สรุปบทเรียนที่1 เรื่อง การพัฒนาแอปพลิเคชัน ● ความหมายและลักษณะสําคัญของแอปพลิเคชัน ● ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม ● เครื่องมือที่ใช้พัฒนาแอปพลิเคชัน ● การพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนด้วย MIT APP INVENTOR ● อินเทอร์เน็ตของสรรพสื่ง(INTER OF THINGS) ● แอปพลิเคชันกับ(INTERNET OF THINGS) ● การพัฒนาระบบ IOT เบื้องต้น
สารบัญ เรื่อง สารบัญ หัวข้อที่1 ความหมายและลักษณะสําคัญ ของแอปพลิเคชัน หัวข้อที่2 ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม หัวข้อที่3 เครื่องมือที่ใช้พัฒนาแอปพลิ เคชัน หัวข้อที่4 การพัฒนาแอปพลิเคชันบนส มาร์ตโฟนด้วยMIT APP INVENTOR หัวข้อที่5 อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (INTERNET OF THINGS) หัวข้อที่6 แอปพลิเคชันกับINTERNET OF THINGS หัวข้อที่7 การพัฒนาระบบ IOT เบื้องต้น บรรณานุกรม หน้า ก 1 2-3 4-5 6-7 8-11 12-13 14-18 19
ความหมายเเละลักษณะสําคัญ ของแอปพลิเคชัน แอปพลิเคชัน คือโปรแกรม หรือ กลุ่ม ของโปรแกรม ที่ถูกออกแบบสําหรับ อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต เป็นต้น โดย ในปัจจุบันมีการพัฒนา แอปพลิเคชัน เกี่ยวกับการศึกษาออกมากมาย ซึ่ง สามารถช่วยเหลือการสอนของครูทั้งใน และนอก ชั้นเรียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และยังช่วยพัฒนาทักษะ การเรียนรู้ของผู้เรียนในด้านต่างๆ ...
ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรม ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมประกอบด้วย 1. การวิเคราะห์ปัญหา 2. การออกแบบโปรแกรม 3. การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ 4. การทดสอบและแก้ไขโปรแกรม 5. การทําเอกสารประกอบโปรแกรม 6. การบํารุงรักษาโปรแกรม การวิเคราะห์ปัญหา การวิเคราะห์ปัญหา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ 1. กําหนดวัตถุประสงค์ของงาน เพื่อพิจารณาว่าโปรแกรม ต้องทําการประมวลผลอะไรบ้าง 2. พิจารณาข้อมูลนําเข้า เพื่อให้ทราบว่าจะต้องนําข้อมูล อะไรเข้าคอมพิวเตอร์ ข้อมูลมีคุณสมบัติเป็นอย่างไร ตลอดจนถึงลักษณะและรูปแบบของข้อมูลที่จะนําเข้า 3. พิจารณาการประมวลผล เพื่อให้ทราบว่าโปรแกรมมีขั้น ตอนการประมวลผลอย่างไรและมีเงื่อนไปการประมวล ผลอะไรบ้าง 4. พิจารณาข้อสนเทศนําออก เพื่อให้ทราบว่ามีข้อสนเทศ อะไรที่จะแสดง ตลอดจนรูปแบบและสื่อที่จะใช้ในการ แสดงผล
การออกแบบโปรแกรม การออกแบบขั้นตอนการทํางานของโปรแกรมเป็นขั้นตอนที่ ใช้ เป็นแนวทางในการลงรหัสโปรแกรม ผู้ออกแบบขั้นตอน การทํางานของโปรแกรมอาจใช้เครื่องมือต่างๆ ช่วยในการ ออกแบบ อาทิเช่น คําสั่งลําลอง (Pseudocode) หรือ ผังงาน (Flow chart) การออกแบบโปรแกรมนั้นไม่ต้องพะวงกับรูป แบบคําสั่งภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ให้มุ่งความสนใจไปที่ลําดับ ขั้นตอนในการประมวลผลของโปรแกรมเท่านั้น การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ การเขียนโปรแกรมเป็นการนําเอาผลลัพธ์ของการออกแบบ โปรแกรม มาเปลี่ยนเป็นโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใด ภาษาหนึ่ง ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องให้ความสนใจต่อรูปแบบ คําสั่งและกฎเกณฑ์ของภาษาที่ใช้ เพื่อให้การประมวลผลเป็น ไปตามผลลัพธ์ที่ได้ออกแบบไว้ นอกจากนั้นผู้เขียนโปรแกรม ควรแทรกคําอธิบายการทํางานต่างๆ ลงในโปรแกรมเพื่อให้ โปรแกรมนั้นมีความกระจ่างชัดและง่ายต่อการตรวจสอบและ โปรแกรมนี้ยังใช้เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารประกอบ
เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน “การพัฒนาแอปพลิเคชั่น หรือซอฟต์แวร์ คอมพิวเตอร์นั้น อาจทําได้โดยใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ทําให้สามารถเริ่มต้นได้ ง่าย แตกต่างจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทาง วิศวกรรมอื่นๆ ที่ต้องการแรงงานและเครื่องจักร จํานวนมาก เช่น การผลิตรถยนต์ ยานพาหนะ สิ่ง ก่อสร้างขนาดใหญ่ . อย่างไรก็ตาม แอปพลิเคชันนั้นอาจมีความ ซับซ้อนมาก ดังนั้นการพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่ดี ต้องมีการวางแผนการดําเนินการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่มีผู้ ร่วมพัฒนาหลายคน ไม่เช่นนั้น อาจทําให้เกิดความ ล้มเหลวได้ เช่น การผลิตแอปพลิเคชั่นที่ไม่ตรงกับ ความต้องการของลูกค้าหรือผู้ใช้งาน ผลิตภัณฑ์มี องค์ประกอบไม่ครบตามความต้องการที่กําหนดไว้ ส่งมอบผลิตภัณฑ์ล่าช้าเกินกว่าระยะเวลาที่กําหนด ไว้ มีความผิดพลาดระหว่างทํางาน รวมถึงการ ประเมินค่าใช้จ่ายและปริมาณทรัพยากรที่ต้องใช้ คลาดเคลื่อนจากความจริงไปเป็นอย่างมาก”
การพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่น คือ การเขียนซอฟแวร์สําหรับอุปกรณ์พกพา เช่น สมาร์ทโฟน(Smart phone) และ แท็บเล็ต(Tablet) หรือพูดกันง่ายๆ คือ การทําแอพลิเคชั่นหรือการสร้างแอพลิเคชั่นสําหรับมือถือ ซึ่งผู้พัฒนาจะเขียน แอพลิเคชั่นมือถือ เพื่อใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์บางอย่างของมือถือที่มี คุณลักษณะเฉพาะ เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับลักษณะการเคลื่อนไหวของ สมาร์ทโฟน (Accelerator Sensor), GPS และข้อมูลจากเซ็นเซอร์ตัวอื่นๆ เป็นต้น ข้อเสียของการพัฒนาแอพพลิเคชั่นมือถือ คือ ผู้พัฒนาไม่สามารถนํา source code ของระบบปฎิบัติการหนึ่งไปใช้อีกระบบปฏิบัติการได้ ตัวอย่างเช่น source code ที่ใช้ทําแอพพลิเคชั่นหรือสร้างแอพพลิเคชั่นดั้งเดิมสําหรับ อุปกรณ์ Android ไม่สามารถทํางานร่วมกับ Windows Phone โปรแกรม ประยุกต์ที่ใช้เบราว์เซอร์ต้องมี equipment-agnostic เพื่อให้เบราว์เซอร์ทํางาน บนอุปกรณ์มือถือต่างๆได้ . การพัฒนาแอปพลิเคชั่นหรือผลิตภัณฑ์ทางซอฟต์แวร์นั้น สามารถนํา กระบวนการทางวิศวกรรมที่ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นมาประยุกต์ ใช้เพื่อวางแผนการดําเนินงาน ซึ่งมีขั้นตอนทั่วไปดังนี้ 1. การศึกษาความต้องการ – แอปพลิเคชั่นถูกสร้างขึ้นตามความต้องการ และเพื่อแก้ปัญหาของลูกค้าหรือผู้ใช้ ผู้พัฒนาต้องทราบความต้องการ หรือปัญหาก่อนดําเนินการออกแบบ ซึ่งจะได้ข้อกําหนดที่เป็นคุณสมบัติ ต่างๆ ของแอปพลิเคชั่น ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้ พัฒนา เพื่อให้ได้ความต้องการของลูกค้าหรือผู้ใช้ที่แท้จริง เพราะอาจมี การสื่อสารความต้องการที่คลาดเคลื่อน 2. การออกแบบ – เป็นหัวใจสําคัญในการพัฒนาแอปพลิเคชั่น ซึ่งค่อนข้าง มีความซับซ้อนและมีรายละเอียดจํานวนมาก ต้องอาศัยแนวคิดเชิง คํานวณมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบอย่างเป็นระบบ ผลจากการออกแบบ จะได้เป็นโครงร่างของแอปพลิเคชั่นที่มีส่วนประกอบย่อยที่มีการกําหนด หน้าที่การทํางานไว้ 3. การลงมือพัฒนา – ผู้พัฒนาหรือโปรแกรมเมอร์ (programmer) ลงมือ เขียนคําสั่งในส่วนประกอบย่อยที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งอาจพบข้อจํากัดหรือข้อ บกพร่องจากขั้นตอนการออกแบบ หรือขั้นตอนศึกษาความต้องการ จึง เป็นเรื่องปกติที่ต้องย้อนกลับไปแก้ไขการออกแบบหรือศึกษาความ ต้องการ 4. การทดสอบ – เป็นการตรวจสอบคุณภาพของแอปพลิเคชั่น เพื่อค้นหาข้อ ผิดพลาดที่มีอยู่ระหว่างที่แอปพลิเคชั่นทํางาน และสร้างความมั่นใจแอป พลิเคชั่นทํางานได้ถูกต้องและตรงความต้องการอย่างแท้จริง หากพบข้อ ผิดพลาด ต้องทําการปรับปรุง แก้ไข และทดสอบซํ้า เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิด พลาดระหว่างการใช้งานจริง ซึ่งอาจทําให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ตามมา
การพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนด้วย MIT App Inventor MIT App Inventor คือโปรแกรมที่มีการเข้าใช้งานได้บน Website appinventor.mit.edu โดยสามารถเข้าใช้งานได้ฟรีไม่มี ค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดครับ MIT App Inventor เป็นอีกโปรแกรมที่ ได้รับความนิยมอย่างสูงในหลายโรงเรียนชั้นนําในต่างประเทศ โดยจะนิยมใช้เป็นสื่อการสอนให้กับเด็กนักเรียนเพื่อทําความ เข้าใจทักษะในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แน่นอนนะครับว่า ทักษะการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นอีกทักษะที่ คนทํางาน นักเรียนนักศึกษา จําเป็นต้องมีในโลกอนาคตครับ MIT App Inventor จึงเป็นอีกโปรแกรมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แม้จะไม่ มีความชํานาญในการเขียนโปรแกรมมาก่อน
ที่สําคัญ MIT App Inventor ยังมีโครงการจัดประกวดผลงาน แอพพลิเคชั่นบนมือถือ Android อยู่เป็นประจําและมีตัวอย่าง แอพพลิเคชั่นบนมือถือ Android ให้ผู้อ่านได้ติดตามอยู่เสมอ จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นโปรแกรมที่ใช้งานได้ฟรี และไม่ต้อง เขียนโปรแกรม ก็สามารถสร้าง แอพพลิเคชั่น บนมือถือ Android ที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ กล่าวโดยสรุปแล้ว MIT App Inventor เป็นอีกโปรแกรมที่ทุกท่านที่มีความสนใจ ในการเขียนโปรแกรม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธุรกิจ SME หรือ ธุรกิจ Start UP ที่จําเป็นอย่างยิ่งในการส่งเสริมศักยภาพของ สังคมไทยในปัจจุบันและอนาคต หรือจะเป็นการสอนให้เด็ก นักเรียน นักศึกษาทุกระดับชั้น ได้เรียนรู้ทักษะการเขียน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่น่าสนใจ และไม่ซํบซ้อน ที่ จะส่งผลให้ นักเรียน นักศึกษา สามารถต่อยอดความรู้ที่ได้รับ เพื่อสร้างผลงานด้วยตนเองได้เป็นอย่างดี ผู้เขียนจึงหวังว่า MIT App Inventor จะเป็นอีกโปรแกรมที่ช่วยส่งเสริมและเติมเต็ม ความฝันของทุกท่านได้
อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (INTERNET OF THINGS) อินเทอร์เน็ตกําเนิดขึ้นครั้งแรกในประเทศ สหรัฐอเมริกา ในปี 1969 โดยองค์กรทางทหาร ของ สหรัฐอเมริกา ชื่อว่า ยู.เอส.ดีเฟนซ์ ดีพาร์ทเมนท์ (U.S. Defence Department) เป็นผู้คิดค้นระบบ ขึ้นมา มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้มีระบบเครือข่ายที่ไม่ มีวันตายแม้จะมีสงคราม ระบบการสื่อสารถูกทําลาย หรือตัดขาด แต่ระบบเครือข่ายแบบนี้ยังทํางานได้ ในปี 1999 Kevin Ashton บิดาแห่ง Internet of Things เขาได้นําเสนอโครงการที่ชื่อว่า Auto-ID Center ต่อยอดมาจากเทคโนโลยี RFID ที่ในขณะ นั้นถือเป็นมาตรฐานโลกสําหรับการจับสัญญาณ เซ็นเซอร์ต่าง ๆ (RFID Sensors) ตัวเซ็น เซอร์เหล่านั้นสามารถทําให้มันพูดคุยเชื่อมต่อกัน ได้ผ่านระบบ Auto-ID ของเขา โดยการบรรยายให้ กับ P&G ในครั้งนั้น Kevin ก็ได้ใช้คําว่า Internet of Things ในสไลด์การบรรยายของเขาเป็นครั้ง แรก โดย Kevin นิยามเอาไว้ตอนนั้นว่าอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ ใด ๆ ก็ตามที่สามารถสื่อสารกันได้ ก็ถือเป็นอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง
อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง หรือ Internet of Things (IoT) (บางทีเรียก IoE : Internet of Everything) หรือ “อินเทอร์เน็ตสําหรับทุกสิ่ง” เป็นการที่สิ่งของต่าง ๆ รอบตัวเรา ถูกเชื่อมโยง สู่ โลกอินเทอร์เน็ต ทําให้เราสามารถ สั่งการ ควบคุม การใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านทางเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต เช่น การเปิด-ปิด อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า การสั่งงานกล้องวงจรปิดภายในบ้านระยะไกล การ เปิดปิดม่านภายในบ้าน หรือแม้แต่การทําฟาร์ม เกษตรด้วยอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง ภาพที่ 1 การควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสมาร์ตโฟน
ความสามารถในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่หลากหลาย เข้ากับโครงข่ายอินเทอร์เน็ต เปิดโอกาสให้มีการ ประยุกต์ใช้งานที่หลากหลายและกว้างขวางมาก โดย รูปแบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่าง ๆ จํานวน มากเข้ากับโครงข่าย จะช่วยให้สามารถตรวจวัดข้อมูล ที่หลากหลายประเภท ได้เป็นจํานวนมาก และช่วยให้ สามารถนําข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์และแสดงผล แบบกราฟิกเพื่อช่วยในการตัดสินใจได้ อินเทอร์เน็ต แห่งสรรพสิ่งเข้ามามีบทบาทในด้านต่าง ๆ มากมาย
อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่งเป็นการเชื่อมต่อสิ่งรอบ ๆ ตัวเราอํานวยความสะดวกให้ กับมนุษย์ ทําให้คุณภาพชีวิตสูงขึ้นและลดการสูญเสียเวลาในการทํากิจกรรมต่าง ๆ เนื่องจากปัจจุบันเวลาถือเป็นสิ่งสําคัญยิ่ง แต่แนวคิดดังกล่าวหากไม่มีการควบคุม รักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ ก็จะกลายเป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพสามารถเข้าถึง ความเป็นส่วนตัว และแนวทางการดําเนินของผู้ใช้ระบบได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินเป็นอย่างมาก ในอนาคตเราจะสามารถควบคุมการทํางานของสิ่งของทุก ๆ อย่างรอบตัวได้ง่าย ๆ ผ่านสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ต ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอิน เทอร์เน็ตคือเรื่องของการจัดการกับข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบหลังบ้าน ระบบ หน้าบ้าน และการจัดการกับข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์ ต่าง ๆ การถูกตรวจสอบ การ ดักฟัง หรือการควบคุมการใช้บริการ ผู้ใช้งาน ควรป้องกันความเสี่ยงเหล่านนี้ที่อาจจะ เกิดขึ้น และต้องประเมินความเสี่ยงในโลกจริงด้วย รวมถึงตั้งคําถามต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับการใช้งานอุปกรณ์ อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง และระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะตัดสินใจนําเข้าไปใช้อย่างเป็น เพื่อทําให้อุปกรณ์เหล่านี้มีมาตรฐานความ ปลอดภัยที่ดีและทําให้ผู้ใช้สามารถวางใจได้ว่ามีความปลอดภัยจากภัยคุกคามต่าง ๆ ที่เป็นไปได้เหล่านี้ ภาพที่ 2 การควบคุมอุปกรณ์ในบ้าน ด้วยสมาร์ตโฟน
แอปพลิเคชันกับINTERNET OF THINGS Internet of Things (IoT) คือ การที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเชื่อม โยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องป้อนข้อมูล การเชื่อมโยง นี้ง่ายจนทําให้เราสามารถสั่งการควบคุมการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ ไปจนถึงการเชื่อมโยงการใช้งานอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเข้ากับการใช้งานอื่นๆ จน เกิดเป็นบรรดา Smart ต่างๆ ได้แก่ Smart Device, Smart Grid, Smart Home, Smart Network, Smart Intelligent Transportation ทั้งหลายที่เรา เคยได้ยินนั่นเอง ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเพียงสื่อ กลางในการส่งและแสดงข้อมูลเท่านั้น กล่าวได้ว่า Internet of Things นี้ได้แก่การเชื่อมโยงของอุปกรณ์อัจฉริยะ ทั้งหลายผ่านอินเทอร์เน็ตที่เรานึกออก เช่น แอปพลิเคชัน แว่นตากูเกิลกลาส รองเท้าวิ่งที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลการวิ่ง ทั้งความเร็ว ระยะทาง สถานที่ และ สถิติได้ นอกจากนั้น Cloud Storage หรือ บริการรับฝากไฟล์และประมวลผล ข้อมูลของคุณผ่านทางออนไลน์ หรือเราเรียกอีกอย่างว่า แหล่งเก็บข้อมูลบนก้อน เมฆ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราใช้งานบ่อยๆแต่ไม่รู้ว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบของ Internet of Things สมัยนี้ผู้ใช้นิยมเก็บข้อมูลไว้ในก้อนเมฆมากขึ้น เนื่องจากมี ข้อดีหลายประการ คือ ไม่ต้องกลัวข้อมูลสูญหายหรือถูกโจรกรรม ทั้งยังสามารถ กําหนดให้เป็นแบบส่วนตัวหรือสาธารณะก็ได้ เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาด้วย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต แถมยังมีพื้นที่ใช้สอย มาก มีให้เลือกหลากหลาย ช่วยเราประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย !!
การประยุกต์ใช้ Internet of Things (IoT) ความสามารถในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่หลากหลาย เข้ากับโครงข่ายอินเทอร์เน็ตเปิดโอกาสให้มีการ ประยุกต์ใช้งานที่หลากหลายและกว้างขวางมาก โดยรูป แบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่างๆ จํานวนมากเข้า กับโครงข่าย จะช่วยให้สามารถตรวจวัดข้อมูลที่หลาก ประเภทประเภทได้เป็นจํานวนมาก และช่วยให้สามารถนํา ข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์และแสดงผลแบบกราฟฟิกเพื่อ ใช้ในการตัดสินใจได้ เมื่อนําระบบดังกล่าวผนวกเข้ากับ ระบบ Big Data จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่มีความ ซับซ้อน มีจํานวนมาก และ ทันเหตุการณ์ (real-time) ตัวอย่างของการประยุกต์ใช้งาน Internet of Things มีดัง ต่อไปนี้
การพัฒนาระบบ IOT เบื้องต้น การใช้ประโยชน์ของข้อมูลด้วยการเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์ ได้มีการนํามาใช้ ในการพัฒนาการเรียนการสอนในประเทศอังกฤษ โดยรัฐบาลอังกฤษให้ งบประมาณ 1.2 ล้านดอลล่า เพื่อสนับสนุนการศึกษาเพื่อนํา IoT มาใช้ พัฒนาการศึกษาในโรงเรียนด้านวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ออกแบบ เทคโนโลยี และ ภูมิศาสตร์ มีโครงการสร้างเครื่องตรวจจับสภาพภูมิอากาศ ขึ้น (weather station) เพื่อให้ครูและนักเรียน เรียนรู้การสังเกต วัดค่า เก็บ ข้อมูล วิเคราะห์ผล ประมวลผล เปรียบเทียบและแบ่งปันข้อมูลระหว่าง โรงเรียนต่างๆทั่วประเทศ นักเรียนสามารถเรียนรู้ความแตกต่างของข้อมูล สภาพดินฟ้าอากาศในภูมิประเทศที่แตกต่างกันกระจายอยู่ทั่วประเทศ รู้เหตุ ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง รู้เรื่องกราฟ และตัวเลข การศึกษาค้นพบ ว่าการใช้ IoT สามารถสนับสนุนการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated Instruction) เช่น STEM หรือ การใช้ปัญหาเป็นหลัก PBL (Problem-based learning)
การนํา IoT มาใช้กับการศึกษา ปัจจุบันได้มีการนํา IoT มาใช้ในหลากหลายรูปแบบ แต่โดยส่วน ใหญ่จะไม่ได้ใช้โดยตรงกับการเรียนการสอน แต่จะเป็นการนํา มาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยสร้างประสบการณ์ หรือนําเสนอข้อมูลใน สถานการณ์นอกห้องเรียน Informal learning environment เช่น ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์สามารถใช้สมาร์ทโฟนรับคําอธิบาย ต่างๆเกี่ยวกับวัตถุจัดแสดงได้ โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่มายืน อธิบายให้ฟัง เราสามารถใช้สมาร์ทโฟนสแกนที่สมาร์ทแท็ก Smart tags เช่น QR code, RFID (Radio-frequency identification), NFC (Near field communication) หรือ ใช้ เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) โดยเราสามารถเห็น ข้อมูลส่วนขยายแบบสามมิติควบคู่ไปกับวัตถุจัดแสดงในเวลา เดียวกัน เราสามารถใช้สมาร์ทโฟนเข้าถึงข้อมูลประวัติศาสตร์ ของวัตถุโบราณ โบราณสถาน อาคาร สิ่งปลูกสร้าง
การใช้สมาร์ทแท็ก และ AR ในการจัดการเรียนการ สอนนั้นจริงๆแล้วได้มีการศึกษาและวิจัยกันมาอย่างต่อ เนื่อง เพราะจริงๆแล้วการจัดการเรียนการสอนด้วย เทคโนโลยีดังกล่าวแตกแขนงออกมาจากการศึกษาใน กลุ่มของ Ubiquitous computing/ Pervasive computing ที่พูดถึงการเชื่อมต่อสื่อสารของ คอมพิวเตอร์ที่ฝังตัวอยู่ในสิ่งต่างๆรอบตัวในชีวิต ประจําวัน คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กนี้จะเชื่อมต่อกับ เซนเซอร์ Sensors เพื่อเก็บข้อมูลสิ่งต่างๆรอบตัวเรา จะสื่อสารกันได้ทุกที่ ทําให้เราไม่หลุดจากการเชื่อมต่อ และสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลและการเชื่อมต่อนี้ ได้ตลอดเวลา เมื่อเรานํา Ubiquitous computing มาประยุกต์กับ การเรียนการสอน จึงเกิดคําจํากัดความใหม่คือ Ubiquitous learning มีความหมายถึงการจัดการ เรียนการสอนผ่านเครือข่ายไร้สายกับของทุกสิ่ง ทุกที่ ทุกเวลา (anything, anywhere, anytime)ด้วย Ubiquitous computing เช่น คอมพิวเตอร์ สมองกล ฝังตัว (Embedding computer) ไมโครคอน โทรลเลอร์ (MCU) สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต และรวมถึง การใช้ประโยชน์จากข้อมูลของสมาร์ทแท็กด้วย
เมื่อเรามาถึงยุกต์ของ IoT กับการเน้นการเชื่อมต่อสื่อสารกับ ของสิ่งของต่างๆ (physical objects) ที่สามารถคิดเองได้ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ดังนั้น IoT จึงสามารถขยาย ขอบเขตของการเรียนรู้ได้มากขึ้น ทั้งในด้านการใช้ ประโยชน์ของข้อมูลที่กระจายอยู่ที่ต่างๆ (pervasive data integration) และ การเชื่อมโยงข้อมูลแบบไร้ข้อจํากัดผ่าน เครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือเครือข่ายไร้สายอื่นๆในอนาคต (modern network communication) เช่น Low-Power Wide-Area Network (LPWAN) หรือที่เรารู้จักกันว่า LoRa
การใช้ประโยชน์ของข้อมูลด้วยการเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์ ได้มีการนํา มาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนในประเทศอังกฤษ โดยรัฐบาล อังกฤษให้งบประมาณ 1.2 ล้านดอลล่า เพื่อสนับสนุนการศึกษาเพื่อนํา IoT มาใช้พัฒนาการศึกษาในโรงเรียนด้านวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ออกแบบ เทคโนโลยี และ ภูมิศาสตร์ มีโครงการสร้าง เครื่องตรวจจับสภาพภูมิอากาศขึ้น (weather station) เพื่อให้ครูและ นักเรียน เรียนรู้การสังเกต วัดค่า เก็บข้อมูล วิเคราะห์ผล ประมวลผล เปรียบเทียบและแบ่งปันข้อมูลระหว่างโรงเรียนต่างๆทั่วประเทศ นักเรียนสามารถเรียนรู้ความแตกต่างของข้อมูลสภาพดินฟ้าอากาศใน ภูมิประเทศที่แตกต่างกันกระจายอยู่ทั่วประเทศ รู้เหตุปัจจัยที่มีผลต่อ การเปลี่ยนแปลง รู้เรื่องกราฟ และตัวเลข การศึกษาค้นพบว่าการใช้ IoT สามารถสนับสนุนการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated Instruction) เช่น STEM หรือ การใช้ปัญหาเป็นหลัก PBL (Problem-based learning)
บรรณานุกรม หนังสือเล่มเทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) http://km.prd.go.th/iot-platform/ แอปพลิ เคชันกับINTERNET OF THINGS medium.com/@pruet19/พัฒนาการศึกษา ด้วย-iot-education-development-with-th e-internet-of-things-1b0bad7d399 การ พัฒนาระบบ IOT เบื้องต้น https://anyflip.com/center/flips/book.ph p?cid=3146528 แอปที่ใช้ทําE-Book
ผู้จัดทํา นายปิยบุตร น้อยสนธิ 30506