ให้ควำมช่วยเหลืออ่ืนๆ
3.4 สรปุ กำรเรียนรู้ ผู้สอนควรให้กลมุ่ สรปุ ประเดน็ กำรเรียนรู้ท่ไี ดจ้ ำกกำรเรยี นรู้แบบ
รว่ มมือ เพ่ือช่วยใหก้ ำรเรียนรู้มีควำมชดั เจนขึน้

10

4. ด้ำนกำรประเมนิ ผลและวิเครำะห์กระบวนกำรเรยี นรู้ ผู้สอนควรดำเนนิ กำรด้ำนกำร
ประเมินผลและวิเครำะห์กระบวนกำรเรยี นรู้ ดังน้ี

4.1 ประเมินผลกำรเรยี นรู้ ผสู้ อนประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ของผู้เรียนทัง้ ทำงด้ำน
ปรมิ ำณและคณุ ภำพ โดยใช้วธิ กี ำรท่ีหลำกหลำยและควรให้ผู้เรียนมีส่วนรว่ มในกำร
ประเมิน
4.2 วิเครำะห์กระบวนกำรทำงำนและกระบวนกำรเรยี นรรู้ ่วมกนั ผู้สอนควรจดั ให้
ผู้เรยี นมีเวลำในกำรวิเครำะห์กำรทำงำนของกลมุ่ และพฤติกรรมของสมำชิกกลมุ่
เพ่อื ใหก้ ลมุ่ มโี อกำสเรยี นรู้ ท่จี ะปรับปรงุ ส่วนบกพร่องของกลุม่

กำรออกแบบกำรจัดกำรเรียนรทู้ ีด่ คี วรมีกระบวนกำรเรียนรู้ทีพ่ งึ่ พำกนั ระหวำ่ งผู้เรยี นแตล่ ะ
คน โดยใหส้ มำชกิ ทุกคนท่ีอยใู่ นกลุ่มได้ปรึกษำหำรือและมปี ฏิสมั พนั ธ์กันอยำ่ งใกล้ชิดและเปน็ กันเอง
ทุกคนในกลมุ่ ควรมีบทบำทหนำ้ ที่ทีต่ ้องรบั ผดิ ชอบท่ีชดั เจนและสำมำรถตรวจสอบได้ กำรทำงำน
สมำชิกทุกคนต้องใช้ทงั้ ทักษะและควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งบุคคลชว่ ยให้งำนสำเร็จหรือชว่ ยให้เกดิ กำร
เรยี นรตู้ ำมจุดม่งุ หมำยท่วี ำงไว้ นอกจำกนผี้ ู้สอนควรทำกำรวเิ ครำะห์กระบวนกำรทำงำนของกลมุ่ เพื่อ
เพ่ิมประสิทธภิ ำพและคุณภำพของกำรทำงำนกลุ่มดว้ ย จึงจะทำให้กำรเรยี นรมู้ ีคุณคำ่ และมี
ควำมหมำย

แนวคดิ ของ Maslow

Maslow เสนอแนวคดิ ใหม่ท่เี รียกว่ำ Third force psychology (ชัยวัฒน์ สุทธริ ตั น,์ 2552 :
หนำ้ 29) ซง่ึ มีควำมเชื่อพนื้ ฐำนวำ่ “ถ้ำใหอ้ ิสระแก่เดก็ เด็กจะเลือกสิง่ ที่ดสี ำหรบั ตนเอง พ่อแมแ่ ละ
ผสู้ อนไดร้ บั กำรกระตนุ้ ให้มีควำมไวว้ ำงใจในตัวเด็ก และควรเปดิ โอกำสและชว่ ยใหเ้ ดก็ เจริญเติบโต
ต่อไป มิใช่ใช้วิธีควบคุมและจัดกำรชีวติ ของเด็กท้ังหมด หรือว่ำเขำ้ ไปยุ่งเกยี่ วและพยำยำมปรับ
พฤติกรรมใหเ้ ป็นไปตำมที่ผ้ใู หญ่ตอ้ งกำร”

การประยกุ ต์ใชแ้ นวคิดในการจดั การเรยี นรู้
จำกแนวคิดข้ำงต้นสำมำรถประยุกต์ใชใ้ นกำรจัดกำรเรยี นรู้ได้ เช่น จดั ให้ผูเ้ รยี นเรยี นตำม

หัวข้อทีผ่ ูเ้ รียนสนใจ โดยผูส้ อนเป็นผอู้ ำนวยควำมสะดวกในกำรจดั สภำพแวดลอ้ มใหเ้ อ้ืออำนวยต่อกำร
เรยี นรูต้ ำมท่ผี ้เู รยี นสนใจ ตัวอยำ่ งเช่น กำรสอนระบบนิเวศ ผสู้ อนอำจมี
ทำงเลือกว่ำผ้เู รยี นอยำกเรยี นระบบนิเวศท่ีอย่บู นบก ระบบนิเวศในน้ำ ระบบนิเวศปำ่ ชำยเลนฯลฯ
และให้ผเู้ รียนได้เลือกวำ่ จะเรียนในหอ้ งเรียน หรือเรียนนอกห้องตำมสถำนทท่ี ผ่ี ู้สอนกำหนด เหลำ่ นี้
เป็นตน้ ซึง่ ผสู้ อนจะต้องประสำนงำนกบั หนว่ ยงำนต่ำงๆ เพ่ือเขำ้ ใช้สถำนที่ประกอบกำรเรียนรู้ และ
ควรมหี ัวข้อประกอบกำรเรยี นรูอ้ ยำ่ งชัดเจนเปน็ รูปธรรมด้วย เพือ่ ให้กำรเรยี นรบู้ รรลุจุดหมำยท่ีผสู้ อน
ตง้ั ไว้

11

แนวคดิ ของ Rogers

Rogers เป็นผ้เู สนอทฤษฏีกำรใหค้ ำปรึกษำแบบ “client – centered’’(ชัยวัฒน์ สทุ ธริ ตั น์,
2552 : หน้ำ 29) ซง่ึ เนน้ ควำมสำคญั ของผมู้ ีปัญหำมำกกว่ำตวั ผใู้ ห้คำปรึกษำ ซึ่งเขำมแี นวคิดวำ่ ผมู้ ำ
รบั คำปรึกษำจะเปน็ ผู้ควบคมุ พฤติกรรมของตนเองโดยเขำใชเ้ ทคนคิ กำรให้คำปรึกษำทีส่ ร้ำง
บรรยำกำศท่ีอบอนุ่ กำรให้กำรยอมรบั และกำรมีทศั นคตทิ ่ีดีตอ่ ผู้มำรับคำปรึกษำ ซ่งึ ต่อมำได้นำมำ
ประยุกต์ใช้กับกำรเรยี นกำรสอน ซึง่ เขำเสนอว่ำกำรจัดกำรเรียนกำรสอนควรมลี ักษณะของ “ผเู้ รยี น
เป็นศนู ย์กลำง” ซึง่ ผ้สู อนจะต้องเปน็ ผู้ทีม่ ีควำมเชอ่ื มีศรทั ธำในควำมเปน็ คนของผู้เรียน กำรทเ่ี ชือ่ และ
ไวว้ ำงใจในควำมสำมำรถของบคุ คลจะชว่ ยให้บุคคลนั้นพัฒนำศกั ยภำพของตนเอง ดงั น้นั จึงควรเปิด
โอกำสใหเ้ ด็กได้เลือกวิธีกำรที่จะเรียนเอง นอกจำกนผี้ สู้ อนต้องมลี ักษณะจรงิ ใจ เปน็ คนตรง ไมเ่ สแสร้ง
ในกำรสรำ้ งสัมพันธภำพ ผ้สู อนตอ้ งพยำยำมส่ือให้เด็กรับทรำบถึงควำมร้สู ึกนกึ คิดที่ดีทผ่ี ้สู อนมตี ่อตัว
เดก็ ให้ได้ นอกจำกนั้นผสู้ อนจะต้องใหเ้ กยี รตผิ เู้ รียนทง้ั ในแง่ของควำมรูส้ กึ และควำมคิดเห็น

การประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดในการจดั การเรียนรู้
จำกแนวคิดข้ำงต้นสำมำรถนำมำประยุกต์ใชใ้ นกำรจัดกำรเรียนรู้ได้ เชน่ กำรใหง้ ำนผู้เรยี นไป

สบื ค้นขอ้ มูลและนำเสนอข้อมูลท่ีผเู้ รยี นคน้ พบ ผสู้ อนควรวำงโครงเรอื่ งเปน็ กรอบกว้ำงๆให้ผเู้ รยี นได้
สบื ค้น และถำ้ มปี ญั หำผู้เรียนกส็ ำมำรถนำปัญ หำมำสอบถำมได้ เมื่อค้นจนไดข้ ้อมลู เพียงพอแลว้ ควร
ใหม้ ีกำรนำเสนอข้อมลู โดยผูส้ อนควรรบั ฟงั และตชิ มในทำงสรำ้ งสรรค์ เพ่อื เป็นกำรแนะแนวทำงที่
ถูกต้องและสรำ้ งกำลงั ใจในกำรเรียนรูใ้ ห้แก่ผเู้ รียน

แนวคดิ ของ Combs

Combs ใช้ควำมคิดเห็นทำงด้ำนควำมรู้ควำมเขำ้ ใจ (cognitive view) เปน็ จดุ เริ่มตน้ ในกำร
ทำงำน (ชยั วัฒน์ สุทธิรัตน์, 2552 : หนำ้ 30)โดยเขำกลำ่ ววำ่ “พฤติกรรมส่วนใหญ่ของบุคคลเปน็ ผล
มำจำกกำรรับรู้สิง่ แวดล้อมในช่วงนน้ั และเวลำนน้ั ซ่ึงกำรแสดงพฤติกรรมทุกอย่ำงของบุคคลเปน็ ผล
เนื่องมำจำกกำรรับร้สู ง่ิ แวดล้อมในชว่ งนน้ั เวลำน้นั ” และเขำเหน็ ว่ำงำนของผูส้ อนน้ันมใิ ช่เป็นเพยี งกำร
ตั้งข้อกำหนด กำรปนั้ เดก็ กำรขู่บังคบั กำรเยินยอ หรือกำรช่วยเหลอื เด็ก แตง่ ำนของผ้สู อนควรเป็นไป
ในลกั ษณะผอู้ ำนวยควำมสะดวกให้กับเด็ก กระตุ้น ให้กำลังใจ ให้ควำมช่วยเหลอื เป็นผูร้ ่วมคดิ และ
เป็นเพอ่ื นกับเด็ก

การประยกุ ต์ใช้แนวคดิ ในการจัดการเรยี นรู้
แนวคิดของ Combs สำมำรถประยกุ ต์ใชใ้ นกำรเรยี นรู้ไดด้ งั นี้ (เสริมศรี ไชยศร , 2539

อ้ำงอิงใน ชยั วัฒน์ สุทธริ ตั น์, 2552 : หน้ำ 30)
1. ผู้สอนควรเปดิ โอกำสและกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นตัดสนิ ใจเลือกสิ่งต่ำงๆ ที่จะเรียนด้วยตนเอง
เท่ำท่ีจะเปน็ ไปได้ โดยกำรเปิดโอกำสใหผ้ เู้ รยี นได้เรียนได้เลือกหัวข้อทจ่ี ะศกึ ษำคน้ คว้ำตำม
ควำมสนใจ

12

2. ผูส้ อนควรสร้ำงบรรยำกำศท่ีมลี ักษณะอบอนุ่ เป็นมติ ร ให้กำรยอมรบั และพยำยำมอย่ำงดี
ท่ีสุดท่ีจะส่ือควำมรสู้ กึ ของผู้สอนทเ่ี ช่อื ว่ำผูเ้ รียนทุกคนสำมำรถเรียนไดแ้ ละผู้สอนปรำรถนำท่ี
จะใหท้ ุกคนไดเ้ รียน โดยมีกำรกระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นตั้งใจทำงำนอยำ่ งดีที่สุด พยำยำมหลีกเลย่ี ง
กำรแขง่ ขนั หรอื กำรข่บู ังคับ เม่ือผู้เรยี นทำงำนดี ใหแ้ สดงให้เหน็ ว่ำผู้สอนมีควำมพอใจกบั
ผลงำนนัน้ ๆ
3. ผสู้ อนควรทำตวั เปน็ ผู้อำนวยควำมสะดวก และคอยกระตุน้ ใหก้ ำลังใจผู้เรียน ตลอดจนเป็น
ผู้คอยช่วยเหลือเทำ่ ที่จะทำได้
4. ผูส้ อนพยำยำมทำอยำ่ งดที ่ีสุดทีจ่ ะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นพฒั นำควำมรสู้ กึ นึกคิดเกี่ยวกับตนเองใน
ทำงบวก และผสู้ อนควรหดั ให้เปน็ คนไวตอ่ ควำมร้สู ึกผู้เรียน
5. ผสู้ อนควรจัดเวลำให้ผเู้ รียนมโี อกำสทำควำมเข้ำใจถึงอำรมณค์ วำมร้สู ึกของอีกฝ่ำยหนึ่ง
6. ผสู้ อนควรฝกึ ใหผ้ ูเ้ รียนทำควำมกระจำ่ งเก่ยี วกบั ค่ำนิยมของตนเองโดยวิธีต่ำงๆ 54 SE 742
7. ผสู้ อนควรจดั กำรเรียนกำรสอนที่คำนึงถงึ ดำ้ นจิตใจ(Affective domain) ควบคไู่ ปกับด้ำน
ควำมร้คู วำมเข้ำใจ (Cognitive domain)ซ่ึงเป็นเปำ้ หมำยสำคญั ของกลุ่มมนุษยนยิ ม เช่น ใน
กำรสอนวทิ ยำศำสตรน์ อกจำกจะให้ควำมรู้แกผ่ ูเ้ รยี นแล้ว ผ้สู อนยังตอ้ งปลูกฝัง คณุ ลักษณะ
ด้ำนกำรเปน็ คนใจกว้ำง และยอมรับฟงั ควำมคดิ เหน็ ผอู้ ื่นอีกดว้ ย
8. ผู้สอนที่ดคี วรเคำรพตอ่ เอกัตภำพของผู้เรยี น โดยผู้เรียนแตล่ ะคนต้องไดร้ บั กำรส่งเสรมิ ให้
รสู้ ึกว่ำมีเสรีภำพในกำรพฒั นำตนเอง ใช้ควำมรู้และรวบรวมสะสมควำมรดู้ ว้ ยควำมสนุกสนำน
กระตือรือรน้ อย่ำงจรงิ ใจและเรียนอย่ำงเปน็ สุข

แนวคิดของ Fox

ฟอกซ์ (Fox , 1996 อำ้ งองิ ใน ชัยวฒั น์ สทุ ธิรัตน์, 2552 : หนำ้ 94) ได้สรปุ หลกั กำรสำคญั
ของกำรเรียนรูโ้ ดยแหลง่ ข้อมูลหลกั ไวด้ งั น้ี

1. เน้นกระบวนกำรคิดในเนื้อหำกำรเรียนรู้
2. เนน้ แรงจงู ใจภำยใน
3. กำรเรยี นรูแ้ บบรว่ มมอื โดยใหโ้ อกำสกำรเรียนหลำกหลำยระดบั และหลำกหลำยรปู แบบ
กำรเรยี นรู้
4. ผสู้ อนเปน็ ผอู้ ำนวยควำมสะดวกหรือผแู้ นะนำมำกกว่ำสอนบรรยำย
5. ใชเ้ ทคโนโลยีสนบั สนนุ กำรเรยี นรูท้ ีก่ ระตือรือรน้
6. เน้ือหำควรสมั พันธ์กบั ควำมรพู้ ้นื ฐำนของผเู้ รยี น มคี วำมหมำยและเหมำะสมกบั ผูเ้ รียน
7. ส่งเสรมิ กำรใช้แหล่งข้อมูลท่ีหลำกหลำยในกำรเรียนรู้
8. ส่งเสรมิ ควำมรว่ มมอื กนั ในกำรวำงแผนกำรสอนของผสู้ อนและผู้มสี ่วนเกี่ยวข้อง
9. ส่งเสรมิ กำรใช้เวลำและสถำนที่เรยี นทีย่ ดื หยนุ่
10. สง่ เสริมกำรพัฒนำยทุ ธวิธแี ละทักษะทำงสำรสนเทศ

การประยุกต์ใช้แนวคดิ ในการจัดการเรียนรู้
จำกแนวคิดของ Fox ท่ีเกย่ี วกับกำรเรียนรโู้ ดยแหลง่ ข้อมูลหลัก มีแนวคดิ และสถำบันหลำย

แห่งทีม่ ีควำมคิดเห็นคลำ้ ยคลึงกนั เช่น Hancock (1993), Breivik (1996), Plotmick (1999),

13

Dewberry (2002) ,University of South Florida(1999) , University of Queensland(1999) ซง่ึ
สำมำรถสรุปกำรประยุกต์ใชแ้ นวคดิ ในกำรจัดกำรเรยี นรเู้ ป็นข้อๆได้ดงั นี้

1. ผสู้ อนควรใหผ้ ้เู รียนได้มสี ่วนรว่ มในกำรเรยี นอย่ำงกระตือรือรน้
2. ผู้สอนควรจดั ประสบกำรณ์กำรเรียนตำมจุดประสงค์และทกั ษะในบรบิ ทของหน่วยกำร
เรียนอย่ำงมีควำมหมำย
3. ผสู้ อนควรใชแ้ หลง่ ข้อมลู และสถำนท่ีเรียนท่ีหลำกหลำยใช้เทคนคิ กำรสอนทแ่ี ตกตำ่ งกัน
หลำยวธิ ีโดยบทบำทของครูจะเปน็ ผู้อำนวยควำมสะดวกในกำรเรียนรู้ เป็นผนู้ ำทำง กำกับ
และประเมินควำมกำ้ วหน้ำของผเู้ รยี น
4. ผู้สอนควรฝกึ ใหผ้ ู้เรียนได้มีโอกำสเรยี นรูด้ ้วยตนเอง สำมำรถระบสุ ิง่ ท่ีตนเองรู้เกี่ยวกับหัว
เรือ่ งที่สนใจและต้องกำรเรียนรู้เพมิ่ เตมิ รูแ้ หลง่ คน้ ควำ้ ข้อมูลสำรสนเทศเหลำ่ น้นั รวู้ ธิ ีกำรเกบ็
บันทกึ ข้อมลู สำรสนเทศ วธิ ีประเมินข้อมลู สำรสนเทศต่ำงๆ และสำมำรถหำวธิ ีกำรค้นคว้ำหำ
ขอ้ มลู ตำ่ งๆให้ประสบผลสำเรจ็
5. ผสู้ อนควรฝกึ ใหผ้ ู้เรยี นมนี ิสัยใฝ่รแู้ สวงหำและทำควำมเข้ำใจข้อมลู สำรสนเทศต่ำงๆ
6. ผสู้ อนควรเสรมิ แรงเมอ่ื ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในกำรรวบรวมขอ้ มูลตำ่ งๆตำมเป้ำหมำย
เพื่อให้ผเู้ รียนเกิดแรงจูงใจในกำรค้นควำ้
7. ผสู้ อนควรให้ผูเ้ รยี นได้สรำ้ งควำมรดู้ ว้ ยตนเองจำกกำรใช้กระบวนกำรสำรสนเทศและ
แหล่งขอ้ มลู ในกำรเรยี นร้ทู ี่หลำกหลำย
8. ผ้สู อนควรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรใู้ หผ้ ู้เรยี นได้แกป้ ญั หำจำกกำรใชส้ ำรสนเทศ โดย
ผู้สอนหรอื บรรณำรักษจ์ ะทำหน้ำที่เปน็ เพียงผู้อำนวยควำมสะดวกในดำ้ นต่ำงๆและสร้ำง
แรงจงู ใจในกำรทำงำนใหแ้ ก่ผู้เรยี น

จติ วิทยาพฒั นาการ

พัฒนำกำรของมนุษย์ เปน็ ส่ิงทีน่ กั จิตวิทยำและนักกำรศึกษำให้ควำมสนใจในกำรศึกษำ
ค้นคว้ำกันมำก เพรำะลกั ษณะของบุคคลในแนวทำงดำเนนิ ชวี ติ ท่สี ัมพันธก์ บั บุคคลและสิ่งรอบๆ ตัว
บำงคนกเ็ ชื่อว่ำเพรำะกำรอบรมเล้ยี งดู และสง่ิ แวดล้อม บ้ำงก็เชื่อว่ำเปน็ ผลของกำรเจรญิ เตบิ โตของ
ร่ำงกำย และพัฒนำกำรในช้นั ต่ำงๆ ของชีวติ มนษุ ย์ อีกทัง้ ยังเนน้ ถึงสิง่ สำคญั ก็คือ กำรพัฒนำกำรของ
แตล่ ะคนจะเป็นเอกลักษณ์ (Unigue) ซึ่งกห็ มำยถึง กำรพัฒนำกำรของแตล่ ะบคุ คล จะมีลกั ษณะ
แบบแผนเฉพำะตนไมเ่ หมือนกบั ผูใ้ ด แม้แต่ฝำแฝดเหมือนทอี่ อกมำจำกไขใ่ บเดยี วกนั

ความหมายของพัฒนาการ

รำชบัณฑิตยสถำน (2557: http://www.royin.go.th/th/home/) กำหนดควำมหมำย
ของคำวำ่ พฒั นำกำร คือ กำรทำควำมเจริญ กำรเปลีย่ นแปลงในทำงเจรญิ ขึ้น กำรคลคี่ ลำยไปในทำงดี
อุบลรัตน์ เพ็งสถิต (2542: 3) กลำ่ วว่ำ พฒั นำกำร หมำยถงึ ลกั ษณะของกำรเปล่ยี นแปลง
ไปอย่ำงมรี ะเบยี บแบบแผน งำนพัฒนำกำรต่ำงๆ จะเปน็ กระบวนกำรเฉพำะอย่ำง ซ่งึ จะมีผลต่อกำร
เปลี่ยนแปลงในหลำยๆ แง่ เช่น ทำงดำ้ นสรีระ ทำงโครงสร้ำงของรปู รำ่ ง และอน่ื ๆ

14

อัชรำ เอิบสขุ สิริ (2556: 12) ได้สรุปวำ่ จิตวิทยำพฒั นำกำร หมำยถึง กระบวนกำรเปล่ยี นแปลง
ตำมธรรมชำตขิ องสิ่งมชี วี ติ ของสง่ิ มีชีวติ ต้ังแต่ปฏสิ นธจิ นถงึ ตำย เกิดขึ้นจำกภำยในรำ่ งกำย
ประกอบด้วย
กระบวนกำรของควำมงอกงำม (Growth) และควำมเส่อื ม (Decline) โดยมีพนั ธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
เปน็ ตัวกำหนดผลของพัฒนำกำร ซึง่ พฒั นำกำรนี้ จะนำไปสวู่ ุฒิภำวะและกำรเรยี นร้ขู องบุคคล
กำรเปลีย่ นแปลงที่เกิดจำกพัฒนำกำรบำ่ งเปน็ 4 ดำ้ น ได้แก่ ดำ้ นรำ่ งกำย สตปิ ัญญำ อำรมณ์ และ
สงั คม

กำรพฒั นำกำร (Development) คอื ระบบควำมเจริญเติบโตของสิ่งมีชวี ติ อย่ำงมีระเบียบ
แบบแผน และเป็นขั้นตอนช่วยให้สำมำรถตอบสนองตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มอย่ำงมปี ระสิทธภิ ำพ
จำกควำมหมำยของพฒั นำกำร เรำจะเหน็ วำ่ สิ่งสำคญั ของกำรพัฒนำกำร คือ ระบบ
ควำมเจรญิ เติบโต ซึง่ กเ็ ป็นส่งิ สำคัญท่ีเรำจะต้องทำควำมเข้ำใจ
ควำมเจริญเติบโต (Growth) เป็นกระบวนกำรเปลี่ยนแปลงทำงด้ำนขนำด รูปรำ่ ง สดั สว่ น
กระดูก และกล้ำมเนื้อ ท่ีมคี ุณสมบัตดิ ขี นึ้ มนี ำ้ หนักเพิ่มขึน้ กำรเจริญเติบโตนี้รวมถึง กำรเปลี่ยนแปลง
ของพฤติกรรมในทกุ ด้ำน ไม่ว่ำจะเป็นด้ำนรำ่ งกำย สตปิ ัญญำ อำรมณ์ และสงั คม
พฒั นำกำรของมนุษย์ทงั้ 4 ดำ้ น

1. ด้ำนร่ำงกำย ควำมเจริญเติบโตทีเ่ กย่ี วกบั รำ่ งกำยทง้ั หมด
2. ด้ำนอำรมณ์ ควำมเจรญิ เติบโตท่ีเก่ียวกบั ควำมสำมำรถในกำรควบคุมอำรมณ์
3. ด้ำนสงั คม ควำมเจริญเตบิ โตท่ีเกีย่ วกับควำมสำมำรถในกำรปรบั ตัวให้เข้ำกบั บุคคลอ่ืน
รวมทั้งสงิ่ แวดลอ้ มต่ำงๆ ในสังคม
4. ด้ำนสติปญั ญำ ควำมเจรญิ เตบิ โตทเ่ี กยี่ วกับควำมคิดของบคุ คล ท้ังในด้ำนกำรคิดอย่ำงมี
เหตผุ ล คิดแก้ปญั หำตำ่ งๆ ที่เกดิ ข้นึ และคดิ สร้ำงสรรค์สิ่งใหม่

หลักทัว่ ไปของพฒั นาการ

สงิ่ มีชวี ิตทกุ ๆ อยำ่ งไม่ว่ำจะประกอบไปดว้ ยเซลล์ๆ เดยี วหรือหลำยเซลลก์ ็ตำม ขบวนกำร
เปลยี่ นแปลงมักจะเกดิ ขน้ึ อยำ่ งสมำ่ เสมอและเปน็ ไปอย่ำงมีระเบยี บแบบแผน กำรเปล่ยี นแปลงเช่นนี้
อำจกลำ่ วไดว้ ่ำเปน็ พัฒนำกำร ซ่ึงพัฒนำกำรของคนดำเนินไปตำมหลักทวั่ ไปดังนี้ (ศรีวรรณ จนั ทร์วงศ.์
2549)

1. พฒั นำกำรของเด็กทุกคนจะดำเนนิ ไปตำมแบบแผนเป็นขัน้ ๆ ไม่กระโดดขำ้ มกัน
ไม่ซับซ้อน และไม่มีกำรหยุดน่ิง เชน่ ควำมเจริญเติบโตของเด็ก จะเรมิ่ จำกศรี ษะก่อน แล้วจงึ จะมี
พฒั นำกำรไปสสู่ ่วนกลำง เช่น ยกศรี ษะได้ก่อนยกทรวงอก สำมำรถควบคุมลำตัวได้ก่อนแขนและขำ
ควบคุมแขนและขำได้ก่อน มือและเทำ้ เปน็ ต้น

2. พัฒนำกำรของเด็กทุกคน เรม่ิ มปี ฏิกิรยิ ำตอบสนองเปน็ ส่วนรวมก่อนสว่ นปลีกยอ่ ย เช่น
เด็กจะเคลอ่ื นไหว มือแขนท้ังสองข้ำงไร้ทิศทำงก่อนจะหยบิ หรือจับวสั ดสุ ง่ิ หนง่ึ ส่ิงใดไว้แน่นทัง้ สองขำ้ ง
หรอื เดก็ จะถนดั ใช้มือทั้งสองข้ำงจับหรอื หยิบสง่ิ ของก่อนทีจ่ ะถนัดใช้มือข้ำงหน่ึงขำ้ งใด

15

3. พฒั นำกำรของเด็กจะดำเนินไปพร้อมกันท้ัง 4 ดำ้ น และทกุ ด้ำนจะตอ้ งมีควำมสัมพันธ์
ซ่งึ กนั และกัน เช่น พฒั นำกำรทำงกำยและทำงจติ ใจ จะต้องสัมพันธก์ ับพัฒนำทำงอำรมณ์และทำง
สงั คม
เช่น เดก็ วัย 2 ขวบขึ้น สำมำรถพดู เป็นวลี หรอื ประโยคได้ ซง่ึ ระยะน้ีพัฒนำกำรทำงสตปิ ัญญำได้เจริญ
มำจนสำมำรถจำเสียงและเข้ำใจควำมหมำยของเสียงนน้ั ไม่สบั สนกนั อกี ท้ังเม่ือผู้ใหญ่ตอบสนองกำร
กระทำ
ของเด็ก เด็กจะแสดงอำกำรพึงพอใจ

4. พฒั นำกำรของเด็กโดยปกติจะผ่ำนพัฒนำกำรตำมลำดับข้ันด้วยอัตรำไมเ่ ทำ่ กนั บำงคน
เจรญิ รวดเรว็ ในขน้ั หนง่ึ แตบ่ ำงคนเจรญิ เตบิ โตไปอย่ำงชำ้ ๆ อยำ่ งไรกต็ ำมเด็กทุกคนจะต้อง
เจริญเติบโต
ถึงขดี สุดของตน ไม่ช้ำก็เรว็ ฉะนน้ั ผใู้ หญ่ควรเขำ้ ใจสมรรถภำพควำมสำมำรถ สภำวะอำรมณ์ กำร
ปรับตวั
ของเด็กแตล่ ะคนย่อมจะเจรญิ เติบโตแตกตำ่ งกนั

5. กำรพัฒนำกำรจะเกดิ ในลักษณะท่ีต่อเนอ่ื งกนั (Continuity) กำรพัฒนำกำรเป็น
กระบวนกำรทเ่ี กดิ ต่อเน่ืองกันตลอดเวลำ กลำ่ วคือ พฒั นำกำรทุกดำ้ นไม่ไดเ้ กดิ ขึน้ ทันทีทันใด แต่ต้อง
อำศัยเวลำในกำรพฒั นำมำก่อน ตงั้ แตเ่ ด็กเริ่มปฏสิ นธิ ตัวอยำ่ งเชน่ กำรพดู เด็กจะคอ่ ยๆ พัฒนำกำร
จำก
กำรเปลง่ เสียง กำรพูดอ้อแอ้ กำรพดู เปน็ คำๆ เปน็ ประโยค จนกระท่งั เด็กสำมำรถสือ่ ควำมหมำย
โดยใช้คำพูดเม่ือเด็กเขำ้ สังคมได้

6. ส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำยจะมีอตั รำกำรพฒั นำกำรแตกต่ำงกัน เช่น ขนำดของสมอง
จะเจริญเติบโตรวดเร็วข้ึน เม่ืออำยุ 6-8 ปี ส่วนร่ำงกำยจะเจริญเติบโตเต็มทใ่ี นวยั รนุ่ สำหรบั
พฒั นำกำรทำงสติปัญญำจะเจริญถงึ ขดี สุดในวัยหนุ่มสำว เป็นตน้ ซึ่งโดยเฉลยี่ แล้วสตปิ ัญญำของ
มนษุ ยจ์ ะเจรญิ เตบิ โตเต็มท่ีเมื่ออำยุ 16-18 ปี

7. พัฒนำกำรสำมำรถทำนำยได้ แมเ้ รำไมส่ ำมำรถที่จะหำเคร่อื งมือสำหรับวดั อัตรำ
กำรพัฒนำกำรได้แน่นอน แต่กำรพฒั นำในระยะแรกของเด็กแตล่ ะคน เป็นเคร่ืองช้ีใหเ้ ห็นแนวโนม้ ของ
กำรพฒั นำกำรในระยะต่อไปได้ เชน่ วัยเดก็ ถ้ำเด็กมีสขุ ภำพแขง็ แรง ร่ำงกำยเจรญิ เติบโต โครงร่ำง
ของร่ำงกำยใหญ่ ย่อมแสดงวำ่ ในระยะต่อไปถำ้ ไม่มอี ุปสรรคทีข่ ัดขวำงกำรเจรญิ เติบโต เด็กคนน้นั ย่อม
มรี ำ่ งกำยแข็งแรง เจรญิ งอกงำมมำกกว่ำเด็กท่ีมีพฒั นำกำรทำงกำยระยะแรกช้ำกวำ่
กระบวนกำรพัฒนำกำรเป็นส่ิงทเี่ กิดข้ึนกับบุคคลทว่ั ไป ดังน้ันจงึ จำเป็นทจ่ี ะต้องเข้ำใจ
ธรรมชำตขิ องกำรพัฒนำกำร เพอ่ื ผทู้ ่ีมสี ่วนเก่ียวข้องกบั เด็กจะได้สง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กมีพฒั นำกำรถึงขดี
สุดและเพ่ือบดิ ำมำรดำของเด็กจะไดไ้ มเ่ กดิ ควำมวิตกกังวลเกยี่ วกบั กระบวนกำรพฒั นำกำรของเด็ก
มำกเกินไป ถ้ำเผอญิ เด็กในควำมดแู ลมีพฒั นำกำรทีเ่ ร็วหรอื ช้ำไปกวำ่ ปกติไม่มำกนัก เพรำะอยำ่ งไร
กต็ ำม เด็กปกตยิ ่อมสำมำรถผ่ำนพัฒนำกำรทุกขัน้ ไปไดอ้ ย่ำงสะดวก

16

ทฤษฎเี ก่ยี วกบั การพัฒนาการของมนุษย์

แนวควำมคิดทำงทฤษฎีเกีย่ วกบั พฒั นำกำรของมนุษยม์ หี ลำกหลำย ทฤษฎีแต่ละ
ทฤษฎี
มจี ดุ เดน่ แตกตำ่ งกัน แต่ควำมคิดทหี่ ลำยหลำกนัน้ มีควำมเกีย่ วพนั จำกพืน้ ฐำนเดยี วกนั ที่เชอ่ื ว่ำ
พัฒนำกำร
ของมนษุ ย์เป็นกระบวนกำรต่อเนื่องในช่วงชวี ิต และมลี ักษณะเดน่ เฉพำะในแต่ละวัย

1. ทฤษฎีพัฒนาการของฟรอยด์

ฟรอยด์ (Freud) เปน็ จติ แพทยช์ ำวออสเตรีย เปน็ นกั จติ วิทยำท่มี ผี ลงำนคน้ คว้ำทำง
จติ วทิ ยำเป็นจำนวนมำก ฟรอยดเ์ ชอื่ ว่ำ ประสบกำรณแ์ ละส่ิงแวดลอ้ มในวัยเด็กมีผลโดยตรงต่อ
พัฒนำกำรและบุคลิกภำพของบุคคลเม่ือโตขนึ้ ทัศนะของฟรอยดเ์ ก่ยี วกบั ธรรมชำติของมนษุ ย์คือ
มนุษย์ถูกกำหนดมำ (Deterministic) เป็นพนื้ ฐำน พฤติกรรมของมนุษย์ได้รบั กำรกำหนดโดย
แรงผลกั ดัน
ท่ไี ร้เหตผุ ล แรงจูงใจในระดบั จติ ไรส้ ำนึก และแรงขบั ทำงด้ำนชวี ภำพและทำงด้ำนสญั ชำตญำณ โดยที่
แรงผลกั ดนั แรงจูงใจ และแรงขบั เหล่ำนน้ี ้ันเกดิ ขึน้ โดยผำ่ นขน้ั ตอนหลกั ต่ำงๆทำงดำ้ นจิตเพศ
(Psychosexual) ในช่วง 6 ปีแรกของชีวิต ในทัศนะของจติ วเิ ครำะหน์ นั้ บคุ ลกิ ภำพประกอบไปด้วย
ระบบ 3 ระบบ คือ อิด (Id: สญั ญำชำติญำณดบิ ) อโี ก้ (Ego: ควำมเป็นเหตุเปน็ ผล) และซุปเปอร์อโี ก้
(Superego: มโนธรรม) ท้ัง 3 ระบบนี้เปน็ ชอ่ื ตำ่ งๆ ของโครงสร้ำงทำงด้ำนจติ ใจ และไม่ควรถกู มองใน
ฐำนะท่ีเป็นแบบจำลอง ท่ีแยกกำรทำหน้ำทีข่ องบุคลกิ ภำพออกจำกกนั บคุ ลิกภำพของแตล่ ะบุคคล
จะทำหนำ้ ท่ีในฐำนะทเ่ี ป็นองค์รวมมำกกวำ่ ทจ่ี ะแยกขำดจำกกนั เป็นส่วนต่ำงๆ 3 สว่ น อิด (Id: สัญญำ
ชำติ
ญำณดิบ) เปน็ องค์ประกอบทำงด้ำนชีวภำพ อีโก้ (Ego: ควำมเปน็ เหตุเป็นผล) เปน็ องคป์ ระกอบ
ทำงดำ้ นจิตใจ และซุปเปอร์อีโก้ (Superego: มโนธรรม) เปน็ องคป์ ระกอบทำงสังคม และฟรอยด์
ไดแ้ บง่ พฒั นำกำรของมนษุ ย์ ดังน้ี (Corey. 2005: 56-58)
นอกจำกน้ี ฟรอยด์ แบ่งระดับพัฒนำกำรของมนุษย์ออกตำมวยั เรม่ิ ต้งั แตว่ ยั ทำรก
จนถึงวยั ผใู้ หญ่ ซ่ึงแบ่งออกเป็น 5 ขัน้ คือ 1) ขนั้ ปำก (Oral Stage) 2) ขน้ั ทวำรหนัก (Anal Stage)
3) ขัน้ อวยั วะเพศ (Phallic Stage) 4) ขัน้ แฝง (Latency Stage) และ 5) ขนั้ สนใจเพศตรงขำ้ ม
(Gennitic Stage) มรี ำยละเอียดดงั นี้ (สรุ ำงค์ โควต้ ระกลู . 2545: 33-35) ดงั น้ี

1.1 ขัน้ ปาก (Oral Stage)
ขน้ั ปำก (0-18 เดอื น) ฟรอยด์เรยี กข้ันนวี้ ่ำ ออรอล เพรำะควำมพงึ พอใจอยูท่ ี่
ชอ่ งปำก เรมิ่ ต้ังเกดิ เด็กอ่อนจนถงึ อำยรุ ำวๆ 2 ปี หรอื วยั ทำรก เปน็ วัยทีค่ วำมพึงพอใจเกิดจำกกำร
ดดู นมแม่ นมขวด และดูดนิว้ เปน็ ตน้ ในวัยนีค้ วำมคบั ข้องใจ (Frustration) จะเกดิ ข้นึ ถ้ำเดก็ หวิ แต่
แมไ่ ม่ไดใ้ ห้นมเลย หรือให้นมแต่ไม่พอใจ ถ้ำหำกเด็กเกดิ ควำมคับข้องใจ จะทำให้เกิดภำวะท่เี รยี กวำ่
“กำรติดตรงึ อยูก่ ับที่” (Fixation) ได้ และมปี ัญหำทำงด้ำนบคุ ลกิ ภำพเรียกวำ่ “Oral Personality”
มีลักษณะท่ชี อบพดู มำก และมกั จะติดบุหร่ี เหล้ำ และชอบดดู หรือกดั อยู่เสมอ โดยเฉพำะเวลำที่มี

17

ควำมเครยี ด บำงคร้งั แสดงดว้ ยกำรดูดน้ิว หรอื ดนิ สอ ปำกกำ ผมู้ ีลกั ษณะแบบนี้อำจจะชอบพูดจำถำก
ถำง เหนบ็ แนม เสียดสผี อู้ ่ืน

1.2 ขัน้ ทวารหนัก (Anal Stage)
ขัน้ ทวำรหนัก (18 เดือน-3 ปี) ฟรอยด์กล่ำวว่ำ เดก็ วยั นี้ ได้รบั ควำมพึงพอใจ
ทำงทวำรหนัก คือ จำกกำรขับถ่ำยอุจจำระ และในระยะซึ่งเป็นสำเหตุของควำมขัดแยง้ และควำมคบั
ข้อง
ใจของเดก็ วยั นี้ เพรำะพอ่ แม่มักจะหดั ใหเ้ ด็กใชก้ ระโถนและตอ้ งขับถำ่ ยเปน็ เวลำ เนื่องจำกเจ้ำของ
ควำมต้องกำรของผู้ฝึก และควำมต้องกำรของเด็กเกยี่ วกับกำรขบั ถ่ำยไม่ตรงกนั ของเด็ก คือ ควำม
อยำก
ทจี่ ะถ่ำยเมอ่ื ไรก็ควรจะทำได้ เดก็ อยำกจะขับถำ่ ยเวลำที่มีควำมตอ้ งกำร กับกำรท่ีพ่อแมห่ ัดใหข้ ับถำ่ ย
เป็นเวลำ บำงทเี กดิ ควำมขัดแยง้ มำก อำจทำใหเ้ กิด Fixation และทำให้เกดิ มีบุคลกิ ภำพแบบ “Anal
Personality” ผู้ท่ีมพี ฤติกรรมแบบนี้ อำจจะเป็นทช่ี อบควำมเป็นระเบยี บเรียบร้อยเป็นพเิ ศษ และ
คอ่ นข้ำงประหยดั มธั ยัสถ์ หรอื อำจมบี ุคลิกภำพตรงข้ำม คือ อำจจะเป็นคนที่ใจกว้ำง และไม่มี
ควำมเปน็ ระเบยี บ เหน็ ได้จำกห้องทำงำนสว่ นตวั จะรกไม่เป็นระเบยี บ

1.3 ข้นั อวัยวะเพศ (Phallic Stage)
ขัน้ อวยั วะเพศ (3-5 ป)ี ควำมพงึ พอใจของเด็กวยั น้ี อยู่ท่ีอวัยวะสืบพนั ธุ์ เดก็ มักจะ
จับจ้องลูบคลำอวัยวะเพศ ระยะนี้ ฟรอยดก์ ล่ำววำ่ เดก็ ผ้ชู ำยมปี มเอ็ดดิปุส (Oedipus Complex)
ฟรอยด์อธิบำยกำรเกดิ ของปมเอ็ดดปิ ุสวำ่ เดก็ ผชู้ ำยตดิ แม่และรักแม่มำก และต้องกำรที่จะเปน็ เจ้ำของ
แม่
แต่เพียงคนเดียว และต้องกำรรว่ มรักกบั แม่ แตข่ ณะเดียวกันกท็ รำบวำ่ แม่และพอ่ รักกันและกร็ ้ดู ีว่ำ
ตนด้อยกว่ำพอ่ ทุกอย่ำง ทัง้ ดำ้ นกำลงั และอำนำจ ประกอบกับควำมรกั พอ่ และกลัวพ่อ ฉะน้ัน เด็กก็จะ
พยำยำมทีจ่ ะเกบ็ กดควำมร้สู ึกท่ีอยำกเปน็ เจำ้ ของแมแ่ ตค่ นเดยี ว และพยำยำมทำตัวให้เหมอื นกับพ่อ
ทุกอย่ำง ฟรอยด์เรยี กกระบวนกำรนีว้ ำ่ “Resolution of Oedipus Complex” เป็นกระบวนกำรท่ี
เด็กชำยเลยี นแบบพ่อ ทำตวั ให้เหมือน “ผ้ชู ำย” ส่วนเด็กหญิงมีปมอิเล็คตรำ (Electra Complex)
ซง่ึ ฟรอยด์ก็ได้ควำมคดิ มำจำกนยิ ำยกรกี เหมือนกบั ปมเอ็ดดิปุส ฟรอยด์อธิบำยวำ่ แรกทเี ดยี วเด็กหญิง
ก็รกั แม่มำกเหมือนเดก็ ชำย แต่เมอื่ โตขนึ้ พบว่ำ ตนเองไม่มีอวัยวะเพศเหมือนเด็กชำย จึงคิดวำ่ แมเ่ ป็น
คนรบั ผิดชอบ และมีควำมรู้สึกอจิ ฉำผู้ท่มี อี วยั วะเพศชำย แต่เม่ือทำอะไรไม่ได้กย็ อมรับและโกรธแม่
มำก
ถอนควำมรักจำกแม่มำรักพอ่ ทม่ี ีอวัยวะเพศท่ีตนปรำรถนำจะมี แต่กร็ ้วู ่ำพ่อและแมร่ กั กันเดก็ หญิง
จึงแก้ปัญหำโดยใชก้ ลไกป้องกันตน โดยเกบ็ ควำมร้สู กึ ควำมต้องกำรของตน (Repression) และ
เปลีย่ นจำกโกรธเกลยี ดแม่ มำเป็นรักแม่ (Reaction Formation) ขณะเดยี วกนั ก็อยำกทำตวั เหมอื น
แม่ จึงเลยี นแบบแม่ สรุปไดว้ ่ำ เด็กหญงิ มีควำมรักพ่อแต่รวู้ ่ำแย่งพ่อมำจำกแม่ไม่ได้ จงึ เลียนแบบแม่
คือ ถือแม่เป็นแบบฉบบั หรือต้นแบบของพฤติกรรมของ “ผู้หญงิ ”

18

1.4 ข้นั แฝง (Latency Stage)
ขัน้ แฝง (6-12 ป)ี เป็นระยะท่ี ฟรอยด์ กล่ำวว่ำ เด็กเกบ็ กดควำมตอ้ งกำรทำงเพศ
หรอื ควำมต้องกำรทำงเพศสงบลง (Quiescence Period) เด็กชำยมักเล่นหรือจบั กลุ่มกับเด็กชำย
สว่ นเดก็ หญงิ ก็จะเล่นหรือจับกลุ่มกับเด็กหญิง
1.5 ขั้นสนใจเพศตรงขา้ ม (Genital Stage)
ขนั้ สนใจเพศตรงขำ้ ม วัยนจ้ี ะมีควำมสนใจในเพศตรงข้ำม ซ่ึงเป็นระยะเริม่ ตน้
ของวัยผใู้ หญ่

2. ทฤษฎพี ฒั นาการของอีริคสัน

อีริค อีริคสนั (Erik Erikson) เปน็ ชำวเยอรมัน ภำยหลงั อพยพไปอยสู่ หรัฐอเมริกำ
ได้ศึกษำแนวคิดทำงจติ วิเครำะห์จำก แอนนำ ฟรอยด์ (Anna Freud) ลกู สำวของฟรอยด์ แตม่ ี
ควำมคดิ เห็นต่ำงจำก ฟรอยด์ ในประเดน็ ท่วี ำ่ บุคลิกภำพของมนุษย์พฒั นำเปล่ยี นแปลงไปตลอดชวี ิต
ด้วยพลงั ทำงสงั คมมใิ ช่พลังทำงเพศตำมที่ ฟรอยด์ เสนอ อีริคสัน แบง่ พัฒนำกำรของมนุษย์เป็น 8 ข้นั
โดย 5 ขนั้ แรกคลำ้ ยกับขั้นของ ฟรอยด์ พฒั นำกำรแตล่ ะข้ันตดิ ตอ่ สืบเน่ืองกนั ตลอดเวลำ โดยมี
พัฒนำกำรทำงด้ำนรำ่ งกำยเป็นตวั นำไปส่พู ฒั นำกำรขน้ั ต่อๆ ไป ในแต่ละขัน้ พฒั นำกำรที่แบ่ง อริ ิคสนั
ใชค้ ำเรยี กว่ำ “Sense of” ก็เพรำะเขำเช่ือว่ำ ในแต่ละข้นั เด็กจะต้องพบกับปัญหำเฉพำะ ซ่ึงถ้ำ
แก้ปัญหำได้สำเรจ็ กจ็ ะเกดิ ควำมร้สู กึ ทด่ี ีเหลือตกคำ้ งอยกู่ ่อนทีจ่ ะก้ำวขึ้นสพู่ ัฒนำกำรข้นั ตอ่ ไป แตถ่ ้ำ
แกป้ ัญหำไม่ได้ก็จะเกดิ ควำมรู้สกึ ที่ไม่ดี มีรำยละเอยี ด ดังนี้ (พรรณทิพย์ ศิรวิ รรณบุศย์. 2547: 89)

2.1 ขั้นสร้างความรู้สกึ ไว้วางใจ-ความไม่ไว้วางใจ
ควำมรกั ควำมเอำใจใส่ และควำมใกล้ชดิ จำกมำรดำหรือพ่ีเลยี้ งเป็นอยำ่ งดี
เด็กจะเกดิ ควำมรู้สึกไว้วำงใจและควำมอบอุ่นมั่นคง ในทำงตรงกนั ขำ้ มถ้ำถูกทอดทิ้งและมิได้รบั
ควำมรักจะเกดิ ควำมรูส้ ึกไม่ไว้วำงใจใคร ในวัยนี้เดก็ จะเกี่ยวขอ้ งกับผู้ใกลช้ ดิ ได้แก่ บดิ ำ มำรดำและ
หรือ
พี่เล้ียงเปน็ ส่วนใหญ่

2.2 ข้นั สร้างความรู้สึกเป็นตัวของตวั เอง-ความไม่ม่นั ใจในตนเอง
ชว่ งอำยุ 1-4 ขวบ วัยนี้จะแสดงออกใหเ้ ห็นวำ่ ตนเองมีควำมสำมำรถ มีควำม
เปน็ ตัวของตวั เอง ในทำงตรงข้ำม ถำ้ เด็กมิไดร้ ับควำมสำเร็จหรือควำมพอใจ เด็กจะเกิดควำมอำยและ
กลัวกำรแสดงออก เกิดควำมไม่ม่ันใจในตนเอง ในวยั เด็กจะเก่ยี วขอ้ งกับบดิ ำมำรดำและหรอื พ่ีเล้ยี ง

2.3 ขัน้ สร้างความคิดริเรมิ่ -มีความรูส้ กึ ผิด
ชว่ งอำยุ 4-5 ขวบ วัยน้ีเด็กจะเลยี นแบบสมำชิกในครอบครัวมคี วำมคดิ สรำ้ งสรรค์

19

อยำกรู้อยำกเหน็ ทดลองส่ิงใหม่ๆ ถ้ำทดลองแลว้ ผดิ พลำดถูกผู้ใกล้ชดิ ตำหนิ ติเตยี น เด็กจะเกิดควำม
ขยำด
และหวำดกลวั ในวยั นเี้ ด็กจะเกยี่ วข้องกบั สมำชิกในครอบครัวและเด็กๆ นอกบ้ำน

2.4 การสร้างความรู้รบั ผดิ ชอบ-ความรู้สึกตา่ ต้อย
ช่วงอำยุ 6-12 ปี วยั นี้เดก็ จะเริ่มเกีย่ วข้องกับสงั คมมำกข้ึนตำมลำดบั จะขยันเรียน
ขยันอำ่ นหนงั สือประเภทตำ่ งๆ พูดคุยและอวดโชวค์ วำมเด่น และควำมสำมำรถของตนเพือ่ ใหเ้ พื่อน
ยอมรับ ถำ้ เด็กทำไม่ได้เขำจะผดิ หวัง และมคี วำมรู้สึกเป็นปมด้อย ย่ิงถ้ำถกู ผู้ใหญ่แสดงควำมเบื่อหนำ่ ย
ตำหนิอยตู่ ลอดก็จะเปน็ คนท่ีมีควำมรู้สึกต่ำต้อย
2.5 ขั้นสร้างความเปน็ เอกลักษณ์-ความสับสนในบทบาท
ช่วงอำยุ 13-18 ปี วัยนเ้ี ด็กจะสรำ้ งเอกลกั ษณห์ รือบคุ ลิกภำพของตน โดยเลียนแบบ
จำกเพื่อนๆ หรอื ผใู้ กล้ชดิ ถ้ำยงั สรำ้ งเอกลักษณข์ องตนไมไ่ ด้จะเกิดควำมวำ้ วุน่ สบั สน วำ้ เหว่ และหมด
หวงั
2.6 ขั้นสร้างความผกู พัน-การแยกตวั
ช่วงอำยุ 19-40 ปี เป็นวัยท่ีเปลยี่ นไปสูค่ วำมเปน็ ผใู้ หญ่ ต้องกำรตดิ ต่อและสมั พนั ธ์
กบั เพ่ือนต่ำงเพศ จนเปน็ เพ่ือนสนทิ และหรือเปน็ เพ่ือนคู่ชีวิต ยอมท่ีจะเป็นผ้นู ำในบำงขณะและเป็น
ผตู้ ำมในบำงขณะ ถำ้ ผดิ หวังจะแยกตนเองออกจำกสงั คม หรอื อยตู่ ำมลำพงั ในวัยน้ีจะมีเพือ่ นรัก
เพือ่ นร่วมงำนและเพื่อนสนทิ เปน็ จำนวนมำก

2.7 ขั้นสรา้ งความเปน็ ประโยชนใ์ ห้กบั สังคม-คิดถึงแต่ตนเอง
ชว่ งอำยุ 41-60 ปี เป็นวยั ที่มคี วำมรับผิดชอบต่อครอบครวั และจะพฒั นำเป็น
ผู้ใหญท่ ท่ี ำประโยชนใ์ ห้กบั สังคมด้วยควำมบรสิ ุทธใิ์ จ ไมม่ งุ่ ประโยชนส์ ว่ นตวั แต่ถ้ำพบกับควำม
ลม้ เหลว
ในชวี ติ ก็จะทอ้ ถอย เหน่ือยหนำ่ ยในชวี ิต คิดถึงแต่ประโยชนส์ ่วนตัว แม้จะนำประโยชน์ทำงสงั คมก็มัก
มี
ประโยชน์สว่ นตนแฝงอยเู่ สมอ

2.8 ขั้นสร้างบรู ณาการในชวี ติ -ความสิน้ หวงั
ชว่ งอำยตุ ง้ั แต่ 61 ปขี ้นึ ไป เป็นวัยท่ตี ้องกำรควำมมน่ั คงสมบรู ณ์ในชวี ติ จะ
ภำคภูมใิ จในควำมสำเรจ็ ของชีวิตและผลงำนของตน ถ้ำผิดหวังจะเกดิ ควำมร้สู ึกล้มเหลวในชวี ติ และ
ส้นิ หวังเสยี ดำยเวลำทผี่ ่ำนไป ไมย่ อมรบั สภำพของตน

20

3. ทฤษฎพี ัฒนาการของเพยี เจต์

เพยี เจต์ (Piaget) เปน็ ศำสตรำจำรยแ์ หง่ มหำวิทยำลยั เจนีวำ ประเทศสวิตเซอรแ์ ลนด์
ไดร้ ับปรญิ ญำเอกทำงสัตว์วิทยำ ในปี ค.ศ. 1918 เพยี เจต์ เช่อื วำ่ มนษุ ย์มแี นวโน้มตำมธรรมชำตทิ จี่ ะ
จดั
พฤติกรรมและควำมคิดให้เป็นระบบ มีควำมต่อเนื่อง เช่ือมโยง เป็นกลุม่ เป็นพวก เกิดเปน็ โครงสร้ำง
ทำงควำมคดิ ที่จะใช้ในกำรเรยี นรู้และทำควำมเข้ำใจกบั ข้อมูลใหม่ หรอื เหตกุ ำรณใ์ หม่ๆ ที่แวดล้อม
แล้วสร้ำงเป็นโครงสรำ้ งทำงควำมคิดใหม่ท่ซี ับซ้อนและมีประสทิ ธิภำพมำกย่งิ ข้นึ ซ่ึงโครงสรำ้ งควำมคดิ
ใหมน่ ี้ ก็จะถูกนำไปใชใ้ นกำรทำควำมเข้ำใจและเรยี นรู้ข้อมูลใหม่ๆ ต่อไปอีก เกดิ เป็นโครงสร้ำงทำง
ควำมคิดใหมท่ ่ีพฒั นำขึ้นเร่ือยๆ อย่ำงต่อเนอ่ื ง เพียเจต์ ใหช้ ่ือโครงสร้ำงทำงควำมคิดนี้วำ่ สกีมำ
(Schema) สกีมำจึงเป็นโครงสร้ำงของพฤติกรรมและควำมคดิ ตำ่ งๆ ที่มกี ำรจดั ระบบเป็นอย่ำงดี
โดยบำงสกีมำอำจมขี นำดเลก็ และมีลักษณะง่ำยๆ ในขณะท่ีบำงสกมี ำมีขนำดใหญแ่ ละมีควำมซบั ซอ้ น
เม่ือสกีมำใหม่ๆ ไดร้ ับกำรพัฒนำข้ึน พฤติกรรมกำรตอบสนองของมนุษยท์ ่มี ีต่อส่ิงแวดล้อมกจ็ ะไดร้ ับ
กำรปรุงแตง่ ให้มีคุณภำพและประสทิ ธภิ ำพมำกย่ิงข้ึน (นุชลี อปุ ภยั . 2555: 39-40)
ศรเี รอื น แกว้ กงั วำน (2549: 56-57) กล่ำวถงึ หลกั กำรของพัฒนำกำรด้ำนกำรรบั รู้
ตำมแนวคิดของเพยี เจต์ได้แบ่งพฒั นำกำรออกเปน็ 2 ขั้นตอน คือ ข้ันตอนกำรรบั รู้ข้อมลู ใหมเ่ กี่ยวกับ
โลก ทป่ี รำกฏต่อตวั บุคคลน้ัน (Assimilation) และขน้ั ตอนกำรปรบั เปลย่ี นแนวคดิ ของบุคคลในกำร
รบั รขู้ ้อมูลใหม่ (Accommodation) ทงั้ 2 ขั้นตอนนี้ จะเกิดขึ้นโดยผ่ำนหลักกำรท่ีมคี วำมสมั พันธ์
ซ่ึงกนั และกัน 3 ประกำร คือ กำรจัดระบบ (Organization) กำรปรับตัว (Adaptation) และกำรรกั ษำ
สมดุล (Equilibration) หลักกำรเหลำ่ นจี้ ะมีควำมสบื เนอื่ งตอ่ กันในกระบวนกำรพฒั นำกำรไปตำม
สภำพแวดล้อมของบุคคลน้ันๆ

3.1 ข้นั ของพัฒนาการทางสติปญั ญา ของเพียเจต์ แบง่ เป็น 4 ขัน้ ดงั นี้
3.1.1 ข้นั ประสำทรบั รู้และกำรเคลอื่ นไหว (แรกเกดิ -พดู ได้) เด็กจะเรยี นรู้

สง่ิ แวดลอ้ มโดยกำรรบั ร้แู ละกำรเคลื่อนไหว เป็นจุดเรม่ิ ตน้ ในกำรรวบรวมประสบกำรณ์ เพ่อื ชว่ ยใน
กำรคดิ
ระยะนจี้ ะเร่ิมสัญลักษณ์ของวัตถุ

3.1.2 ขนั้ เกดิ สังกปั และควำมคดิ แบบใชก้ ำรหย่ังรู้ (2-7 ปี) เปน็ ขน้ั ของควำมคดิ
ซงึ่ เปน็ ผลมำจำกกำรรับรู้และกำรเคล่ือนไหว โดยจะเข้ำใจสัญลกั ษณ์ทมี่ ำแทนวัตถจุ รงิ เข้ำใจในสิ่ง
ซบั ซอ้ น ได้บำ้ ง แตย่ งั ขำดประสบกำรณ์ในทำงควำมคิด เป็นเหตุใหเ้ ร่ืองท่ีคิดผดิ พลำดได้

3.1.3 ขั้นปฏิบตั กิ ำรทำงควำมคิดโดยใช้วัตถุหรือสง่ิ ที่มีตัวตน (7-11 ป)ี ข้ันนี้
เด็กจะเข้ำใจควำมคงทีข่ องปริมำณ ขนำด นำ้ หนัก และควำมสูงโดยไมค่ ำนึงถึงสภำวะแวดลอ้ ม
ในขณะเดียวกันเด็กจะสำมำรถเปรยี บเทียบปริมำณของนำ้ ได้ถกู ต้อง ไม่วำ่ จะอยใู่ นภำชนะลักษณะใด

3.1.4 ขัน้ ปฏบิ ตั ิกำรทำงควำมคดิ นำมธรรม (12 ปขี ึน้ ไป) เด็กจะมีอิสระ
ในทำงควำมคิดใช้วธิ คี ดิ แบบอนุมำน และสำมำรถคิดแบบตั้งสมมุติฐำนและคดิ หำทำงพสิ ูจนไ์ ด้

21

เป็นพฒั นำกำรทำงควำมคิดข้ันสงู สุด

3.2 ขัน้ ของการพัฒนาทางสังคม เพยี เจต์ แบ่งเปน็ 3 ระยะ ดังน้ี
3.2.1 ยดึ ตนเองเปน็ ศนู ยก์ ลำง (Egocentrism) เป็นระยะที่ยึดวำ่ ตนมี

ควำมสำคญั ท่สี ุด มกั จะพดู เร่ืองของตนเอง โดยไมร่ บั รูผ้ ู้อ่นื จะเขำ้ ใจหรือไม่ วงสงั คมในระยะนจ้ี ะแคบ
แคค่ วำมสัมพันธ์อย่ำงใกลช้ ิดกับบุคคลในครอบครัว (วัยทำรกและวยั เดก็ ตอนตน้ )

3.2.2 พยำยำมเข้ำสังคม (อำยุ 6-12 ปี) เป็นระยะที่เรมิ่ เขำ้ ใจวำ่ กำรอยรู่ ว่ มกนั
จำเปน็ ต้องมีกำรติดต่อและพ่ึงพำอำศยั กัน ลดกำรยดึ ตนเองเป็นศูนย์กลำง โลกของเด็กขยำยไปสเู่ พื่อน
ฝูง
ครูและบุคคลอืน่ ๆ ที่เดก็ มีโอกำสใกลช้ ิด เป็นระยะสำคญั ทีจ่ ะเปน็ เคร่ืองชบี้ อกถงึ อนำคตทำงสงั คม

3.2.3 เกิดกำรยอมรับและมปี ฏิสัมพันธต์ ่อกนั เปน็ ระยะพฒั นำขั้นสงู สดุ ทำงสงั คม
รูจ้ กั ยอมรบั นบั ถือผู้อ่นื ยอมรบั ควำมคดิ เห็นของผู้อ่ืน แทนกำรยดึ ควำมคดิ ของตนเองเป็นเกณฑ์
กำรเปลี่ยนแปลงระยะนีเ้ ริ่มต้ังแต่วัยร่นุ จนถงึ วัยผ้ใู หญ่ ระยะน้ีมีท้งั เพศเดยี วกันและตำ่ งเพศ รวมทง้ั
ต้องกำรท่จี ะรว่ มกิจกรรมกบั หม่คู ณะ

4. ทฤษฎีพฒั นาการทางจรยิ ธรรมของโคลเบอรก์

โคลเบอรก์ (Kohlberg, Lawrence) นกั จติ วิทยำชำวสหรัฐอเมริกำเชอื่ ว่ำ พัฒนำกำร
ทำงสติปัญญำเปน็ รำกฐำนของพฒั นำกำรทำงจริยธรรม เขำจึงขยำยทฤษฎีพฒั นำกำรทำงจรยิ ธรรม
ของเปยี เจต์ ให้กวำ้ งขวำงยิ่งข้ึน ละเอียดลออยิ่งข้ึน เขำไดท้ ำกำรวเิ ครำะห์เหตผุ ลเชงิ จริยธรรม และ
วดั ระดับกำรพฒั นำกำรทำงจริยธรรมของบุคคลในหลำยสังคมและวัฒนธรรม แลว้ สรุปกำรพัฒนำกำร
ทำงจริยธรรมของมนุษย์ทว่ั โลกแบง่ ออกเป็นขั้นๆ ได้ 6 ข้ัน โดยท่ขี ้นั ต่ำจะพบมำกในเด็กทวั่ โลก
ส่วนขน้ั สงู สดุ จะพบแต่ในผใู้ หญ่บำงคนในบำงวฒั นธรรมเท่ำน้ัน พฒั นำกำรทำงจริยธรรมจะเปน็ ไปตำม
ขั้น จำกขั้นท่หี นึ่งไปตำมลำดับจนถงึ ขั้นที่หก โดยไม่มกี ำรข้ำมข้ัน เพรำะกำรใชเ้ หตผุ ลในขัน้ สงู ขนึ้ ไป
จะเกดิ มขี น้ึ ได้ด้วยกำรมีควำมสำมำรถในกำรใชเ้ หตผุ ลในขน้ั ท่อี ยู่ต่ำกว่ำเสยี กอ่ น มนษุ ยท์ ุกคนไม่
จำเป็นต้องพัฒนำทำงจริยธรรมไปถึงข้นั สดุ ท้ำย อำจจะหยุดชะงักท่ีขัน้ ใดข้นั หนึ่งก็ได้ โคลเบอรก์ พบวำ่
ผู้ใหญ่สว่ นมำกจะมีพฒั นำกำรทำงจรยิ ธรรมถึงขั้นที่ 4 เทำ่ น้ัน และบำงครง้ั บุคคลกอ็ ำจจะย้อนกลับมำ
ใช้ในขน้ั ตำ่ ๆ ก็ได้ เพรำะอำรมณ์ของคนเรำไม่แน่นอน (ดวงเดอื น พันธุมนำวนิ และ จรรจำ สวุ รรณ
ทตั .2520:14) ทฤษฎีพัฒนำกำรทำงจรยิ ธรรมของ โคลเบอร์ก ได้แบง่ พัฒนำกำรทำงจริยธรรม
ออกเป็น
3 ระดบั แต่ละระดับแยกออกเป็น 2 ระยะหรือ 2 ขั้น (Stage) ตำมลกั ษณะกำรใหเ้ หตผุ ลทำง
จริยธรรมดังนี้

4.1 ระดับก่อนกฎเกณฑ์ หรือกอ่ นทจ่ี ะมีจรยิ ธรรม (Preconventional or Premoral
Level) เป็นระดับท่ีต่ำสดุ ของกำรมจี ริยธรรม จริยธรรมในระดับนขี้ องเด็กจะถูกควบคมุ ด้วยรำงวัล
และกำรลงโทษ และกำรตัดสินจรยิ ธรรมจะมำจำกเกณฑ์ภำยนอกโดยเฉพำะจำกพ่อแม่ ระบบน้ี
เดก็ จะตัดสินจริยธรรม โดยใช้ผลท่ตี นไดร้ ับเป็นเกณฑ์ในกำรประเมนิ จรยิ ธรรม คือ ถำ้ เขำถกู ลงโทษ

22

เขำจะคิดวำ่ เขำทำไม่ดี ถ้ำได้รับรำงวัลกแ็ สดงวำ่ เขำทำดี เด็กท่อี ำยุตำ่ กว่ำ 10 ปี โดยทัว่ ไปจะมี
จริยธรรม
อยูใ่ นระดบั นี้ ซ่ึงแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ระยะ ดังนี้

4.1.1 ขั้นท่ี 1 หลกั กำรหลบหลีกกำรลงโทษ เป็นหลกั หรือเหตุผลของกำรกระทำ
ซง่ึ เดก็ ท่ีมอี ำยุตำ่ กวำ่ 7 ขวบใช้มำก เขำจะมพี ฤติกรรมต่ำงๆ ในลักษณะมุง่ ท่ีจะหลบหลีกไมใ่ ห้
ตนเองต้องถูกลงโทษ เพรำะกลวั ว่ำตนเองจะเจ็บหรือลำบำก เด็กจะยอมทำตำมคำสัง่ หรือกฎเกณฑ์
ของผใู้ หญ่ เพรำะไม่ต้องกำรให้ตนถูกลงโทษมำกกว่ำอย่ำงอนื่ เช่น ยอมสีฟนั หลงั อำหำรเพรำะกลวั
พ่อดุ หรือไมห่ ยบิ ขนมกินก่อนได้รับอนุญำตเพรำะกลัวแมต่ ี

4.1.2 ขนั้ ท่ี 2 หลักกำรแสวงหำรำงวลั ผทู้ ีม่ จี ริยธรรมในขั้นนี้ โดยทวั่ ไปจะมี
อำยุระหว่ำง 7-10 ปี เพรำะจะมีพฤติกรรมทำงจริยธรรมก็สำเหตุมำจำกว่ำต้องกำรไดป้ ระโยชน์ เลือก
กระทำพฤตกิ รรมจริยธรรมในสว่ นท่ีจะนำควำมพอใจ ควำมสุข หรอื ประโยชน์มำสูต่ น เริ่มพยำยำมทำ
เพือ่ ต้องกำรรำงวลั และร้จู กั กำรแลกเปล่ียนกันแบบเด็กๆ คือ เมือ่ เขำทำอะไรให้ฉนั ฉนั ก็ควรทำอะไร
ตอบแทนเขำบำ้ ง โดยเฉพำะสิ่งทท่ี ำน้นั ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง หรือได้รับรำงวลั ในขั้นนีบ้ ุคคล
ยังยึดตวั เองอยู่ (Egocentric) กำรจูงใจให้เด็กในวยั นก้ี ระทำควำมดี จึงควรจะใชว้ ิธีให้สัญญำวำ่ จะให้
รำงวัลหรือชมเชยมำกกวำ่ กำรข่เู ขญ็ ลงโทษ เด็กท่ีมจี ริยธรรมอยู่ในข้ันนีจ้ ะมีแรงจูงใจท่จี ะกระทำส่ิงที่
เป็นผลดแี กต่ น เชน่ เด็กหญิงจะช่วยบิดำรดน้ำตน้ ไม้เพ่ือจะได้รับคำชมเชย เดก็ ชำยจะถอดรองเท้ำ
ไมย่ ่ำดินเปน็ เทอื กเข้ำบ้ำน เพื่อมำรดำจะได้พอใจ และหำขนมอรอ่ ย ๆ ไว้ใหเ้ ขำกนิ เป็นรำงวลั

4.2 ระดบั ตำมกฎเกณฑ์ (Conventional Level) เป็นระดับจรยิ ธรรมท่สี งู ขึน้ มำ
จำกระดับแรก ผทู้ ีม่ จี ริยธรรมในระดบั น้ี อำยโุ ดยประมำณต้ังแต่ 10-16 ปี จรยิ ธรรมในระดบั น้ี
จะเปน็ ไปตำมกฎเกณฑ์ของกลุม่ ของสงั คม เขำจะเข้ำในกฎเกณฑ์ไดด้ ีข้ึน และเรม่ิ เปล่ยี นจำกกำร
ยดึ ตนเองเปน็ หลัก (Egocentric) มำยึดเกณฑ์ของสังคมเป็นหลัก แตก่ ็ต้องอำศัยกำรควบคุม
จำกภำยนอกในกำรท่จี ะทำควำมดี ละเว้นควำมชั่ว แต่รจู้ ักแสดงบทบำทตำมทส่ี ังคมกำหนดได้ และ
รู้จัก
เอำใจเขำมำใส่ใจเรำไดแ้ ล้ว รู้จักเคำรพกฎ และให้ควำมสำคัญแก่กล่มุ ถำ้ ควบคมุ ควำมประพฤตอิ ยำ่ ง
รดั กุม เขำก็จะไม่คดโกง จรยิ ธรรมในระดบั น้แี บง่ ได้เป็น 2 ข้ันต่อจำกระดับแรก คือ

4.2.1 ขั้นท่ี 3 หลกั กำรทำตำมที่คนอ่นื เห็นว่ำดี ผู้ที่มีจรยิ ธรรมในข้ันน้ีจะมอี ำยุ
ประมำณ 10-13 ปี เขำจะคำดหวังว่ำ สง่ิ ทเี่ ขำทำไปนน้ั คนอืน่ จะต้องเห็นวำ่ ดี หรือคำดว่ำคนอื่นเขำว่ำ
ดี
หรอื ถูกต้อง เขำจงึ จะทำพฤติกรรมนั้น บคุ คลทมี่ จี รยิ ธรรมในขน้ั น้มี ลี ักษณะไม่เป็นตัวของตัวเอง ชอบ
คล้อยตำมกำรชกั จงู ของผู้อ่ืน โดยเฉพำะเพื่อน เพ่ือใหเ้ ป็นท่ีชอบพอของเพื่อน ถำ้ อยูใ่ นสิ่งแวดล้อมที่ดี
เขำกจ็ ะเปน็ ผมู้ ีจรยิ ธรรมทด่ี ีได้

4.2.2 ขั้นท่ี 4 หลักกำรทำตำมหน้ำท่ี ผูท้ ่ีจะมจี รยิ ธรรมในขั้นนไ้ี ด้ จะมีอำยุ
ประมำณ 13-16 ปี บคุ คลท่ีมีจรยิ ธรรมในขน้ั นจี้ ะรู้ถึงบทบำทและหน้ำท่ีของตน และสำมำรถทำตำม
หนำ้ ท่ขี องตนตำมกฎเกณฑท์ ี่สังคมกำหนด เขำจะเคำรพกฎเกณฑ์ของกลมุ่ เคำรพกฎหมำย บุคคลท่ีมี

23

จริยธรรมในขัน้ นี้ถือว่ำ มีจริยธรรมท่ีดีพอควร ถ้ำคนสว่ นใหญ่ในสงั คมใดมีจริยธรรมถึงขั้นนี้แลว้ สงั คม
น้นั ก็สงบสขุ และร่มเย็น
เด็กวยั ร่นุ ในขน้ั นี้ จะตระหนักถึงบทบำท และหน้ำที่ของตนเองในกล่มุ
ตำ่ งๆ และมีศรัทธำต่อกฎเกณฑ์ของกลมุ่ มำกพอสมควร ฉะน้นั จึงจำเป็นทีผ่ ู้ทเี่ ป็นพอ่ แม่ ครูผู้ปกครอง
จะได้ดูแลแนะนำใหเ้ ดก็ วยั รนุ่ ของตนได้เข้ำกลมุ่ ที่ดี เพื่อเด็กจะได้ทำตำมกฎเกณฑท์ ี่ดีท่เี ป็นประโยชน์
ตอ่ สงั คม

4.3 ระดับเหนือกฎเกณฑ์ ทฤษฎี (Post Conventional level) เปน็ ระดับจริยธรรม
สงู สดุ โดยท่วั ไปผทู้ ีม่ จี รยิ ธรรมข้นั น้ีได้ จะมีอำยปุ ระมำณ 16 ปีข้ึนไป คือ ควำมสำมำรถทำงควำมคิด
กำรตัดสินใจเป็นผใู้ หญ่ไดโ้ ดยสมบรู ณ์ กำรตดั สนิ คุณธรรม จริยธรรมต่ำงๆ จะมำจำกเหตุผลภำยใน
(Internal reasoning) ใชม้ ำตรฐำนของสงั คมเป็นเกณฑ์ของพฤตกิ รรมมำกกว่ำจะใชก้ ำรคิดสำนึกของ
ตนหรือควำมต้องกำรของงำนเปน็ หลักในกำรตัดสนิ บุคคลในระดบั นี้จงึ มีหลักประจำใจ และปฏิบตั ไิ ป
ตำมอุดมคติของตน ซึง่ ถือเปน็ จริยธรรมขน้ั สงู สดุ ทจี่ ะปรำกฏได้ในบุคคลทเี่ ป็นผู้ใหญ่อย่ำงสมบรู ณ์
(หมำยถงึ เปน็ ผู้ใหญ่ที่มีระดับควำมคดิ สงู และจริยธรรมสูง มิใช่เปน็ ผใู้ หญท่ ี่สูงแต่อำยุอยำ่ งเดียว)
จริยธรรมในระดบั น้แี บ่งเป็น 2 ข้ัน เช่นกัน คือ

4.3.1 ขัน้ ที่ 5 หลกั กำรทำตำมคำม่ันสัญญำ ผู้ทีม่ ีจริยธรรมในขัน้ น้จี ะมี
ลักษณะ มีเหตมุ ผี ล มีหลกั กำรมำกกวำ่ กำรใชอ้ ำรมณ์ ถือควำมสำคญั ของส่วนรวมมำกกวำ่ สว่ นตน นบั
ถือสทิ ธิและให้ควำมเสมอภำค ควำมยุติธรรมแกผ่ ู้อน่ื จะไม่ทำพฤติกรรมให้ขัดต่อสทิ ธิของผู้อื่น
สำมำรถ
ควบคมุ บังคับจิตใจของตัวเอง มิใหห้ ลงใหลไปกบั สง่ิ ยัว่ ยุได้ คือ ถือคำมัน่ สญั ญำและปณธิ ำนของตนไม่
หว่ันไหวไปกับส่งิ ย่ัวยตุ ่ำง ๆ มีควำมเคำรพตนเองและต้องกำรใหผ้ ู้อื่นเคำรพตนด้วย ผ้ทู ีม่ ีจรยิ ธรรมใน
ข้นั น้ีได้ จะมีอำยุตง้ั แต่ 16 ปขี น้ึ ไป บำงคนเรียกผูท้ ่ีมีจริยธรรมในข้นั นี้ว่ำ “ผมู้ ธี รรม (ควำมรับผดิ ชอบ)
อยู่ในหัวใจ” (Ethics of Responsibility)

4.3.2 ข้ันท่ี 6 หลกั กำรทำตำมอุดมคตสิ ำกล ผู้ทมี่ จี รยิ ธรรมในขนั้ น้ีถือว่ำเปน็
ผใู้ หญโ่ ดยสมบรู ณ์ เปน็ จริยธรรมข้นั สงู สดุ มกี ำรยืดหยุ่นจริยธรรมอยูเ่ หนือกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งปวง
สำมำรถและกล้ำทำลำยสง่ิ หน่ึงส่งิ ใดเพื่อสิ่งที่ดีกวำ่ ได้ จะไม่ยอมทำในสิง่ ที่ไม่ถูกต้องอยำ่ งแน่นอน
มกั จะทำพฤติกรรมตำ่ งๆ เพอื่ จดุ มุง่ หมำยในบัน้ ปลำย อนั เป็นอุดมคตทิ ย่ี งิ่ ใหญ่ มีควำมเสียสละ และ
ยุตธิ รรมอยำ่ งยง่ิ แมช้ ีวติ กอ็ ำจสละได้เพื่ออุดมคตนิ นั้ ๆ นอกจำกน้ียงั มหี ลักธรรมประจำใจอยำ่ ง
สมบูรณแ์ ละถูกต้อง มีควำมรู้สึกผดิ ชอบชวั่ ดีสูง เชน่ มหี ริ โิ อตัปปะ คอื ควำมละอำยแกใ่ จตนเองใน
กำรทำชัว่ แมเ้ พียงแตค่ ิดเท่ำน้ันก็จะละอำยใจแลว้ และมีควำมเกรงกลัวต่อบำป เพรำะมีควำมเชือ่ ใน
หลักสำกลวำ่ ควำมเลวนน้ั ถำ้ บคุ คลกระทำแลว้ แม้จะรอดพ้นไม่ถกู ผใู้ ดลงโทษ แตโ่ ทษที่ไดร้ บั น้ันก็คือ
ผกู้ ระทำควำมเลวนัน้ จะมีจิตใจต่ำลง



เอกสารอ้างองิ

กฤตวรรณ คำสม. (2557). เอกสารประกอบการสอน รายวิชาจิตวิทยาสาหรับครู.
สบื คน้ เมือ่ วนั ท่ี 10 ธนั วำคม 2563 จำก :

http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/17444u5W69y4i7W4i848.pdf
ดร. พำสนำ จลุ รัตน.์ (2548). จิตวิทยาการศึกษา. สืบค้นเมอื่ วนั ที่ 10 ธนั วำคม 2563

จำก : http://thesis.swu.ac.th/swuebook/h231136.pdf
old-book. (2552). บทท่ี 4 แนวคิด/ทฤษฎกี ารเรยี นรทู้ ่ีเน้นพฤติกรรมและ

กระบวนการ. สืบคน้ เมอ่ื วันท่ี 10 ธันวำคม 2563 จำก :
http://old-book.ru.ac.th/e-book/s/SE742/chapter4.pdf
stou.ac.th. (2560). จิตวทิ ยาและวทิ ยาการการเรียนรู้.
สืบค้นเมอ่ื วันที่ 10 ธนั วำคม 2563 จำก :
a-w 20303 - 1 (2-2560) (stou.ac.th)


Click to View FlipBook Version