The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สัตว์เศรษฐกิจ-906

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สัตว์เศรษฐกิจ E magazine, 2023-07-16 08:25:45

Livestock Production Magazine 906

สัตว์เศรษฐกิจ-906

LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE ข า ว ส า ร แ ล ะ ส า ร ะ ส ํา ห รั บ ว ง ก า ร เ ลี้ ย ง สั ต ว https://livestockemag.com/ สัตวเศรษฐกิจ ป 39 ฉบับที่ 906 กรกฎาคม 2566 https://livestockemag.com/ ผูเลี้ยงรองรัฐเรงแกปญหาราคา หมูตกตํ่า... กอนลมสลาย แกปญหาวัตถุดิบ... เทากับแกตนทุนผูเลี้ยง เปดฟารมไกไขอารมณดี สวนลุงวุฒิ “เกษตรกรดีเดนแหงชาติดานการเลี้ยงสัตว” มองไปขางหนา...อาหารสัตวไทย ผูเลี้ยงรองรัฐเรงแกปญหาราคา หมูตกตํ่า... กอนลมสลาย แกปญหาวัตถุดิบ... เทากับแกตนทุนผูเลี้ยง เปดฟารมไกไขอารมณดี สวนลุงวุฒิ “เกษตรกรดีเดนแหงชาติดานการเลี้ยงสัตว” มองไปขางหนา...อาหารสัตวไทย


4 สัตวเศรษฐกิจ ขาวสารและสาระสําหรับวงการเลี้ยงสัตว Å‹ÒÊØ´ DSI ÃѺ໚¹¤´Õ¾ÔàÈÉ ¾ÃŒÍÁáÍ硪Ñè¹àÃçÇ à¢ŒÒແ´µÙŒµÃǨÊͺ¢Í§¡ÅÒ§·Ñ¹·ÕÀÒÂã¹äÁ‹¡ÕèÇѹ·ÕèÃѺàÃ×èͧ ·íÒãËŒ Êѧ¤Áä´ŒàË繪×èͺÃÔÉÑ·¼ÙŒ¹íÒࢌҷÕèÁÕàÍÕèÂǡѺ¤´Õ¹ÕéáŌǶ֧ 11 ºÃÔÉÑ· ËÁÙà¶×è͹ ໚¹ÁËҡҾÂÒǹҹÁҡNjҢǺ»‚ áÅлзØà»š¹¡ÃÐáÊãËŒÊѧ¤Áµ×è¹µ¡ã¨¤ÃÑé§ãËÞ‹ã¹à´×͹àÁÉÒ¹ 66 àÁ×èÍ¡ÃÁÈØÅ¡Ò¡ÃÂÍÁÃÑºÇ‹Ò ¾ºµÙŒ¤Í¹à·¹à¹ÍϺÃèØËÁÙà¶×è͹¨íҹǹÁËÒÈÒŶ֧ 4 Ōҹ 5 áʹ¡ÔâÅ¡ÃÑÁµ¡¤ŒÒ§ ÍÂÙ‹ã¹·‹ÒàÃ×ÍáËÅÁ©ºÑ§¶Ö§ 161 µÙŒ áÅСÒÃÊ׺ÊǹÊͺÊǹà¾×èÍÊÒÇä»ãËŒ¶Ö§µŒ¹µÍ¼ÙŒº§¡ÒùíÒࢌÒËÁÙà¶×è͹ÂÔè§·ÇÕ¤ÇÒÁ µ×è¹àµŒ¹¢Öé¹ÍÕ¡ àÁ×èÍ DSI ÃѺ໚¹¤´Õ¾ÔàÈÉ ¾ÃŒÍÁáÍ硪Ñè¹àÃçÇ à¢ŒÒແ´µÙŒµÃǨÊͺ¢Í§¡ÅÒ§·Ñ¹·ÕÀÒÂã¹äÁ‹¡ÕèÇѹ·ÕèÃѺ àÃ×èͧ ·íÒãËŒÊѧ¤Áä´ŒàË繪×èͺÃÔÉÑ·¼ÙŒ¹íÒࢌҷÕèÁÕàÍÕèÂǡѺ¤´Õ¹ÕéáŌǶ֧ 11 ºÃÔÉÑ· ¡ÒÃແ´µÙŒ¢Í§¡ÅÒ§àÁ×èÍÇѹ·Õè 5 ¡Ã¡®Ò¤Á 66 ·Õ輋ҹÁÒ ÊзŒÍ¹¡Ò÷íÒ§Ò¹¢Í§ DSI ·ÕèÃÇ´àÃçÇ áÁ‹¹ÂíÒ áÅÐ ¨ÃÔ§¨Ñ§ ¤Ò´Ç‹ÒäÁ‹à¡Ô¹ 2 ÊÑ»´Òˏ¨ÐÊÒÁÒöແ´µÙŒä´Œ·Ñé§ËÁ´ ·íÒãËŒ¼ÙŒá·¹à¡ÉµÃ¡Ã¶Ö§¡Ñºà͋»ҡNjÒäÁ‹µŒÍ§Ë‹Ç§ ËÁÙà¶×è͹ ³ áËÅÁ©ºÑ§ÍÕ¡áÅŒÇ à¾ÃÒÐÁѹÍÂً㹤ÇÒÁ´ÙáŢͧ DSI ·ÕèÊÒÁÒö㪌ÇÔ¸Õ¾ÔàÈÉ·ÐÅØ·ÐÅǧ仨¹¶Ö§¼ÙŒº§¡Òà äÁ‹Ç‹Ò¨Ð໚¹¼ÙŒÁÕÍÔ·¸Ô¾Åᤋä˹¡ç¤§¹Ñè§äÁ‹µÔ´à¡ŒÒÍÕé ᵋ·ÕèÂѧ¹‹Òˋǧ¤×Í·Õè·‹ÒàÃ×ͤÅͧàµÂ ·‹ÒàÃ×ͻҡ¹éíÒÃйͧ ·‹ÒàÃ×Í ¨Ñ§ËÇѴʵÙÅ ·‹ÒàÃ×Íʧ¢ÅÒ áÅÐÍÕ¡ËÅÒÂáË‹§ ÃÇÁ¶Ö§´‹Ò¹ªÒÂá´¹·ÑèÇ»ÃÐà·È à¾ÃÒÐËÁÙà¶×è͹·ÕèáËÅÁ©ºÑ§¹Õé໚¹à¾Õ§ 3-5% ¢Í§ËÁÙà¶×è͹·ÕèÃкҴÍÂÙ‹ã¹»ÃÐà·Èà·‹Ò¹Ñé¹ ÍÕ¡àÃ×èͧ·Õ蹋ÒˋǧäÁ‹¹ŒÍ¤×Í¡ÒþºÇ‹ÒËÁÙà¶×è͹㹵ٌ¢Í§¡ÅÒ§¹Ñé¹ÁÕäÁ‹àµçÁµÙŒ à¾ÃÒÐâ´Â»¡µÔáŌǡÒâ¹Ê‹§ÊÔ¹¤ŒÒ ¢ŒÒÁ¹éíÒ¢ŒÒÁ·ÐàÅÁÒä¡Å¨Ò¡ºÃÒ«ÔÅ ÍÒÏਹµÔ¹Ò àÂÍÃÁ¹Õ ŌǹÁÕ¤‹Ò㪌¨‹ÒÂÊÙ§ ᷺໚¹ä»äÁ‹ä´Œ·Õè¼ÙŒ¹íÒࢌҨÐäÁ‹ãªŒ ·Ø¡µÒÃÒ§¹ÔéÇã¹µÙŒ¢¹Ê‹§ÊÔ¹¤ŒÒãËŒ¤ØŒÁ¤‹Ò áÅФ§äÁ‹§‹Ò¹ѡ·Õè¨ÐºÍ¡Ç‹Ò ਌Ò˹ŒÒ·ÕèÊÒÁÒöµÃǨÊͺ¹éíÒ˹ѡáÅШíҹǹ ËպˋͷÕèᨌ§äÇŒã¹àÍ¡ÊÒùíÒà¢ŒÒ à·Õº¡Ñº¢Í§¨ÃÔ§·ÕèÁÕ㹵ٌ䴌 à¾ÃÒзÕ輋ҹÁÒ»ÃÐàÀ·ÊÔ¹¤ŒÒ·ÕèÊíÒá´§ã¹àÍ¡ÊÒÃÇ‹Ò໚¹ »ÅÒ᪋á¢ç§ ᵋແ´ÍÍ¡ÁÒ¡ÅѺ¡ÅÒÂ໚¹ “ËÁÙà¶×è͹” ¡çÁÕãËŒàË繡ѹÍÂÙ‹äÁ‹¹ŒÍ «Öè§ËÒ¡¢Í§¡ÅÒ§ËÒÂ仨ҡ¾×é¹·Õè ÍÒÃÑ¡¢Ò¢Í§¡ÃÁÈØÅ¡Ò¡Ã¨ÃÔ§æ ¤§äÁ‹ãª‹àÃ×èͧàÅç¡æ áÅФ§µŒÍ§µÒÁËҡѹ¡ãËÞ‹Ç‹Ò ¢Í§¡ÅÒ§ËÒÂä»ä˹ ËÒÂä» ´ŒÇÂÇÔ¸Õã´ Åͧ¤Ô´´ÙÇ‹Ò ËÒ¡¢Í§¡ÅÒ§´Ñ§¡Å‹ÒÇËÒÂä» à¾ÃÒÐÁÕ¡ÒÃÂѡŒÒ¶‹ÒÂà·Í͡仨íÒ˹‹Ò»л¹¡ÑºËÁÙä·Âã¹ ·ŒÍ§µÅÒ´ ¨ÐÂÔè§à»š¹ËÒ¹ÐÍÕ¡¢ŒÍ·Õ蹋ÒÊоÃÖ§ à¾ÃÒÐËÁÙà¶×è͹àËŋҹÕé໚¹ËÁÙ·ÕèËÁ´ÍÒÂØµÑé§áµ‹»‚·ÕèáÅŒÇ ¸ÃÃÁªÒµÔ¢Í§¤¹ä·Â¨ÐºÃÔâÀ¤ËÁÙªÔÅ´ ËÃ×ÍËÁÙ᪋àÂç¹·ÕèªíÒáËÅСѹÇѹµ‹ÍÇѹ äÁ‹¹ÔÂÁºÃÔâÀ¤ËÁÙ᪋á¢ç§ ᵋ ËÁÙà¶×è͹໚¹ËÁÙ¤ŒÒ§»‚ ·íÒ¡ÒêíÒáËÅÐÁÒáÅŒÇäÁ‹µèíÒ¡Ç‹Ò 1-2 »‚ ᪋ÍÂÙ‹ã¹µÙŒàÂç¹·ÕèäÁ‹ÃٌNjÒÍØ³ËÀÙÁÔµèíҾͷÕè¨ÐÂѺÂÑé§¡Òà à¨ÃÔÞàµÔºâµ¢Í§àª×éÍâäËÃ×Íàª×éÍẤ·ÕàÃÕµ‹Ò§æ ä´ŒËÃ×ÍäÁ‹ ¡ÒÃá·Ã¡µÑÇࢌҵÅÒ´¢Í§ËÁÙ¡ÅØ‹Á¹Õé¨Ö§ÁÑ¡ÍÍ¡ÁÒã¹ÃÙ» ¢Í§ËÁÙÊäÅ´Ê‹§à¢ŒÒµÒÁÌҹÍÒËÒà ËÃ×Íâç§Ò¹á»ÃÃÙ» ઋ¹ äÊŒ¡ÃÍ¡ ¡Ø¹àªÕ§ à·‹Ò¹Õé¡çá·ºäÁ‹ÁÕ·Ò§´ÙÍÍ¡àÅÂÇ‹Ò ¡íÒÅѧʋ§ËÁÙËÁ´ÍÒÂØãËŒ¤¹ä·Â¡Ô¹ «Ö觤§µŒÍ§¢Öé¹ÍÂÙ‹¡Ñº “¤Ø³¸ÃÃÁã¹ã¨” ¢Í§¼ÙŒ»ÃСͺ¡ÒÃ·Ø¡æ ¢Ñé¹ã¹Ë‹Ç§â«‹¡ÒüÅÔµ ÍÒËÒÃÇ‹Ò ¨Ð¤íÒ¹Ö§¶Ö§¡íÒäâͧµ¹ËÃ×ÍˋǧãÂã¹ÊØ¢ÀÒ¾¢Í§ÅÙ¡¤ŒÒÁÒ¡¡Ç‹Ò¡Ñ¹ â»Ã´Í‹ÒÅ×ÁNjҤÃͺ¤ÃÑÇ ÅÙ¡ËÅÒ¹ áÅФ¹·Õè·‹Ò¹ÃÑ¡¹Ñè¹Å‹Ð·Õè໚¹¤¹ºÃÔâÀ¤ËÁÙ ¹Í¡¨Ò¡¹Õé ËÁÙà¶×è͹ºÒ§¡Å‹Í§ÂÑ§ÊØ‹ÁµÃǨáŌǾºàª×éÍ«ÒÅâÁà¹ÅÅÒ·ÕèÍѹµÃÒµ‹Í¼ÙŒºÃÔâÀ¤ ÃÇÁ¶Ö§Âѧà¤Â¾ºàª×éÍ ASF ·ÕèÍѹµÃÒÂÊØ´æ ¡ÑºÊء÷ءµÑÇ ´Ñ§¹Ñé¹ ÊÔè§·Õ赌ͧÃͤͨҡ¹Õé ¤×Í¡Ò÷íÒÅÒÂËÁÙà¶×è͹¤ÃÑé§»ÃÐÇѵÔÈÒʵÏ 4,500 µÑ¹¨Ò¡·Ñé§ 161 µÙŒ ·Õè “¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ” ¨ÐµŒÍ§·íÒ˹ŒÒ·Õè਌ÒÀÒ¾¨Ñ´¡Ò÷íÒÅÒµÒÁËÅÑ¡ÇÔªÒ¡ÒÃâ´ÂàÃçÇ à¾×èÍ»‡Í§¡Ñ¹ ¡ÒÃá¾Ã‹¡ÃШÒ¢ͧàª×éÍâä áÅл´ª‹Í§¡ÒÃÂѡŒÒ¶‹ÒÂà·ËÁÙà¶×è͹ÍÍ¡ÊÙ‹µÅÒ´ «Öè§à·‹Ò¡Ñºà»š¹¡Òû‡Í§¡Ñ¹ÊØ¢ÀÒ¾ ¢Í§¤¹ä·ÂãËŒ»ÅÍ´ÀѨҡËÁÙà¶×è͹ËÁ´ÍÒÂØáÅл¹à»„œÍ¹àª×éÍâä仴ŒÇÂã¹µÑÇ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE หมูเถื่อนหมดอายุ … หายนะคนไทย


4 สัตวเศรษฐกิจ ขาวสารและสาระสําหรับวงการเลี้ยงสัตว Å‹ÒÊØ´ DSI ÃѺ໚¹¤´Õ¾ÔàÈÉ ¾ÃŒÍÁáÍ硪Ñè¹àÃçÇ à¢ŒÒແ´µÙŒµÃǨÊͺ¢Í§¡ÅÒ§·Ñ¹·ÕÀÒÂã¹äÁ‹¡ÕèÇѹ·ÕèÃѺàÃ×èͧ ·íÒãËŒ Êѧ¤Áä´ŒàË繪×èͺÃÔÉÑ·¼ÙŒ¹íÒࢌҷÕèÁÕàÍÕèÂǡѺ¤´Õ¹ÕéáŌǶ֧ 11 ºÃÔÉÑ· ËÁÙà¶×è͹ ໚¹ÁËҡҾÂÒǹҹÁҡNjҢǺ»‚ áÅлзØà»š¹¡ÃÐáÊãËŒÊѧ¤Áµ×è¹µ¡ã¨¤ÃÑé§ãËÞ‹ã¹à´×͹àÁÉÒ¹ 66 àÁ×èÍ¡ÃÁÈØÅ¡Ò¡ÃÂÍÁÃÑºÇ‹Ò ¾ºµÙŒ¤Í¹à·¹à¹ÍϺÃèØËÁÙà¶×è͹¨íҹǹÁËÒÈÒŶ֧ 4 Ōҹ 5 áʹ¡ÔâÅ¡ÃÑÁµ¡¤ŒÒ§ ÍÂÙ‹ã¹·‹ÒàÃ×ÍáËÅÁ©ºÑ§¶Ö§ 161 µÙŒ áÅСÒÃÊ׺ÊǹÊͺÊǹà¾×èÍÊÒÇä»ãËŒ¶Ö§µŒ¹µÍ¼ÙŒº§¡ÒùíÒࢌÒËÁÙà¶×è͹ÂÔè§·ÇÕ¤ÇÒÁ µ×è¹àµŒ¹¢Öé¹ÍÕ¡ àÁ×èÍ DSI ÃѺ໚¹¤´Õ¾ÔàÈÉ ¾ÃŒÍÁáÍ硪Ñè¹àÃçÇ à¢ŒÒແ´µÙŒµÃǨÊͺ¢Í§¡ÅÒ§·Ñ¹·ÕÀÒÂã¹äÁ‹¡ÕèÇѹ·ÕèÃѺ àÃ×èͧ ·íÒãËŒÊѧ¤Áä´ŒàË繪×èͺÃÔÉÑ·¼ÙŒ¹íÒࢌҷÕèÁÕàÍÕèÂǡѺ¤´Õ¹ÕéáŌǶ֧ 11 ºÃÔÉÑ· ¡ÒÃແ´µÙŒ¢Í§¡ÅÒ§àÁ×èÍÇѹ·Õè 5 ¡Ã¡®Ò¤Á 66 ·Õ輋ҹÁÒ ÊзŒÍ¹¡Ò÷íÒ§Ò¹¢Í§ DSI ·ÕèÃÇ´àÃçÇ áÁ‹¹ÂíÒ áÅÐ ¨ÃÔ§¨Ñ§ ¤Ò´Ç‹ÒäÁ‹à¡Ô¹ 2 ÊÑ»´Òˏ¨ÐÊÒÁÒöແ´µÙŒä´Œ·Ñé§ËÁ´ ·íÒãËŒ¼ÙŒá·¹à¡ÉµÃ¡Ã¶Ö§¡Ñºà͋»ҡNjÒäÁ‹µŒÍ§Ë‹Ç§ ËÁÙà¶×è͹ ³ áËÅÁ©ºÑ§ÍÕ¡áÅŒÇ à¾ÃÒÐÁѹÍÂً㹤ÇÒÁ´ÙáŢͧ DSI ·ÕèÊÒÁÒö㪌ÇÔ¸Õ¾ÔàÈÉ·ÐÅØ·ÐÅǧ仨¹¶Ö§¼ÙŒº§¡Òà äÁ‹Ç‹Ò¨Ð໚¹¼ÙŒÁÕÍÔ·¸Ô¾Åᤋä˹¡ç¤§¹Ñè§äÁ‹µÔ´à¡ŒÒÍÕé ᵋ·ÕèÂѧ¹‹Òˋǧ¤×Í·Õè·‹ÒàÃ×ͤÅͧàµÂ ·‹ÒàÃ×ͻҡ¹éíÒÃйͧ ·‹ÒàÃ×Í ¨Ñ§ËÇѴʵÙÅ ·‹ÒàÃ×Íʧ¢ÅÒ áÅÐÍÕ¡ËÅÒÂáË‹§ ÃÇÁ¶Ö§´‹Ò¹ªÒÂá´¹·ÑèÇ»ÃÐà·È à¾ÃÒÐËÁÙà¶×è͹·ÕèáËÅÁ©ºÑ§¹Õé໚¹à¾Õ§ 3-5% ¢Í§ËÁÙà¶×è͹·ÕèÃкҴÍÂÙ‹ã¹»ÃÐà·Èà·‹Ò¹Ñé¹ ÍÕ¡àÃ×èͧ·Õ蹋ÒˋǧäÁ‹¹ŒÍ¤×Í¡ÒþºÇ‹ÒËÁÙà¶×è͹㹵ٌ¢Í§¡ÅÒ§¹Ñé¹ÁÕäÁ‹àµçÁµÙŒ à¾ÃÒÐâ´Â»¡µÔáŌǡÒâ¹Ê‹§ÊÔ¹¤ŒÒ ¢ŒÒÁ¹éíÒ¢ŒÒÁ·ÐàÅÁÒä¡Å¨Ò¡ºÃÒ«ÔÅ ÍÒÏਹµÔ¹Ò àÂÍÃÁ¹Õ ŌǹÁÕ¤‹Ò㪌¨‹ÒÂÊÙ§ ᷺໚¹ä»äÁ‹ä´Œ·Õè¼ÙŒ¹íÒࢌҨÐäÁ‹ãªŒ ·Ø¡µÒÃÒ§¹ÔéÇã¹µÙŒ¢¹Ê‹§ÊÔ¹¤ŒÒãËŒ¤ØŒÁ¤‹Ò áÅФ§äÁ‹§‹Ò¹ѡ·Õè¨ÐºÍ¡Ç‹Ò ਌Ò˹ŒÒ·ÕèÊÒÁÒöµÃǨÊͺ¹éíÒ˹ѡáÅШíҹǹ ËպˋͷÕèᨌ§äÇŒã¹àÍ¡ÊÒùíÒà¢ŒÒ à·Õº¡Ñº¢Í§¨ÃÔ§·ÕèÁÕ㹵ٌ䴌 à¾ÃÒзÕ輋ҹÁÒ»ÃÐàÀ·ÊÔ¹¤ŒÒ·ÕèÊíÒá´§ã¹àÍ¡ÊÒÃÇ‹Ò໚¹ »ÅÒ᪋á¢ç§ ᵋແ´ÍÍ¡ÁÒ¡ÅѺ¡ÅÒÂ໚¹ “ËÁÙà¶×è͹” ¡çÁÕãËŒàË繡ѹÍÂÙ‹äÁ‹¹ŒÍ «Öè§ËÒ¡¢Í§¡ÅÒ§ËÒÂ仨ҡ¾×é¹·Õè ÍÒÃÑ¡¢Ò¢Í§¡ÃÁÈØÅ¡Ò¡Ã¨ÃÔ§æ ¤§äÁ‹ãª‹àÃ×èͧàÅç¡æ áÅФ§µŒÍ§µÒÁËҡѹ¡ãËÞ‹Ç‹Ò ¢Í§¡ÅÒ§ËÒÂä»ä˹ ËÒÂä» ´ŒÇÂÇÔ¸Õã´ Åͧ¤Ô´´ÙÇ‹Ò ËÒ¡¢Í§¡ÅÒ§´Ñ§¡Å‹ÒÇËÒÂä» à¾ÃÒÐÁÕ¡ÒÃÂѡŒÒ¶‹ÒÂà·Í͡仨íÒ˹‹Ò»л¹¡ÑºËÁÙä·Âã¹ ·ŒÍ§µÅÒ´ ¨ÐÂÔè§à»š¹ËÒ¹ÐÍÕ¡¢ŒÍ·Õ蹋ÒÊоÃÖ§ à¾ÃÒÐËÁÙà¶×è͹àËŋҹÕé໚¹ËÁÙ·ÕèËÁ´ÍÒÂØµÑé§áµ‹»‚·ÕèáÅŒÇ ¸ÃÃÁªÒµÔ¢Í§¤¹ä·Â¨ÐºÃÔâÀ¤ËÁÙªÔÅ´ ËÃ×ÍËÁÙ᪋àÂç¹·ÕèªíÒáËÅСѹÇѹµ‹ÍÇѹ äÁ‹¹ÔÂÁºÃÔâÀ¤ËÁÙ᪋á¢ç§ ᵋ ËÁÙà¶×è͹໚¹ËÁÙ¤ŒÒ§»‚ ·íÒ¡ÒêíÒáËÅÐÁÒáÅŒÇäÁ‹µèíÒ¡Ç‹Ò 1-2 »‚ ᪋ÍÂÙ‹ã¹µÙŒàÂç¹·ÕèäÁ‹ÃٌNjÒÍØ³ËÀÙÁÔµèíҾͷÕè¨ÐÂѺÂÑé§¡Òà à¨ÃÔÞàµÔºâµ¢Í§àª×éÍâäËÃ×Íàª×éÍẤ·ÕàÃÕµ‹Ò§æ ä´ŒËÃ×ÍäÁ‹ ¡ÒÃá·Ã¡µÑÇࢌҵÅÒ´¢Í§ËÁÙ¡ÅØ‹Á¹Õé¨Ö§ÁÑ¡ÍÍ¡ÁÒã¹ÃÙ» ¢Í§ËÁÙÊäÅ´Ê‹§à¢ŒÒµÒÁÌҹÍÒËÒà ËÃ×Íâç§Ò¹á»ÃÃÙ» ઋ¹ äÊŒ¡ÃÍ¡ ¡Ø¹àªÕ§ à·‹Ò¹Õé¡çá·ºäÁ‹ÁÕ·Ò§´ÙÍÍ¡àÅÂÇ‹Ò ¡íÒÅѧʋ§ËÁÙËÁ´ÍÒÂØãËŒ¤¹ä·Â¡Ô¹ «Ö觤§µŒÍ§¢Öé¹ÍÂÙ‹¡Ñº “¤Ø³¸ÃÃÁã¹ã¨” ¢Í§¼ÙŒ»ÃСͺ¡ÒÃ·Ø¡æ ¢Ñé¹ã¹Ë‹Ç§â«‹¡ÒüÅÔµ ÍÒËÒÃÇ‹Ò ¨Ð¤íÒ¹Ö§¶Ö§¡íÒäâͧµ¹ËÃ×ÍˋǧãÂã¹ÊØ¢ÀÒ¾¢Í§ÅÙ¡¤ŒÒÁÒ¡¡Ç‹Ò¡Ñ¹ â»Ã´Í‹ÒÅ×ÁNjҤÃͺ¤ÃÑÇ ÅÙ¡ËÅÒ¹ áÅФ¹·Õè·‹Ò¹ÃÑ¡¹Ñè¹Å‹Ð·Õè໚¹¤¹ºÃÔâÀ¤ËÁÙ ¹Í¡¨Ò¡¹Õé ËÁÙà¶×è͹ºÒ§¡Å‹Í§ÂÑ§ÊØ‹ÁµÃǨáŌǾºàª×éÍ«ÒÅâÁà¹ÅÅÒ·ÕèÍѹµÃÒµ‹Í¼ÙŒºÃÔâÀ¤ ÃÇÁ¶Ö§Âѧà¤Â¾ºàª×éÍ ASF ·ÕèÍѹµÃÒÂÊØ´æ ¡ÑºÊء÷ءµÑÇ ´Ñ§¹Ñé¹ ÊÔè§·Õ赌ͧÃͤͨҡ¹Õé ¤×Í¡Ò÷íÒÅÒÂËÁÙà¶×è͹¤ÃÑé§»ÃÐÇѵÔÈÒʵÏ 4,500 µÑ¹¨Ò¡·Ñé§ 161 µÙŒ ·Õè “¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ” ¨ÐµŒÍ§·íÒ˹ŒÒ·Õè਌ÒÀÒ¾¨Ñ´¡Ò÷íÒÅÒµÒÁËÅÑ¡ÇÔªÒ¡ÒÃâ´ÂàÃçÇ à¾×èÍ»‡Í§¡Ñ¹ ¡ÒÃá¾Ã‹¡ÃШÒ¢ͧàª×éÍâä áÅл´ª‹Í§¡ÒÃÂѡŒÒ¶‹ÒÂà·ËÁÙà¶×è͹ÍÍ¡ÊÙ‹µÅÒ´ «Öè§à·‹Ò¡Ñºà»š¹¡Òû‡Í§¡Ñ¹ÊØ¢ÀÒ¾ ¢Í§¤¹ä·ÂãËŒ»ÅÍ´ÀѨҡËÁÙà¶×è͹ËÁ´ÍÒÂØáÅл¹à»„œÍ¹àª×éÍâä仴ŒÇÂã¹µÑÇ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE หมูเถื่อนหมดอายุ … หายนะคนไทย สรŒางพันธมิตรที่ยั่งยืนกับ…. ผูŒเชี่ยวชาญดŒานเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจร อุปกรณฟารมปศุสัตว เวชภัณฑและสารเสร�ม สำหรับสัตว เพ��มผลผลิตดี กำไรงาม ครอบคลุมสินคŒาและบร�การครบวงจร เปšนพันธมิตรทางธุรกิจเพ�่อความสำเร็จที่ยั่งยืน อาหารสัตว คุณภาพ บร�การทดสอบดŒานปศุสัตว และอาหารครบวงจร บร�การฟารมและ ที่ปร�กษาทางธุรกิจ เพ��มผลผลิตดี กำไรงาม ที่เดียวครบ… จบทุกเร�่องฟารม บร�ษัท เบทาโกร จำกัด(มหาชน) (สำนักงานใหญ) อาคารเบทาโกรทาวเวอร(นอรธปารค) 323 ถนนว�ภาวดีรังสิต แขวงทุงสองหอง เขตหลักสี่ กทม. 10210 Call Center : 1482 สรŒางพันธมิตรที่ยั่งยืนกับ…. ผูŒเชี่ยวชาญดŒานเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจร อุปกรณฟารมปศุสัตว เวชภัณฑและสารเสร�ม สำหรับสัตว เพ��มผลผลิตดี กำไรงาม ครอบคลุมสินคŒาและบร�การครบวงจร เปšนพันธมิตรทางธุรกิจเพ�่อความสำเร็จที่ยั่งยืน อาหารสัตว คุณภาพ บร�การทดสอบดŒานปศุสัตว และอาหารครบวงจร บร�การฟารมและ ที่ปร�กษาทางธุรกิจ ที่เดียวครบ… จบทุกเร�่องฟารม บร�ษัท เบทาโกร จำกัด(มหาชน) (สำนักงานใหญ) อาคารเบทาโกรทาวเวอร(นอรธปารค) 323 ถนนว�ภาวดีรังสิต แขวงทุงสองหอง เขตหลักสี่ กทม. 10210 Call Center : 1482


คอลัมน์พิเศษ 11 CPFThe NeXtTech Show งานแสดงเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแห่งอนาคต 12 เปิดเส้นทางธุรกิจอาหารสัตว์CPFชูเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน 14 ผู้เลี้ยงร้องรัฐเร่งแก้ปัญหาราคาหมูตกตํ่า...ก่อนล่มสลาย 16 เงามืดกับหมูเถื่อน ท้าทายอำานาจรัฐ 18 ชาวหมู...หวัง DSI นำา “หมูเถื่อน” สู่จุดจบ 22 แก้ปัญหาวัตถุดิบ...เท่ากับแก้ต้นทุนผู้เลี้ยง 24 การประเมินสิ่งแวดล้อมในการเลี้ยงสุกร1: คุณภาพอากาศ 27 เปิดฟาร์มไก่ไข่อารมณ์ดีสวนลุงวุฒิ“เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ด้านการเลี้ยงสัตว์” 32 กรมปศุสัตว์กระชับความสัมพันธ์GACC หนุนส่งออกไปจีน 33 ภารกิจระดับโลก CPF พาไก่ไทยไปอวกาศ 36 เอกบอร์ด...เดินหน้ารักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ 38 มองไปข้างหน้า...อาหารสัตว์ไทย 40 กรมการค้าภายใน...รุกอุดหนุนอาหารสัตว์ให้ผู้เลี้ยงรายละ ไม่เกิน 10,000 บาท 43 เวียดนามไฟเขียวรับโคกระบือจากไทย...ตั้งเป้ารายได้พันล้านต่อปี 46 เบทาโกร...ชูIntelligent Business Solutions เพื่อความสำาเร็จ ร่วมกับคู่ค้า 48 ตามไปดูเกษตรกรได้“นำ้าปุ๋ย”จากซีพีเอฟ ช่วยก้าวผ่านวิกฤติแล้ง ตลอด 20 ปี 48 เบทาโกรชูแนวคิด “Smart Solutionfor Sustainablelife” ใน “THAIFEX-ANUGA ASIA 2023” 50 HealthyFood Asia กระตุ้นลงทุนธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ คอลัมน์ประจำ� 9 กิจกรรมเด่น 51 แนวโน้มราคาปศุสัตว์ 54 บอกกล่าว สัตว์เศรษฐกิจ สารบัญ 39 ฉบับที่906 กรกฎาคม 2566 บรรณาธิการ ผู้พิมพ์, ผู้โฆษณา : มุกดา วนิชกุล ที่ปรึกษา : รศ.ดร.เยาวมาลย์ ค้าเจริญ ผศ.นาม ศิริเสถียร รศ.อุทัย คันโธ ศ.น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช ผศ.ดร.เสกสม อาตมางกูร อาจารย์ศักดิ์ชัย โตภาณุรักษ์ บรรณาธิการบริหาร : ทิพารัตน์ อธิภัทรพงศ์ กองบรรณาธิการ : วิษณุ เจริญพงศ์พูล กองจัดการ : เอกบุรุษ อุมากูล ออกแบบรูปเล่ม : Chin พิสูจน์อักษร : รัชดา กูใหญ่ สำานักงาน : 74/423-424 ซ.รามคำาแหง 180 ถ.รามคำาแหง มีนบุรี กรุงเทพฯ 10510 โทร. 0-2916-3786-7 แฟกซ์ : 0-2916-8005 E-mail : [email protected] โรงพิมพ์ : ก.พลพิมพ์ เพลท : กรกนก กราฟฟิก โทร. 082-458-4318 จัดจำาหน่าย : นานาสาส์น 906


คอลัมน์พิเศษ 11 CPFThe NeXtTech Show งานแสดงเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแห่งอนาคต 12 เปิดเส้นทางธุรกิจอาหารสัตว์CPFชูเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน 14 ผู้เลี้ยงร้องรัฐเร่งแก้ปัญหาราคาหมูตกตํ่า...ก่อนล่มสลาย 16 เงามืดกับหมูเถื่อน ท้าทายอำานาจรัฐ 18 ชาวหมู...หวัง DSI นำา “หมูเถื่อน” สู่จุดจบ 22 แก้ปัญหาวัตถุดิบ...เท่ากับแก้ต้นทุนผู้เลี้ยง 24 การประเมินสิ่งแวดล้อมในการเลี้ยงสุกร1: คุณภาพอากาศ 27 เปิดฟาร์มไก่ไข่อารมณ์ดีสวนลุงวุฒิ“เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ด้านการเลี้ยงสัตว์” 32 กรมปศุสัตว์กระชับความสัมพันธ์GACC หนุนส่งออกไปจีน 33 ภารกิจระดับโลก CPF พาไก่ไทยไปอวกาศ 36 เอกบอร์ด...เดินหน้ารักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ 38 มองไปข้างหน้า...อาหารสัตว์ไทย 40 กรมการค้าภายใน...รุกอุดหนุนอาหารสัตว์ให้ผู้เลี้ยงรายละ ไม่เกิน 10,000 บาท 43 เวียดนามไฟเขียวรับโคกระบือจากไทย...ตั้งเป้ารายได้พันล้านต่อปี 46 เบทาโกร...ชูIntelligent Business Solutions เพื่อความสำาเร็จ ร่วมกับคู่ค้า 48 ตามไปดูเกษตรกรได้“นำ้าปุ๋ย”จากซีพีเอฟ ช่วยก้าวผ่านวิกฤติแล้ง ตลอด 20 ปี 48 เบทาโกรชูแนวคิด “Smart Solutionfor Sustainablelife” ใน “THAIFEX-ANUGA ASIA 2023” 50 HealthyFood Asia กระตุ้นลงทุนธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ คอลัมน์ประจำ� 9 กิจกรรมเด่น 51 แนวโน้มราคาปศุสัตว์ 54 บอกกล่าว สัตว์เศรษฐกิจ สารบัญ 39 ฉบับที่906 กรกฎาคม 2566 บรรณาธิการ ผู้พิมพ์, ผู้โฆษณา : มุกดา วนิชกุล ที่ปรึกษา : รศ.ดร.เยาวมาลย์ ค้าเจริญ ผศ.นาม ศิริเสถียร รศ.อุทัย คันโธ ศ.น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช ผศ.ดร.เสกสม อาตมางกูร อาจารย์ศักดิ์ชัย โตภาณุรักษ์ บรรณาธิการบริหาร : ทิพารัตน์ อธิภัทรพงศ์ กองบรรณาธิการ : วิษณุ เจริญพงศ์พูล กองจัดการ : เอกบุรุษ อุมากูล ออกแบบรูปเล่ม : Chin พิสูจน์อักษร : รัชดา กูใหญ่ สำานักงาน : 74/423-424 ซ.รามคำาแหง 180 ถ.รามคำาแหง มีนบุรี กรุงเทพฯ 10510 โทร. 0-2916-3786-7 แฟกซ์ : 0-2916-8005 E-mail : [email protected] โรงพิมพ์ : ก.พลพิมพ์ เพลท : กรกนก กราฟฟิก โทร. 082-458-4318 จัดจำาหน่าย : นานาสาส์น 906


สัตวเศรษฐกิจ 9 ส.หมูอีสาน… อบรมหลักสูตร การปฏิบัติที่ดีสําหรับฟารมสุกร GAP ขาวสารและสาระสําหรับวงการเลี้ยงสัตว ส.หมูอีสาน… อบรมหลักสูตร การปฏิบัติที่ดีสําหรับฟารมสุกร GAP ÊÁÒ¤Á¼ÙŒàÅÕéÂ§ÊØ¡ÃÀÒ¤µÐÇѹÍÍ¡à©Õ§à˹×Í Ã‹ÇÁ¡Ñº ÊÁÒ¤ÁÊѵÇᾷ¤Çº¤ØÁ¿ÒÏÁÊØ¡Ãä·Â ¨Ñ´½ƒ¡ÍºÃÁËÅÑ¡Êٵà “¡Òû¯ÔºÑµÔ·Õè´Õ ÊíÒËÃѺ¿ÒÏÁÊØ¡Ã” Good Agriculture Practices (GAP) ³ ºÕÅÕ¿âÎà·Å Í.àÁ×ͧ ¨.ÊØÃÔ¹·Ã â´Â¿ÒÏÁ·ÕèࢌÒËÇÁͺÃÁËÅÑ¡ÊٵùÕé ¨Ðä´ŒÃѺ ãºÃѺÃͧ¡Òýƒ¡ÍºÃÁ¨Ò¡»ÈØÊѵǏ ࢵ 3


สัตวเศรษฐกิจ 9 ส.หมูอีสาน… อบรมหลักสูตร การปฏิบัติที่ดีสําหรับฟารมสุกร GAP ขาวสารและสาระสําหรับวงการเลี้ยงสัตว ส.หมูอีสาน… อบรมหลักสูตร การปฏิบัติที่ดีสําหรับฟารมสุกร GAP ÊÁÒ¤Á¼ÙŒàÅÕéÂ§ÊØ¡ÃÀÒ¤µÐÇѹÍÍ¡à©Õ§à˹×Í Ã‹ÇÁ¡Ñº ÊÁÒ¤ÁÊѵÇᾷ¤Çº¤ØÁ¿ÒÏÁÊØ¡Ãä·Â ¨Ñ´½ƒ¡ÍºÃÁËÅÑ¡Êٵà “¡Òû¯ÔºÑµÔ·Õè´Õ ÊíÒËÃѺ¿ÒÏÁÊØ¡Ã” Good Agriculture Practices (GAP) ³ ºÕÅÕ¿âÎà·Å Í.àÁ×ͧ ¨.ÊØÃÔ¹·Ã â´Â¿ÒÏÁ·ÕèࢌÒËÇÁͺÃÁËÅÑ¡ÊٵùÕé ¨Ðä´ŒÃѺ ãºÃѺÃͧ¡Òýƒ¡ÍºÃÁ¨Ò¡»ÈØÊѵǏ ࢵ 3


สัตว์เศรษฐกิจ 11 The NeXt Tech Show ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้า และเกษตรกรมีประสบการณ์เทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลที่ทันสมัยจาก ทั่วโลก รวมถึงได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีและเกษตร ดิจิทัลแห่งอนาคต ช่วยติดอาวุธให้กับลูกค้าหรือเกษตรกรสามารถ ปรับตัวเท่าทันรับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างแข็งแกร่ง และ เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน “การจัดงานครั้งนี้เป็นการตอกย้ำาถึงความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ ที่จะเดินเคียงข้างกับลูกค้าและเกษตรกรสามารถปรับตัวได้อย่างมี ประสิทธิภาพในโลกยุคหลังโควิด ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาท และจำาเป็นอย่างมากในทุกวงการ รวมถึงภาคเกษตรอุตสาหกรรม เพื่อที่จะช่วยให้ลูกค้าของซีพีเอฟสามารถรักษาความเป็นผู้นำาได้อย่าง ต่อเนื่อง รวมถึงเตรียมความพร้อมให้กับทายาทรุ่นใหม่ของลูกค้า สามารถสานกิจการได้อย่างมั่นคง” นายเรวัติกล่าว ภายในงานประกอบด้วย Tech Show จัดแสดงนวัตกรรมและ เกษตรดิจิทัล 100 เทคโนโลยี จากกว่า 30 องค์กรพันธมิตร ของซีพีเอฟทั่วโลก เพื่อจุดประกายและเป็นแนวทางให้องค์กรสามารถ ปรับตัวให้ทันยุคดิจิทัล พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในอนาคต อาทิ วิทยาการหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT) แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มดิจิทัล ส่วนของ Tech Talk เป็นการแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์จาก ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มไอทีระดับโลก และฟังแนวคิด การรับมือกับยุคดิสรัปชันเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน จาก “หนุ่ยพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์” กูรูไอทีจากแบไต๋ พร้อมรับฟังวิสัยทัศน์ของ ผู้บริหารของซีพีเอฟเพื่อร่วมกันพัฒนาภาคเกษตรอุตสาหกรรมไทย ก้าวสู่ระดับโลก ต่อยอดความรู้และเพิ่มประสบการณ์ด้านวิทยาการ ใหม่ๆ ที่จะมาช่วยจุดประกาย และนำาไปปรับปรุงประสิทธิภาพการ ทำางานที่สอดคล้องกับยุคดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทั้งการ ดำาเนินงาน และช่วยสร้างความสำาเร็จที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าและ เกษตรกร รวมไปถึงขับเคลื่อนภาคปศุสัตว์ของไทยก้าวสู่ระดับโลก. CPF The NeXt Tech Show งานแสดงเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแห่งอนาคต บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำากัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รวมนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลด้านเกษตรอุตสาหกรรมในงาน “CPF The NeXt Tech Show” งานมหกรรมเกษตรดิจิทัลที่จัดขึ้น เป็นครั้งแรกและอย่างยิ่งใหญ่แห่งปี เพื่อถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้ ยกระดับภาคปศุสัตว์ยุคใหม่เพื่อส่งต่อความสำาเร็จ และติดอาวุธทาง ธุรกิจให้กับลูกค้าและเกษตรกรไทย หนุนการเติบโตไปด้วยกันอย่าง ยั่งยืน ตอบรับยุคดิจิทัล ในระหว่างวันที่ 20 - 21 มิถุนายน 2566 ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค อาคารตะวันตก นายประเสริฐ พุ่งกุมาร รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ นายอดิเรก ศรีประทักษ์ประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ ร่วมเป็นประธานเปิดงาน CPF The NeXt Tech Show โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ นายเรวัติหทัยสัตยพงศ์ ผู้อำานวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ และ นายสรรเสริญ สมัยสุต กรรมการผู้จัดการ AXONS ร่วมด้วย พร้อมเป็น Executive Talk บรรยายพิเศษ การขับเคลื่อน องค์กรสู่ยุคดิจิทัล และชมเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแห่งอนาคตจากกว่า 30 องค์กรพันธมิตรของบริษัททั้งไทยและต่างประเทศ โดยมีลูกค้า และเกษตรกรจากทั่วประเทศร่วมงานอย่างคับคั่ง นายเรวัติหทัยสัตยพงศ์กล่าวว่า ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ จัดงาน CPF The NeXt Tech Show ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่รวบรวมเทคโนโลยีและโซลูชั่นด้านเกษตรอุตสาหกรรมยุคใหม่จาก ทั่วโลก ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีแห่งอนาคต...เพื่อการเติบโตด้าน ปศุสัตว์อย่างยั่งยืน” ในโอกาสครบรอบ 70 ปีของธุรกิจอาหาร สัตว์บก ที่ตลอดระยะเวลาในการดำาเนินธุรกิจตั้งแต่วันแรก ซีพีเอฟ มุ่งมั่นเดินเคียงข้างเพื่อสร้างความสำาเร็จกับลูกค้าและเกษตรกร ซึ่ง เปรียบเสมือน “คู่ชีวิต” โดยยึดมั่นการส่งมอบผลิตภัณฑ์ “คุณภาพ” และสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยประยุกต์เครื่องจักรที่ ทันสมัยและมีกระบวนการผลิตได้มาตรฐานสากล ส่งผลให้ธุรกิจ เติบโตก้าวเป็นเบอร์หนึ่งของโลกจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น งาน CPF ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์ 10 สัตวเศรษฐกิจ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE “CPF The NeXt Tech Show“ เทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแหงอนาคต “CPF The NeXt Tech Show“ เทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแหงอนาคต ¤Ø³»ÃÐàÊÃÔ° ¾Ø‹§¡ØÁÒà Ãͧ»ÃиҹÍÒÇØâÊ à¤Ã×Íà¨ÃÔÞâÀ¤Àѳ± áÅÐ ¤Ø³Í´Ôàá ÈÃÕ»Ãзѡɏ »Ãиҹ¤³Ð¡ÃÃÁ¡ÒúÃÔËÒà CPF ËÇÁ໚¹»Ãиҹແ´§Ò¹ “CPF The NeXt Tech Show” â´ÂÁÕ CEO »ÃÐÊÔ·¸Ôì ºØÞ´Ç§»ÃÐàÊÃÔ° ¤Ø³àÃÇÑµÔ Ë·ÑÂÊѵ¾§È ¼ÙŒÍíҹǡÒÃãËÞ‹ ¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒÃÊѵǏº¡ CPF áÅÐ ¤Ø³ÊÃÃàÊÃÔÞ ÊÁÑÂÊØµ ¡ÃÃÁ¡Òüٌ¨Ñ´¡Òà AXONS ºÃÃÂÒ¾ÔàÈÉ “Executive Talk” ¾ÃŒÍÁªÁà·¤â¹âÅÂÕ- ¹Çѵ¡ÃÃÁáË‹§Í¹Ò¤µ¡ŒÒÇÊÙ‹ÂØ¤´Ô¨Ô·ÑÅ¡Ç‹Ò 30 ¾Ñ¹¸ÁԵà ·Ñé§ä·ÂáÅе‹Ò§»ÃÐà·È «Öè§ÁÕÅÙ¡¤ŒÒáÅÐà¡ÉµÃ¡ÃËÇÁ§Ò¹Í‹ҧ¤Ñº¤Ñè§


สัตว์เศรษฐกิจ 11 The NeXt Tech Show ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้า และเกษตรกรมีประสบการณ์เทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลที่ทันสมัยจาก ทั่วโลก รวมถึงได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีและเกษตร ดิจิทัลแห่งอนาคต ช่วยติดอาวุธให้กับลูกค้าหรือเกษตรกรสามารถ ปรับตัวเท่าทันรับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างแข็งแกร่ง และ เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน “การจัดงานครั้งนี้เป็นการตอกย้ำาถึงความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ ที่จะเดินเคียงข้างกับลูกค้าและเกษตรกรสามารถปรับตัวได้อย่างมี ประสิทธิภาพในโลกยุคหลังโควิด ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาท และจำาเป็นอย่างมากในทุกวงการ รวมถึงภาคเกษตรอุตสาหกรรม เพื่อที่จะช่วยให้ลูกค้าของซีพีเอฟสามารถรักษาความเป็นผู้นำาได้อย่าง ต่อเนื่อง รวมถึงเตรียมความพร้อมให้กับทายาทรุ่นใหม่ของลูกค้า สามารถสานกิจการได้อย่างมั่นคง” นายเรวัติกล่าว ภายในงานประกอบด้วย Tech Show จัดแสดงนวัตกรรมและ เกษตรดิจิทัล 100 เทคโนโลยี จากกว่า 30 องค์กรพันธมิตร ของซีพีเอฟทั่วโลก เพื่อจุดประกายและเป็นแนวทางให้องค์กรสามารถ ปรับตัวให้ทันยุคดิจิทัล พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในอนาคต อาทิ วิทยาการหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT) แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มดิจิทัล ส่วนของ Tech Talk เป็นการแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์จาก ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มไอทีระดับโลก และฟังแนวคิด การรับมือกับยุคดิสรัปชันเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน จาก “หนุ่ยพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์” กูรูไอทีจากแบไต๋ พร้อมรับฟังวิสัยทัศน์ของ ผู้บริหารของซีพีเอฟเพื่อร่วมกันพัฒนาภาคเกษตรอุตสาหกรรมไทย ก้าวสู่ระดับโลก ต่อยอดความรู้และเพิ่มประสบการณ์ด้านวิทยาการ ใหม่ๆ ที่จะมาช่วยจุดประกาย และนำาไปปรับปรุงประสิทธิภาพการ ทำางานที่สอดคล้องกับยุคดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทั้งการ ดำาเนินงาน และช่วยสร้างความสำาเร็จที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าและ เกษตรกร รวมไปถึงขับเคลื่อนภาคปศุสัตว์ของไทยก้าวสู่ระดับโลก. CPF The NeXt Tech Show งานแสดงเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแห่งอนาคต บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำากัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รวมนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลด้านเกษตรอุตสาหกรรมในงาน “CPF The NeXt Tech Show” งานมหกรรมเกษตรดิจิทัลที่จัดขึ้น เป็นครั้งแรกและอย่างยิ่งใหญ่แห่งปี เพื่อถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้ ยกระดับภาคปศุสัตว์ยุคใหม่เพื่อส่งต่อความสำาเร็จ และติดอาวุธทาง ธุรกิจให้กับลูกค้าและเกษตรกรไทย หนุนการเติบโตไปด้วยกันอย่าง ยั่งยืน ตอบรับยุคดิจิทัล ในระหว่างวันที่ 20 - 21 มิถุนายน 2566 ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค อาคารตะวันตก นายประเสริฐ พุ่งกุมาร รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ นายอดิเรก ศรีประทักษ์ประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ ร่วมเป็นประธานเปิดงาน CPF The NeXt Tech Show โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ นายเรวัติหทัยสัตยพงศ์ ผู้อำานวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ และ นายสรรเสริญ สมัยสุต กรรมการผู้จัดการ AXONS ร่วมด้วย พร้อมเป็น Executive Talk บรรยายพิเศษ การขับเคลื่อน องค์กรสู่ยุคดิจิทัล และชมเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแห่งอนาคตจากกว่า 30 องค์กรพันธมิตรของบริษัททั้งไทยและต่างประเทศ โดยมีลูกค้า และเกษตรกรจากทั่วประเทศร่วมงานอย่างคับคั่ง นายเรวัติหทัยสัตยพงศ์กล่าวว่า ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ จัดงาน CPF The NeXt Tech Show ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่รวบรวมเทคโนโลยีและโซลูชั่นด้านเกษตรอุตสาหกรรมยุคใหม่จาก ทั่วโลก ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีแห่งอนาคต...เพื่อการเติบโตด้าน ปศุสัตว์อย่างยั่งยืน” ในโอกาสครบรอบ 70 ปีของธุรกิจอาหาร สัตว์บก ที่ตลอดระยะเวลาในการดำาเนินธุรกิจตั้งแต่วันแรก ซีพีเอฟ มุ่งมั่นเดินเคียงข้างเพื่อสร้างความสำาเร็จกับลูกค้าและเกษตรกร ซึ่ง เปรียบเสมือน “คู่ชีวิต” โดยยึดมั่นการส่งมอบผลิตภัณฑ์ “คุณภาพ” และสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยประยุกต์เครื่องจักรที่ ทันสมัยและมีกระบวนการผลิตได้มาตรฐานสากล ส่งผลให้ธุรกิจ เติบโตก้าวเป็นเบอร์หนึ่งของโลกจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น งาน CPF ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์ 10 สัตวเศรษฐกิจ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE “CPF The NeXt Tech Show“ เทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแหงอนาคต “CPF The NeXt Tech Show“ เทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแหงอนาคต ¤Ø³»ÃÐàÊÃÔ° ¾Ø‹§¡ØÁÒà Ãͧ»ÃиҹÍÒÇØâÊ à¤Ã×Íà¨ÃÔÞâÀ¤Àѳ± áÅÐ ¤Ø³Í´Ôàá ÈÃÕ»Ãзѡɏ »Ãиҹ¤³Ð¡ÃÃÁ¡ÒúÃÔËÒà CPF ËÇÁ໚¹»Ãиҹແ´§Ò¹ “CPF The NeXt Tech Show” â´ÂÁÕ CEO »ÃÐÊÔ·¸Ôì ºØÞ´Ç§»ÃÐàÊÃÔ° ¤Ø³àÃÇÑµÔ Ë·ÑÂÊѵ¾§È ¼ÙŒÍíҹǡÒÃãËÞ‹ ¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒÃÊѵǏº¡ CPF áÅÐ ¤Ø³ÊÃÃàÊÃÔÞ ÊÁÑÂÊØµ ¡ÃÃÁ¡Òüٌ¨Ñ´¡Òà AXONS ºÃÃÂÒ¾ÔàÈÉ “Executive Talk” ¾ÃŒÍÁªÁà·¤â¹âÅÂÕ- ¹Çѵ¡ÃÃÁáË‹§Í¹Ò¤µ¡ŒÒÇÊÙ‹ÂØ¤´Ô¨Ô·ÑÅ¡Ç‹Ò 30 ¾Ñ¹¸ÁԵà ·Ñé§ä·ÂáÅе‹Ò§»ÃÐà·È «Öè§ÁÕÅÙ¡¤ŒÒáÅÐà¡ÉµÃ¡ÃËÇÁ§Ò¹Í‹ҧ¤Ñº¤Ñè§


12 สัตวเศรษฐกิจ 70 ÁÒ»‚áŌDž ·Õèà¤Ã×Í«Õ¾Õ ´íÒà¹Ô¹¸ØÃ¡Ô¨¼ÅÔµáÅШíÒ˹‹Ò¸ØÃ¡Ô¨ ÍÒËÒÃÊѵǏ㹻ÃÐà·Èä·Â ´ŒÇ¤ÇÒÁ«×èÍÊѵ·ÕèÁÕµ‹Í¾Ñ¹¸ÁԵäً¤ŒÒ ´Ñ§¤íÒ »³Ô¸Ò¹·ÕèÇ‹Ò “à¡ÉµÃ¡Ã ¤×Í ¤Ù‹ªÕÇÔµ ¶ŒÒà¡ÉµÃ¡ÃÍÂÙ‹äÁ‹ä´Œ àÃÒ¡çÍÂÙ‹äÁ‹ä´Œ” Œ͹¡ÅѺ仅 ¨Ò¡àÃÔèÁáá¢Í§¡Òá‹ÍµÑ駸ØÃ¡Ô¨àÁÅ紾ѹ¸Ø¼Ñ¡ã¹¹ÒÁ ‘à¨ÕÂ䵎’ àÁ×èÍ»‚ 2464 à¤Ã×Í«Õ¾Õ ä´ŒÊÑè§ÊÁ»ÃÐʺ¡ÒóáÅоѲ¹Òͧ¤¤ÇÒÁ ÃÙŒ¨¹à»š¹¸ØÃ¡Ô¨à¡ÉµÃ¤ÃºÇ§¨Ãã¹»˜¨¨ØºÑ¹ ¹ÑºµÑé§áµ‹»‚ 2496 «Öè§à»š¹¸ØÃ¡Ô¨ µŒ¹¹éíÒ ´ŒÇÂËÑÇã¨ÊíÒ¤ÑÞ ¤×Í Çѵ¶Ø´Ôº·Õè´Õ ¡ç¨Ðä´ŒÍÒËÒÃÊѵǏ·Õè´Õ áÅÐÊ‹§¼Å ãˌ䴌à¹×éÍÊѵǏ·ÕèÁդسÀÒ¾ ÊÙ‹»ÅÒ¹éíÒ¤×ÍÍÒËÒÃÊíÒàÃç¨ÃÙ»¾ÃŒÍÁ·Ò¹à¾×èÍ ¼ÙŒºÃÔâÀ¤´ŒÇÂઋ¹¡Ñ¹ เปดเสนทางธุรกิจอาหารสัตว CPF ชูเทคโนโลยีแหงอนาคต เพ�่อเติบโตอยางยั่งยืน LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


สัตวเศรษฐกิจ 13 ¨Ò¡ÃØ‹¹ÊÙ‹ÃØ‹¹… ¡ÒüÅÔµáÅШíÒ˹‹ÒÂÍÒËÒÃÊѵǏ¢Í§ºÃÔÉÑ·Ï äÁ‹à¤ÂËÂØ´¹Ôè§ àÃÒ¹íÒ¹Çѵ¡ÃÃÁáÅÐÊÃÃËÒà·¤â¹âÅÂշѹÊÁÑÂÁÒ»ÃѺ㪌㹠¡Ãкǹ¡ÒüÅÔµÍÒËÒÃÊѵǏ à¾×èÍãˌʋǹ¼ÊÁÁÕ¤ÇÒÁáÁ‹¹ÂíҵçµÒÁÊٵà áÅÐÁդس¤‹Ò·Ò§âÀª¹Ò¡Òà ½Ù§ÊѵǏ¢Í§à¡ÉµÃ¡Ãà¨ÃÔÞàµÔºâµä´Œ´Õ Ê‹§¼Å·íÒãËŒ¡ÒôíÒà¹Ô¹¸ØÃ¡Ô¨ÁÕ»ÃÐÊÔ·¸ÔÀÒ¾ÊÙ§ÊØ´ ÊÍ´¤ÅŒÍ§¡Ñº¤ÇÒÁµŒÍ§¡ÒÃ¢Í§ÍØµÊÒË¡ÃÃÁ¡ÒÃàÅÕé§ÊѵǏ·Ø¡ÊÁÑ ´ŒÇÂÇÔÊÑ·Ñȹ¼ÙŒ¹íÒͧ¤¡Ã… ·ÕèàË繤ÇÒÁÊíÒ¤Ñ޴ѧ¡Å‹ÒÇ ÁØ‹§ÁÑ蹾Ѳ¹Ò¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒÃÊѵǏÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧ ¨¹à»ÅÕè¹¼‹Ò¹¡ÒúÃÔËÒçҹÊÙ‹ ºÁ¨.à¨ÃÔÞâÀ¤Àѳ±ÍÒËÒà ËÃ×Í CPF Ê‹§¼Å·íÒãËŒ¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒÃÊѵǏàµÔºâµ¡ŒÒÇ˹ŒÒ “¢Öé¹á·‹¹à»š¹àºÍÏ 1 ¢Í§âÅ¡” ·Ø¡âç§Ò¹ä´ŒÁҵðҹ ÊÒ¡Å ÍÒ·Ô ISO 9001, ISO14000, GMP, HACCP áÅÐ Á÷. ໚¹à¡ÉµÃÍØµÊÒË¡ÃÃÁµ‹Íà¹×èͧÊÙ‹ÍÒËÒäسÀÒ¾ Áҵðҹ áÅФÇÒÁ »ÅÍ´ÀÑ µÑé§áµ‹ FEED FARM FOOD ¨¹¶Ö§Á×ͼٌºÃÔâÀ¤ คุณเรวัติ หทัยสัตยพงศ ¤Ø³àÃÇÑµÔ Ë·ÑÂÊѵ¾§È ¼ÙŒÍíҹǡÒÃãËÞ‹ ¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒÃÊѵǏº¡ CPF ¡Å‹ÒÇÇ‹Ò ËÑÇã¨ÊíÒ¤ÑÞ ¢Í§¸ØÃ¡Ô¨ ¤×Í¡ÒÃÃÑ¡ÉҤسÀÒ¾ãËŒÊÁèíÒàÊÁÍ «×èÍÊѵµ‹ÍÅÙ¡¤ŒÒáÅÐà¡ÉµÃ¡Ã ¨Ö§·íÒãËŒ¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒà ÊѵǏº¡ ໚¹·ÕèÂÍÁÃѺáÅлÃÐʺ¤ÇÒÁÊíÒàÃç¨ ÊÒÁÒö¢ÂÒ¸ØÃ¡Ô¨·Ñé§ã¹ä·ÂáÅÐ 17 »ÃÐà·È·ÑèÇâÅ¡ 䴌͋ҧÁÑ蹤§ »˜¨¨ØºÑ¹ÁÕ»ÃÔÁÒ³¡ÒüÅÔµ¡Ç‹Ò 32 ŌҹµÑ¹µ‹Í»‚ «Öè§à»š¹¡ÒüÅÔµÍÒËÒÃÊѵǏÁÒ¡·ÕèÊØ´ ã¹âÅ¡ â´Â¹íÒ¹Çѵ¡ÃÃÁáÅÐà·¤â¹âÅÂշѹÊÁÑÂÁҾѲ¹Ò¸ØÃ¡Ô¨µÅÍ´àÇÅÒ ¾ÃŒÍÁ¶‹Ò·ʹͧ¤¤ÇÒÁÃÙŒ µ‹Ò§æ á¡‹¤Ù‹¤ŒÒáÅÐà¡ÉµÃ¡ÃÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧ “»ÃѪÞÒ¡Ò÷íÒ¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒÃÊѵǏ CPF ¤×ÍàÃҨеŒÍ§´ÙáÅ ÊÌҧ¤ÇÒÁÊíÒàÃç¨ãËŒ¡Ñºà¡ÉµÃ¡Ã ËÃ×Íà¡ÉµÃ¡Ã¤×ًͤªÕÇÔµ ¤ÇÒÁÊíÒàÃ稢ͧàÃÒÊÙ‹àºÍÏ 1 ¢Í§âÅ¡ ·Ø¡Çѹ¹Õé ¤×Í 1. »ÃÔÁÒ³ÁÒ¡·ÕèÊØ´ 2. ¤Ø³ÀÒ¾ÁÑ蹤§ 3. »ÃѺ»Ãاâ´Â㪌෤â¹âÅÂÕ·Õè·Ñ¹ÊÁÑ¢ͧâÅ¡µÅÍ´àÇÅÒ àÃÒ¨Ö§¨Ñ´§Ò¹ CPF The NeXt Tech Show ¢Öé¹ à¾×èÍÃǺÃÇÁ¹Çѵ¡ÃÃÁ AI IoT µ‹Ò§æ ãËŒà¡ÉµÃ¡ÃËÃ×ÍÅÙ¡¤ŒÒ¢Í§àÃÒ ÁÕͧ¤¤ÇÒÁÃÙŒÊÙ‹¡ÒûÃСͺÍÒªÕ¾áÅйíÒä»ÊÙ‹¡Òû¯ÔºÑµÔà¾×èÍ¡ÒÃà»ÅÕè¹á»Å§ã¹¸ØÃ¡Ô¨ãËŒàµÔºâµÍ‹ҧÁÑ蹤§ áÅÐàª×èÍNjҨÐ໚¹»ÃÐ⪹¡ÑºÍÒªÕ¾»ÈØÊѵǏ” ¤Ø³àÃÇÑµÔ ¡Å‹ÒÇ·Ôé§·ŒÒ ขาวสารและสาระสําหรับวงการเลี้ยงสัตว 12 สัตวเศรษฐกิจ 70 ÁÒ»‚áŌDž ·Õèà¤Ã×Í«Õ¾Õ ´íÒà¹Ô¹¸ØÃ¡Ô¨¼ÅÔµáÅШíÒ˹‹Ò¸ØÃ¡Ô¨ ÍÒËÒÃÊѵǏ㹻ÃÐà·Èä·Â ´ŒÇ¤ÇÒÁ«×èÍÊѵ·ÕèÁÕµ‹Í¾Ñ¹¸ÁԵäً¤ŒÒ ´Ñ§¤íÒ »³Ô¸Ò¹·ÕèÇ‹Ò “à¡ÉµÃ¡Ã ¤×Í ¤Ù‹ªÕÇÔµ ¶ŒÒà¡ÉµÃ¡ÃÍÂÙ‹äÁ‹ä´Œ àÃÒ¡çÍÂÙ‹äÁ‹ä´Œ” Œ͹¡ÅѺ仅 ¨Ò¡àÃÔèÁáá¢Í§¡Òá‹ÍµÑ駸ØÃ¡Ô¨àÁÅ紾ѹ¸Ø¼Ñ¡ã¹¹ÒÁ ‘à¨ÕÂ䵎’ àÁ×èÍ»‚ 2464 à¤Ã×Í«Õ¾Õ ä´ŒÊÑè§ÊÁ»ÃÐʺ¡ÒóáÅоѲ¹Òͧ¤¤ÇÒÁ ÃÙŒ¨¹à»š¹¸ØÃ¡Ô¨à¡ÉµÃ¤ÃºÇ§¨Ãã¹»˜¨¨ØºÑ¹ ¹ÑºµÑé§áµ‹»‚ 2496 «Öè§à»š¹¸ØÃ¡Ô¨ µŒ¹¹éíÒ ´ŒÇÂËÑÇã¨ÊíÒ¤ÑÞ ¤×Í Çѵ¶Ø´Ôº·Õè´Õ ¡ç¨Ðä´ŒÍÒËÒÃÊѵǏ·Õè´Õ áÅÐÊ‹§¼Å ãˌ䴌à¹×éÍÊѵǏ·ÕèÁդسÀÒ¾ ÊÙ‹»ÅÒ¹éíÒ¤×ÍÍÒËÒÃÊíÒàÃç¨ÃÙ»¾ÃŒÍÁ·Ò¹à¾×èÍ ¼ÙŒºÃÔâÀ¤´ŒÇÂઋ¹¡Ñ¹ เปดเสนทางธุรกิจอาหารสัตว CPF ชูเทคโนโลยีแหงอนาคต เพ�่อเติบโตอยางยั่งยืน LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


14 สัตว์เศรษฐกิจ นำ�เข้�ม�อีกอย่�งต่อเนื่อง ซึ่งชิ้นส่วนลักลอบน้ำ�เข้�นั้นได้กระจ�ยไป จำ�หน่�ยทั่วประเทศในร�ค�ที่ถูกกว่�ร�ค�สุกรในประเทศ เนื่องจ�ก ต้นทุนถูกกว่� สร้�งคว�มกดดันให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในพื้นที่ ให้ ต้องปรับร�ค�สุกรหน้�ฟ�ร์มลงม�จนต่ำ�กว่�ต้นทุนก�รผลิต เพื่อให้ ข�ยสู้กับร�ค�ชิ้นส่วนเนื้อสุกรลักลอบนำ�เข้� ซึ่งสถ�นก�รณ์ร�ค�สุกร หน้�ฟ�ร์มในพื้นที่ปรับลดลงอย่�งรุนแรง ปัจจุบันข�ยที่ร�ค�ประม�ณ 64-74 บ�ท ในขณะที่ต้นทุนก�รผลิตสุกรขุนอยู่ที่กิโลกรัมละไม่ต่ำ� กว่� 85บ�ท ข�ดทุนตัวละ 1,200-1,800บ�ท ถึงแม้ว่� กรมปศุสัตว์และหน่วยง�นที่เกี่ยวข้องได้ดำ�เนินก�ร จับกุมและยึดทำ�ล�ยชิ้นส่วนเนื้อสุกรนำ�เข้�ผิดกฎหม�ยได้บ�งส่วน แต่ยังมีชิ้นส่วนเนื้อสุกรแช่แข็งตกค้�งอีกจำ�นวน 161 ตู้คอนเทนเนอร์ ที่ยังไม่ถูกทำ�ล�ย และบ�งส่วนยังกระจ�ยไปจำ�หน่�ยในหล�ยพื้นที่ ห�กสถ�นก�รณ์ข้�งต้นไม่ได้รับก�รแก้ไข ร�ค�ข�ยสุกรยังคงตกต่ำ� ลงอย่�งต่อเนื่อง เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรอ�จต้องเลิกอ�ชีพเพร�ะแบก รับภ�ระข�ดทุนต่อไปไม่ไหว เพื่อเป็นก�รแก้ไขปัญห�ร�ค�สุกรตกต่ำ� อย่�งยั่งยืน จึงขอให้ 1. เร่งปร�บปร�มหมูเถื่อนที่ยังตกค้�งในประเทศ และยกเลิก ก�รนำ�เข้�ชิ้นส่วนเนื้อสุกรทุกประเภท 2. ขอให้มีก�รขึ้นทะเบียนผู้ประกอบก�รค้�สุกร (โบรคเกอร์) 3. ขอให้มีก�รขึ้นทะเบียนผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศรวมทั้งปริม�ณ แม่พันธุ์และสุกรขุนที่เพิ่มขึ้นของผู้เลี้ยงในประเทศ 4. กำ�หนดยุทธศ�สตร์ก�รผลิตสุกรขุนให้สอดคล้องกับก�ร บริโภคภ�ยในประเทศ ต�มที่อุตส�หกรรมสุกรไทยกำ�ลังเผชิญกับปัญห�ร�ค�สุกร ตกต่ำ� ที่ได้รับผลกระทบจ�กสินค้�เนื้อสุกรนำ�เข้�ผิดกฎหม�ยเข้�ม� แย่งตล�ด ส่งผลกระทบต่อคว�มต้องก�รสุกรมีชีวิตในประเทศลดลง สร้�งคว�มเสียห�ยต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงอย่�งต่อเนื่องย�วน�น ซึ่งส่ง ผลกระทบต่อกระแสเงินสดของฟ�ร์มอย่�งหนัก สุ่มเสี่ยงว่�จะไม่ ส�ม�รถดำ�เนินกิจก�รต่อไปได้ โดยสม�คมฯ ได้ร้องขอให้ภ�ครัฐเร่ง แก้ปัญห�ดังกล่�ว รวมทั้งร�ค�วัตถุดิบอ�ห�รสัตว์สูงเกินจริง ที่ เป็นต้นทุนหลักของก�รผลิตสุกร เมื่อวันที่ 9 พฤษภ�คมที่ผ่�นม� เพื่อบรรเท�คว�มเสียห�ยของเกษตรกรจ�กผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่ง ยังไม่มีแนวท�งแก้ไขปัญห�ที่ชัดเจน จ�กแนวนโยบ�ยของอธิบดีกรมปศุสัตว์ เมื่อวันที่ 18 พฤษภ�คม ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงทุกคนได้รับทร�บโดยทั่วไปว่� อธิบดี กรมปศุสัตว์ มุ่งหวังให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรไทยมีเสถียรภ�พ มีคว�ม ยั่งยืนในก�รประกอบอ�ชีพได้ผลผลิตที่มีคุณภ�พและข�ยได้ในร�ค� ไม่ต่ำ�กว่�ทุน สอดคล้องกับนโยบ�ยของคณะกรรมก�รนโยบ�ยพัฒน� สุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) ที่ผ่�นม� สม�คมฯ ได้ติดต�ม สถ�นก�รณ์และนำ�เสนอแนวท�งแก้ไขปัญห�ม�ตลอดระยะเวล� 10 เดือน นับตั้งแต่ก�รแถลงข่�วขอภ�ครัฐเร่งปร�บปร�มหมูเถื่อน เมื่อ วันที่ 30 สิงห�คม 2565 อย่�งเป็นท�งก�รเป็นต้นม� จ�กส�เหตุ คว�มกังวลด้�นเสถียรภ�พร�ค�สุกรมีชีวิตหน้�ฟ�ร์มที่ปรับตัวลดลง อย่�งต่อเนื่อง สวนท�งกับร�ค�วัตถุดิบอ�ห�รสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น สืบเนื่องจ�กก�รลักลอบนำ�เข้�ชิ้นส่วนเนื้อสุกรจ�กต่�งประเทศ ตั้งแต่ปี 2565 ต่อเนื่องม�ถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะมีก�รลักลอบ ผู้เลี้ยงร้องรัฐเร่งแก้ปัญหาราคาหมูตกตํ่า... ก่อนล่มสลาย LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


สัตว์เศรษฐกิจ 15 5. ส่งเสริมกำ�รส่งออกสุกรมีชีวิต และเนื้อสุกรที่ได้ม�ตรฐ�น เพื่อลดส่วนเกินสุกรในประเทศ 6. ห�รือกับ PIG BOARD เพื่อร่วมมือแก้ปัญห� และบริห�ร คว�มเสี่ยงในอน�คต ด้�น กรมปศุสัตว์ ร่วมประชุมห�รือแนวท�งรักษ�เสถียรภ�พ ร�ค�สุกร เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในสถ�นก�รณ์ ร�ค�สุกรตกต่ำ� นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธ�นก�รประชุม โดยมี นายบุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รอง อธิบดีกรมปศุสัตว์ และกองส่งเสริมและพัฒน�ก�รปศุสัตว์ (กสส.) สำ�นักพัฒน�อ�ห�รสัตว์ (สอส.) สำ�นักควบคุมป้องกันและบำ�บัด โรคสัตว์ (สคบ.) กองส�รวัตรและกักกัน (กสก.) สำ�นักพัฒน�ระบบ และรับรองม�ตรฐ�นสินค้�ปศุสัตว์ (สพส.) เข้�ร่วมประชุม พร้อม ด้วยผู้แทนจ�กสม�คมผู้เลี้ยงสุกรแห่งช�ติ ผู้แทนเกษตรกรผู้เลี้ยง สุกรระดับภ�ค สหกรณ์ผู้เลี้ยงสุกร และเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร และ ผู้เกี่ยวข้องเข้�ร่วมก�รประชุม หลังจ�กที่กรมปศุสัตว์ได้รับฟังปัญห�ที่เกิดจ�กผู้แทนเกษตรกร ผู้เลี้ยงสุกรในภ�คส่วนต่�งๆ แล้ว กรมปศุสัตว์จึงได้เสนอแนวท�งใน ก�รช่วยเหลือเกษตรกรผ่�น “โครงก�รรักษ�เสถียรภ�พร�ค�สุกร” โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ (ระยะสั้น/ระยะกล�ง/ระยะย�ว) โดยใน ร�ยละเอียดโครงก�รจะยึดโยงต�มปัญห�ที่เกิดขึ้นจริงต�มที่ผู้แทนใน ภ�คส่วนต่�งๆ เสนอ โดยสรุปได้เป็น 6 ประเด็นดังนี้ 1. ก�รปร�บปร�มหมูเถื่อนที่ยังตกค้�งในประเทศ และยกเลิก ก�รนำ�เข้�ชิ้นส่วนเนื้อสุกรทุกประเภท 2. ก�รขึ้นทะเบียนผู้ประกอบก�รค้�สุกร (Broker) 3. ก�รขึ้นทะเบียนผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศรวมทั้งปริม�ณแม่พันธุ์ และสุกรขุนที่เพิ่มขึ้นของผู้เลี้ยงในประเทศ 4. กำ�หนดยุทธศ�สตร์ก�รผลิตสุกรขุนให้สอดคล้องกับก�ร บริโภคภ�ยในประเทศ 5. ส่งเสริมก�รส่งออกสุกรมีชีวิตและเนื้อสุกรที่ได้ม�ตรฐ�น เพื่อลดสุกรส่วนเกินในประเทศ 6. ห�รือร่วมกับคณะกรรมก�รนโยบ�ยพัฒน�สุกรและ ผลิตภัณฑ์ (pig board) เพื่อร่วมมือแก้ปัญห�และบริห�รคว�มเสี่ยง ในอน�คต ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักก�รของ “โครงก�รรักษ�เสถียรภ�พ ร�ค�สุกร” ต�มที่กรมปศุสัตว์เสนอ หลังจ�กนี้กรมปศุสัตว์จะได้ ดำ�เนินก�รจัดคว�มสำ�คัญในแต่ละประเด็น และเพิ่มเติมในร�ยละเอียด โครงก�รซึ่งต้องอ�ศัยคว�มมีส่วนร่วมของหน่วยง�นที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบก�ร สม�คม สหกรณ์ และเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ในก�ร ให้ข้อมูลต่�งๆ กองนำ�เสนอต่อที่ประชุม pig board เพื่อพิจ�รณ� เห็นชอบในหลักก�ร และผลักดันให้เกิดก�รดำ�เนินง�นอย่�งเป็นรูป ธรรม ต่อไป ขณะที่ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ชวนคนไทยเลือกซื้อ หมูไทย-กินหมูไทยปลอดภัยกว่� “หมูเถื่อน” ร่วมสร้�งเศรษฐกิจ ประเทศช�ติ ช่วยต่อลมห�ยใจเกษตรกร หลังถูกหมูเถื่อนแทรกแซง ตล�ดจนร�ค�ตกต่ำ� สวนท�งร�ค�วัตถุดิบที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ที่สำ�คัญ หมูนำ�เข้�ผิดกฎหม�ยค้�งปี มีเชื้อโรคปนเปื้อนเป็นอันตร�ยต่อ สุขภ�พผู้บริโภค น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกร แห่งชาติ กล่�วว่� จ�กก�รลงพื้นที่สังเกตก�รณ์เปิดตู้หมูเถื่อน 161 ตู้ ที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เป็นก�รตอกย้ำ�ปัญห�หมูเถื่อนขย�ย วงกว้�งหลังไทยประสบปัญห�โรคระบ�ด ASF หมูในประเทศ ข�ดแคลน เปิดโอก�สให้ “หมูเถื่อน” ทะลักเข้�ม�สร้�งซัพพล�ยเทียม แทรกแซงตล�ดดั๊มพ์ร�ค�จนร�ค�ในประเทศตกต่ำ� ทำ�ล�ยโอก�ส ของเกษตรกรไทยม�น�นกว่� 18 เดือน โดยเฉพ�ะเกษตรกร ร�ยย่อยและร�ยเล็ก ต้องประสบปัญห�ข�ดทุนสะสมม�โดยตลอดจน บ�งร�ยต้องเลิกเลี้ยง ทำ�คว�มเสียห�ยให้กับเศรษฐกิจประเทศ ม�กกว่� 50,000 ล้�นบ�ท ที่สำ�คัญหมูเถื่อนที่ยังตกค้�งที่ท่�เรือ แหลมฉบังเป็นเวล�น�นมีก�รตรวจพบเชื้อแบคทีเรียและส�รปนเปื้อน ที่เป็นอันตร�ยต่อสุขภ�พของผู้บริโภค “หมูเถื่อน เป็นปัจจัยบั่นทอนความมั่นคงทางอาหารของคนไทย สมาคมฯ จึงอยากเชิญชวนผู้บริโภคให้เลือกซื้อเนื้อหมูของไทยที่มี ความปลอดภัย มีการเลี้ยงพิถีพิถัน มีมาตรการป้องกันโรคระบาดที่ เข้มแข็ง ไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดง ดีต่อสุขภาพ จากร้านที่เชื่อถือได้หรือ ร้านที่สัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน ที่สำาคัญยังช่วยสนับสนุนผู้เลี้ยงหมู ให้มีรายได้เพื่อรักษากิจการไว้ มีผลผลิตป้อนตลาดในประเทศต่อเนื่อง” น.สพ.วิวัฒน์ กล่�ว น.สพ.วิวัฒน์ ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด พิกบอร์ด เสนอแนะว่� ภ�ครัฐควรพิจ�รณ�ม�ตรก�รสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยง หมูในเรื่องต้นทุนก�รผลิต โดยเฉพ�ะวัตถุดิบอ�ห�รสัตว์สูงขึ้น ต่อเนื่องประม�ณ 25-30% ม�ม�กกว่� 2 ปี ทำ�ให้ร�ค�เนื้อหมู ของไทยขณะนี้เป็นร�ค�ที่เกษตรกรข�ดทุนและเป็นก�รข�ดทุนสะสม ม�ม�กกว่� 6 เดือนแล้ว โดยร�ค�สุกรมีชีวิตหน้�ฟ�ร์มที่เกษตรกร ข�ยได้เฉลี่ยอยู่ที่ประม�ณ 53-55 บ�ทต่อกิโลกรัม ขณะที่สม�คมฯ ประก�ศต้นทุนก�รผลิตเดือนมิถุน�ยน 2566 เฉลี่ยที่ 90.57 บ�ท ต่อกิโลกรัม นอกจ�กนี้ อย�กขอให้ภ�ครัฐนำ�กลไกตล�ดม�ใช้เป็นปัจจัยใน ก�รสร้�งสมดุลร�ค�หมูมีชีวิตและเนื้อหมูอย่�งมีประสิทธิภ�พ ให้ ร�ค�ขึ้นลงสอดคล้องกับต้นทุนก�รผลิต เพื่อช่วยลดก�รข�ดทุนของ เกษตรกร เป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรพัฒน�ก�รเลี้ยงให้มีม�ตรฐ�น สูงขึ้น มีผลผลิตเนื้อหมูคุณภ�พดีป้อนตล�ดเพียงพอไม่ข�ดแคลน ตลอดจนพิจ�รณ�ทบทวนก�รนำ�เข้�วัตถุดิบอ�ห�รสัตว์โดยเฉพ�ะ ข้�วโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งเงื่อนไขก�รนำ�เข้�วัตถุดิบทดแทนและภ�ษี นำ�เข้� ให้เกิดคว�มเป็นธรรมกับทุกฝ่�ยในห่วงโซ่ก�รผลิตอ�ห�ร เพื่อสร้�งคว�มมั่นคงท�งอ�ห�รและปลอดภัยให้กับคนไทยทั้ง ประเทศ. ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์ 14 สัตว์เศรษฐกิจ นำ�เข้�ม�อีกอย่�งต่อเนื่อง ซึ่งชิ้นส่วนลักลอบน้ำ�เข้�นั้นได้กระจ�ยไป จำ�หน่�ยทั่วประเทศในร�ค�ที่ถูกกว่�ร�ค�สุกรในประเทศ เนื่องจ�ก ต้นทุนถูกกว่� สร้�งคว�มกดดันให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในพื้นที่ ให้ ต้องปรับร�ค�สุกรหน้�ฟ�ร์มลงม�จนต่ำ�กว่�ต้นทุนก�รผลิต เพื่อให้ ข�ยสู้กับร�ค�ชิ้นส่วนเนื้อสุกรลักลอบนำ�เข้� ซึ่งสถ�นก�รณ์ร�ค�สุกร หน้�ฟ�ร์มในพื้นที่ปรับลดลงอย่�งรุนแรง ปัจจุบันข�ยที่ร�ค�ประม�ณ 64-74 บ�ท ในขณะที่ต้นทุนก�รผลิตสุกรขุนอยู่ที่กิโลกรัมละไม่ต่ำ� กว่� 85บ�ท ข�ดทุนตัวละ 1,200-1,800บ�ท ถึงแม้ว่� กรมปศุสัตว์และหน่วยง�นที่เกี่ยวข้องได้ดำ�เนินก�ร จับกุมและยึดทำ�ล�ยชิ้นส่วนเนื้อสุกรนำ�เข้�ผิดกฎหม�ยได้บ�งส่วน แต่ยังมีชิ้นส่วนเนื้อสุกรแช่แข็งตกค้�งอีกจำ�นวน 161 ตู้คอนเทนเนอร์ ที่ยังไม่ถูกทำ�ล�ย และบ�งส่วนยังกระจ�ยไปจำ�หน่�ยในหล�ยพื้นที่ ห�กสถ�นก�รณ์ข้�งต้นไม่ได้รับก�รแก้ไข ร�ค�ข�ยสุกรยังคงตกต่ำ� ลงอย่�งต่อเนื่อง เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรอ�จต้องเลิกอ�ชีพเพร�ะแบก รับภ�ระข�ดทุนต่อไปไม่ไหว เพื่อเป็นก�รแก้ไขปัญห�ร�ค�สุกรตกต่ำ� อย่�งยั่งยืน จึงขอให้ 1. เร่งปร�บปร�มหมูเถื่อนที่ยังตกค้�งในประเทศ และยกเลิก ก�รนำ�เข้�ชิ้นส่วนเนื้อสุกรทุกประเภท 2. ขอให้มีก�รขึ้นทะเบียนผู้ประกอบก�รค้�สุกร (โบรคเกอร์) 3. ขอให้มีก�รขึ้นทะเบียนผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศรวมทั้งปริม�ณ แม่พันธุ์และสุกรขุนที่เพิ่มขึ้นของผู้เลี้ยงในประเทศ 4. กำ�หนดยุทธศ�สตร์ก�รผลิตสุกรขุนให้สอดคล้องกับก�ร บริโภคภ�ยในประเทศ ต�มที่อุตส�หกรรมสุกรไทยกำ�ลังเผชิญกับปัญห�ร�ค�สุกร ตกต่ำ� ที่ได้รับผลกระทบจ�กสินค้�เนื้อสุกรนำ�เข้�ผิดกฎหม�ยเข้�ม� แย่งตล�ด ส่งผลกระทบต่อคว�มต้องก�รสุกรมีชีวิตในประเทศลดลง สร้�งคว�มเสียห�ยต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงอย่�งต่อเนื่องย�วน�น ซึ่งส่ง ผลกระทบต่อกระแสเงินสดของฟ�ร์มอย่�งหนัก สุ่มเสี่ยงว่�จะไม่ ส�ม�รถดำ�เนินกิจก�รต่อไปได้ โดยสม�คมฯ ได้ร้องขอให้ภ�ครัฐเร่ง แก้ปัญห�ดังกล่�ว รวมทั้งร�ค�วัตถุดิบอ�ห�รสัตว์สูงเกินจริง ที่ เป็นต้นทุนหลักของก�รผลิตสุกร เมื่อวันที่ 9 พฤษภ�คมที่ผ่�นม� เพื่อบรรเท�คว�มเสียห�ยของเกษตรกรจ�กผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่ง ยังไม่มีแนวท�งแก้ไขปัญห�ที่ชัดเจน จ�กแนวนโยบ�ยของอธิบดีกรมปศุสัตว์ เมื่อวันที่ 18 พฤษภ�คม ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงทุกคนได้รับทร�บโดยทั่วไปว่� อธิบดี กรมปศุสัตว์ มุ่งหวังให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรไทยมีเสถียรภ�พ มีคว�ม ยั่งยืนในก�รประกอบอ�ชีพได้ผลผลิตที่มีคุณภ�พและข�ยได้ในร�ค� ไม่ต่ำ�กว่�ทุน สอดคล้องกับนโยบ�ยของคณะกรรมก�รนโยบ�ยพัฒน� สุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) ที่ผ่�นม� สม�คมฯ ได้ติดต�ม สถ�นก�รณ์และนำ�เสนอแนวท�งแก้ไขปัญห�ม�ตลอดระยะเวล� 10 เดือน นับตั้งแต่ก�รแถลงข่�วขอภ�ครัฐเร่งปร�บปร�มหมูเถื่อน เมื่อ วันที่ 30 สิงห�คม 2565 อย่�งเป็นท�งก�รเป็นต้นม� จ�กส�เหตุ คว�มกังวลด้�นเสถียรภ�พร�ค�สุกรมีชีวิตหน้�ฟ�ร์มที่ปรับตัวลดลง อย่�งต่อเนื่อง สวนท�งกับร�ค�วัตถุดิบอ�ห�รสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น สืบเนื่องจ�กก�รลักลอบนำ�เข้�ชิ้นส่วนเนื้อสุกรจ�กต่�งประเทศ ตั้งแต่ปี 2565 ต่อเนื่องม�ถึงปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะมีก�รลักลอบ ผู้เลี้ยงร้องรัฐเร่งแก้ปัญหาราคาหมูตกตํ่า... ก่อนล่มสลาย LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


16 สัตวเศรษฐกิจ à¾×è͹ºŒÒ¹à¾×è͵ºµÒ਌Ò˹ŒÒ·ÕèáŌǹíÒ¡ÅѺࢌÒÁÒã¹ä·ÂÍÕ¡¤ÃÑé§ ÃÐÂÐËÅѧ਌Ò˹ŒÒ·ÕèÃÙŒ·Ò§¨Ñºä´ŒËÅÒ¤ÃÑé§·ÕèËÅÒ´‹Ò¹ ઋ¹ ÊÃÐá¡ŒÇ Ê§¢ÅÒ ÁØ¡´ÒËÒà ໚¹µŒ¹ ä´Œ¢Í§¡ÅÒ§ËÅѡÌÍÂ-ËÅÑ¡¾Ñ¹¡ÔâÅ¡ÃÑÁ Ê‹§´íÒà¹Ô¹¤´ÕµÒÁ¢Ñé¹¹µÍ¹ Çѹ¹Õé Êѧ¤Á¨ÑºµÒ¡ÒôíÒà¹Ô¹¤´Õ “ËÁÙà¶×è͹” ÀÒÂ㵌¤ÇÒÁ ÃѺ¼Ô´ªÍº¢Í§ DSI NjҨÐÁÕ¤ÇÒÁÃÇ´àÃçÇáÅÐâ»Ã‹§ãʡNjҷÕ輋ҹÁÒ Í‹ҧäà â´Â੾ÒСÒÃŧ¾×é¹·ÕèÍ‹ҧNjͧäÇËÅѧÃѺ¤´ÕÁÒ¨Ò¡ ¡ÃÁÈØÅ¡Ò¡Ã ã¹¡ÒõÃǨÊͺËÅÑ¡°Ò¹µÙŒËÁÙà¶×è͹µ¡¤ŒÒ§ 161 µÙŒ ·Õè·‹ÒàÃ×ÍáËÅÁ©ºÑ§ àÁ×èÍÇѹ·Õè 5 ¡Ã¡®Ò¤Á ·Õ輋ҹÁÒ ¨Ð໚¹à¤Ã×èͧ ¾ÔÊÙ¨¹¡Ò÷íÒ§Ò¹¢Í§ÀÒ¤ÃѰ㹡ÒÃʋͧä¿ãËŒàËç¹Ë¹ŒÒ “à§ÒÁ×´” ¡Ñ¹ ªÑ´æ NjҤ¹ÃŒÒµÑǨÃÔ§·Õ躋͹·íÒÅÒÂàÈÃɰ¡Ô¨ä·ÂáÅзíÒãËŒ¤¹ä·Â àÊÕè§ “µÒ¼‹Í¹Ê‹§” ¨Ò¡¡ÒÃÊÐÊÁã¹Ã‹Ò§¡Ò¢ͧÊÒû¹à»„œÍ¹áÅÐ ÊÒÃà˧à¹×éÍá´§ ·ÕèµÔ´ÁҡѺà¹×éÍËÁÙÅÑ¡ÅͺàËŋҹÕé ¡‹Í¹Ë¹ŒÒ¹Õé ¹ÒÂÍѨ©ÃÔÂÐ àÃ×ͧÃѵ¹¾§È »ÃиҹªÁÃÁ ª‹ÇÂàËÅ×ÍàËÂ×èÍÍÒªÞÒ¡ÃÃÁ ãËŒ»Ò¡¤íҡѺ DSI Ç‹Ò µÑé§áµ‹ 2564 ¨¹¶Ö§»˜¨¨ØºÑ¹ ÁÕ¡ÒÃÅÑ¡Åͺ¹íÒࢌÒËÁÙà¶×è͹ࢌÒÁÒã¹»ÃÐà·Èä·Â “ËÁÙà¶×è͹” ໚¹»ÃÐà´ç¹·Õè¼ÙŒàÅÕéÂ§ÊØ¡Ã·ÑèÇ»ÃÐà·È¨ÑºµÒ´ŒÇ¤ÇÒÁ ʹ㨠áÅÐËÇѧ¨Ðä´ŒÂÔ¹¢‹ÒÇ´ÕÇ‹Ò “µÑǺ§¡ÒÔ ¶Ù¡à»´â»§ãËŒÊѧ¤Áä´Œ ÃѺÃÙŒã¹àÃçÇÇѹ ¢³Ð·ÕèËÁÙà¶×è͹¶Ù¡Â¡ÃдѺ¢Öé¹à»š¹ÇÒÃÐà˧´‹Ç¹¨Ò¡ ÀÒ¤à¡ÉµÃ¡Ã ÀÒ¤Êѧ¤ÁáÅÐÀÒ¤¡ÒÃàÁ×ͧ à¾×èÍà˧ÃÑ´¡Ò÷íÒ§Ò¹ ÀÒ¤ÃѰ Å‹ÒÊØ´¡ÃÁÊͺÊǹ¤´Õ¾ÔàÈÉ (DSI) ÃѺÁÒ໚¹¤´Õ¾ÔàÈÉ à¾×èÍ ´íÒà¹Ô¹¡ÒÃãËŒÁÕ¤ÇÒÁ¤×ºË¹ŒÒáÅÐâ»Ã‹§ãÊ ËÅѧ¤ÅØÁà¤Ã×ÍáÅÐÂ×´àÂ×éÍÁÒ ¹Ò¹¡Ç‹Ò 1 »‚ ¼ÙŒàÅÕé§ËÁÙ·ÑèÇ»ÃÐà·ÈཇÒÃÍ´Ù¤ÇÒÁ¼ÅÊíÒàÃ稢ͧ¡Òà ´íÒà¹Ô¹¤´Õ áÅÐÊ‹§µ‹Í¤´ÕãËŒ¡ÑºÊíҹѡ§Ò¹»‡Í§¡Ñ¹áÅлÃÒº»ÃÒÁ¡Òà ¿Í¡à§Ô¹ (»»§.) à¾×èÍÂÖ´·ÃѾ¼ÙŒ¡ÃзíÒ¼Ô´ 1 »‚ ·Õ輋ҹÁÒ ¡ÃÁÈØÅ¡Ò¡ÃáÅСÃÁ»ÈØÊѵǏ µÒÁÅ‹ÒËÁÙà¶×è͹ ÍÂÙ‹à¹×Í§æ ¨Ñºä´ŒºŒÒ§áµ‹¨ÑºäÁ‹ä´Œà»š¹Ê‹Ç¹ãËÞ‹ “µÑǺ§¡ÒÔ ÂѧÍÂÙ‹ ã¹ “à§ÒÁ×´” ÊÑè§¡ÒÃËÅѧ©Ò¡»ÃѺà»ÅÕ蹡ÅàÁç´ ·íÒ·Ø¡ÇÔ¶Õ·Ò§à¾×èÍ ËźàÅÕè§¡ÒõÃǨÊͺ¢Í§à¨ŒÒ˹ŒÒ·Õè ·Ñé§¡ÒÃÊíÒá´§à·ç¨ ໚¹ÍÒËÒà ·ÐàÅ᪋á¢ç§ËÃ×Íâ¾ÅÕàÁÍÏ ãËŒÊÔ¹¤ŒÒ¼‹Ò¹´‹Ò¹ÈØÅ¡Ò¡Ã¹íÒ仡ÃШÒ 㹵ÅÒ´ â´ÂäÁ‹¼‹Ò¹¡ÒõÃǨÊͺâäÊѵǏáÅÐâäÃкҴ·ÕèÍÒ¨µÔ´ ÁҡѺà¹×éÍÊѵǏàËŋҹÕé ÃÇÁ¶Ö§¡ÒÃÊ‹§à»š¹ÊÔ¹¤ŒÒ¼‹Ò¹á´¹ä»»ÃÐà·È เงามืดกับหมูเถื่อน ทาทายอํานาจรัฐ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


16 สัตวเศรษฐกิจ à¾×è͹ºŒÒ¹à¾×è͵ºµÒ਌Ò˹ŒÒ·ÕèáŌǹíÒ¡ÅѺࢌÒÁÒã¹ä·ÂÍÕ¡¤ÃÑé§ ÃÐÂÐËÅѧ਌Ò˹ŒÒ·ÕèÃÙŒ·Ò§¨Ñºä´ŒËÅÒ¤ÃÑé§·ÕèËÅÒ´‹Ò¹ ઋ¹ ÊÃÐá¡ŒÇ Ê§¢ÅÒ ÁØ¡´ÒËÒà ໚¹µŒ¹ ä´Œ¢Í§¡ÅÒ§ËÅѡÌÍÂ-ËÅÑ¡¾Ñ¹¡ÔâÅ¡ÃÑÁ Ê‹§´íÒà¹Ô¹¤´ÕµÒÁ¢Ñé¹¹µÍ¹ Çѹ¹Õé Êѧ¤Á¨ÑºµÒ¡ÒôíÒà¹Ô¹¤´Õ “ËÁÙà¶×è͹” ÀÒÂ㵌¤ÇÒÁ ÃѺ¼Ô´ªÍº¢Í§ DSI NjҨÐÁÕ¤ÇÒÁÃÇ´àÃçÇáÅÐâ»Ã‹§ãʡNjҷÕ輋ҹÁÒ Í‹ҧäà â´Â੾ÒСÒÃŧ¾×é¹·ÕèÍ‹ҧNjͧäÇËÅѧÃѺ¤´ÕÁÒ¨Ò¡ ¡ÃÁÈØÅ¡Ò¡Ã ã¹¡ÒõÃǨÊͺËÅÑ¡°Ò¹µÙŒËÁÙà¶×è͹µ¡¤ŒÒ§ 161 µÙŒ ·Õè·‹ÒàÃ×ÍáËÅÁ©ºÑ§ àÁ×èÍÇѹ·Õè 5 ¡Ã¡®Ò¤Á ·Õ輋ҹÁÒ ¨Ð໚¹à¤Ã×èͧ ¾ÔÊÙ¨¹¡Ò÷íÒ§Ò¹¢Í§ÀÒ¤ÃѰ㹡ÒÃʋͧä¿ãËŒàËç¹Ë¹ŒÒ “à§ÒÁ×´” ¡Ñ¹ ªÑ´æ NjҤ¹ÃŒÒµÑǨÃÔ§·Õ躋͹·íÒÅÒÂàÈÃɰ¡Ô¨ä·ÂáÅзíÒãËŒ¤¹ä·Â àÊÕè§ “µÒ¼‹Í¹Ê‹§” ¨Ò¡¡ÒÃÊÐÊÁã¹Ã‹Ò§¡Ò¢ͧÊÒû¹à»„œÍ¹áÅÐ ÊÒÃà˧à¹×éÍá´§ ·ÕèµÔ´ÁҡѺà¹×éÍËÁÙÅÑ¡ÅͺàËŋҹÕé ¡‹Í¹Ë¹ŒÒ¹Õé ¹ÒÂÍѨ©ÃÔÂÐ àÃ×ͧÃѵ¹¾§È »ÃиҹªÁÃÁ ª‹ÇÂàËÅ×ÍàËÂ×èÍÍÒªÞÒ¡ÃÃÁ ãËŒ»Ò¡¤íҡѺ DSI Ç‹Ò µÑé§áµ‹ 2564 ¨¹¶Ö§»˜¨¨ØºÑ¹ ÁÕ¡ÒÃÅÑ¡Åͺ¹íÒࢌÒËÁÙà¶×è͹ࢌÒÁÒã¹»ÃÐà·Èä·Â “ËÁÙà¶×è͹” ໚¹»ÃÐà´ç¹·Õè¼ÙŒàÅÕéÂ§ÊØ¡Ã·ÑèÇ»ÃÐà·È¨ÑºµÒ´ŒÇ¤ÇÒÁ ʹ㨠áÅÐËÇѧ¨Ðä´ŒÂÔ¹¢‹ÒÇ´ÕÇ‹Ò “µÑǺ§¡ÒÔ ¶Ù¡à»´â»§ãËŒÊѧ¤Áä´Œ ÃѺÃÙŒã¹àÃçÇÇѹ ¢³Ð·ÕèËÁÙà¶×è͹¶Ù¡Â¡ÃдѺ¢Öé¹à»š¹ÇÒÃÐà˧´‹Ç¹¨Ò¡ ÀÒ¤à¡ÉµÃ¡Ã ÀÒ¤Êѧ¤ÁáÅÐÀÒ¤¡ÒÃàÁ×ͧ à¾×èÍà˧ÃÑ´¡Ò÷íÒ§Ò¹ ÀÒ¤ÃѰ Å‹ÒÊØ´¡ÃÁÊͺÊǹ¤´Õ¾ÔàÈÉ (DSI) ÃѺÁÒ໚¹¤´Õ¾ÔàÈÉ à¾×èÍ ´íÒà¹Ô¹¡ÒÃãËŒÁÕ¤ÇÒÁ¤×ºË¹ŒÒáÅÐâ»Ã‹§ãÊ ËÅѧ¤ÅØÁà¤Ã×ÍáÅÐÂ×´àÂ×éÍÁÒ ¹Ò¹¡Ç‹Ò 1 »‚ ¼ÙŒàÅÕé§ËÁÙ·ÑèÇ»ÃÐà·ÈཇÒÃÍ´Ù¤ÇÒÁ¼ÅÊíÒàÃ稢ͧ¡Òà ´íÒà¹Ô¹¤´Õ áÅÐÊ‹§µ‹Í¤´ÕãËŒ¡ÑºÊíҹѡ§Ò¹»‡Í§¡Ñ¹áÅлÃÒº»ÃÒÁ¡Òà ¿Í¡à§Ô¹ (»»§.) à¾×èÍÂÖ´·ÃѾ¼ÙŒ¡ÃзíÒ¼Ô´ 1 »‚ ·Õ輋ҹÁÒ ¡ÃÁÈØÅ¡Ò¡ÃáÅСÃÁ»ÈØÊѵǏ µÒÁÅ‹ÒËÁÙà¶×è͹ ÍÂÙ‹à¹×Í§æ ¨Ñºä´ŒºŒÒ§áµ‹¨ÑºäÁ‹ä´Œà»š¹Ê‹Ç¹ãËÞ‹ “µÑǺ§¡ÒÔ ÂѧÍÂÙ‹ ã¹ “à§ÒÁ×´” ÊÑè§¡ÒÃËÅѧ©Ò¡»ÃѺà»ÅÕ蹡ÅàÁç´ ·íÒ·Ø¡ÇÔ¶Õ·Ò§à¾×èÍ ËźàÅÕè§¡ÒõÃǨÊͺ¢Í§à¨ŒÒ˹ŒÒ·Õè ·Ñé§¡ÒÃÊíÒá´§à·ç¨ ໚¹ÍÒËÒà ·ÐàÅ᪋á¢ç§ËÃ×Íâ¾ÅÕàÁÍÏ ãËŒÊÔ¹¤ŒÒ¼‹Ò¹´‹Ò¹ÈØÅ¡Ò¡Ã¹íÒ仡ÃШÒ 㹵ÅÒ´ â´ÂäÁ‹¼‹Ò¹¡ÒõÃǨÊͺâäÊѵǏáÅÐâäÃкҴ·ÕèÍÒ¨µÔ´ ÁҡѺà¹×éÍÊѵǏàËŋҹÕé ÃÇÁ¶Ö§¡ÒÃÊ‹§à»š¹ÊÔ¹¤ŒÒ¼‹Ò¹á´¹ä»»ÃÐà·È เงามืดกับหมูเถื่อน ทาทายอํานาจรัฐ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE สัตวเศรษฐกิจ 17 5 Ōҹ¡ÔâÅ¡ÃÑÁã¹ 161 µÙŒ¤Í¹à·¹à¹ÍϷѹ·Õ ÂéíҨзíÒãËŒ¢Ñ鹵͹¡Òà ·íÒÅÒ¢ͧ¡Åҧ໚¹ä»ä´ŒÃÇ´àÃçÇÂÔè§¢Öé¹ ª‹ÇÂÊÌҧ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑÂãËŒ ¼ÙŒºÃÔâÀ¤ªÒÇä·Â â´Âà¡ÉµÃ¡Ã¨ÐËÇÁµÃǨÊͺ¢Í§¡ÅÒ§ã¹Çѹ·Õè 5 ¡Ã¡®Ò¤Á¹Õ鴌Ǡ·Õ輋ҹÁÒ ¡ÃÁÈØÅ¡Ò¡ÃÁÕ¡ÒõÑé§ “¤³Ð·íÒ§Ò¹»ÃÐÊÒ¹§Ò¹á¡Œä¢ »˜ÞËÒ¡ÒùíÒࢌÒÊÔ¹¤ŒÒ»ÃÐàÀ·à¹×éÍÊØ¡ÃËÃ×ͪÔé¹Ê‹Ç¹Êء÷Õè¼Ô´¡¯ËÁÒ áÅСÒúÃÔËÒèѴ¡Òâͧ¡ÅÒ§” ¢Öé¹àÁ×èÍ 15 ¾ÄÉÀÒ¤Á 2566 ᵋ à¾Ô觨ÐÁÕ¡ÒûÃЪØÁËÒÃ×ÍàÃ×èͧ¡Ò÷íÒÅÒÂËÁÙà¶×è͹ àÁ×èÍÇѹ·Õè 29 ÁԶعÒ¹ 2566 ÍҨ໚¹ÊÒà˵ØË¹Öè§·Õè·íÒãËŒ¡Ò÷íÒÅÒÂËÁÙà¶×è͹໚¹ ä»Í‹ҧŋҪŒÒ áÅÐàÁ×èÍ DSI ࢌÒÁÒÃѺ໚¹à¨ŒÒ¢Í§¤´Õ ¾ÃŒÍÁແ´·Ñé§ 161 µÙŒ¤Í¹à·¹à¹ÍÏ à¾×è͵ÃǨÊͺÃѺ¢Í§¡Åҧ㹤´Õ¹ÕéÍ‹ҧÃÇ´àÃçÇ ¹Í¡¨Ò¡¨Ð·íÒãËŒá¹Ç⹌Á·Õè¨Ð¨Ñº¡ØÁµŒ¹µÍ¼ÙŒ¹íÒࢌÒáÅмٌà¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§ã¹ ¡ÒÃÅÑ¡Åͺ¹íÒࢌÒã¡ÅŒ¤ÇÒÁ¨ÃÔ§ÁÒ¡¢Öé¹áÅŒÇ ¨Ð·íÒãËŒ¡ÒùíҢͧ¡ÅÒ§ ·Ñé§ËÁ´ÍÍ¡ÁÒ·íÒÅÒÂà¡Ô´ä´ŒàÃçÇ¢Öé¹´ŒÇ “¹Ñºà»š¹¢‹ÒǴբͧà¡ÉµÃ¡ÃáÅФ¹ä·Â·ÕèÀÒ¤ÃѰ¨Ðä´Œà˧·íÒÅÒ ¢Í§àÊÕ »´âÍ¡ÒÊàÅç´ÅÍ´ÍÍ¡ÁÒ¡ÃШÒ¢Ò ·íÒÃŒÒÂÊØ¢ÀÒ¾¤¹ ä·Â´ŒÇ ÅíҾѧᤋ 161 µÙŒ¹Õé¡çÁÕ¤ÇÒÁàÊÕÂËÒÂà¡Ô´¢Öé¹áŌǶ֧ 460 ŌҹºÒ· ÂѧäÁ‹¹ÑºËÁÙà¶×è͹·Õè¡ÃШÒÂÍÍ¡ä»áŌǷÑèÇ»ÃÐà·È áÅÐã¹ ¢³Ð·Õè¡®ËÁÒ¡íÒÅѧ´íÒà¹Ô¹ä»Í‹ҧࢌÁ¢Œ¹ ÍÕ¡´ŒÒ¹Ë¹Öè§ã¹µÅÒ´ ¡ç¾º¡ÒÃÃкҴ¢Í§ËÁÙà¶×è͹˹ѡ¢ŒÍ¢Öé¹ «Öè§¹‹Ò¨Ð໚¹à¾ÃÒмٌ·Õèà¡çº ËÁÙà¶×è͹äÇŒ¾ÂÒÂÒÁÃкÒÂËÁÙÍÍ¡¨Ò¡ËŒÍ§àÂç¹ à¾×èÍÅ´¤ÇÒÁàÊÕè§㹠¡Òö١¨Ñº ËÅÒ¤ÃÑ駡羺໚¹ËÁÙ¢Öé¹ÃÒáÅÐàÊ×èÍÁÊÀÒ¾ ËÒ¡·íÒÅÒ 䴌àÃçǨÐ໚¹¼Å´Õµ‹ÍËÅÒÂÀҤʋǹ” ¹Ò¹ԾѲ¹¡Å‹ÒÇ·Ôé§·ŒÒ ¤Ô´à»š¹ÁÙŤ‹Ò¤ÇÒÁàÊÕÂËÒÂÁÒ¡¡Ç‹Ò 50,000 ŌҹºÒ· áÅÐÁչѡ ¡ÒÃàÁ×ͧ㹾ÃäËÇÁÃѰºÒÅÃÑ¡ÉÒ¡ÒóªØ´»˜¨¨ØºÑ¹·ÕèäÁ‹ãª‹¾Ãä »ÃЪҸԻ˜µÂ «Öè§ÍÂÙ‹áǴǧà¡ÉµÃáÅÐÊˡó ÁÕʋǹà¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§ÅÑ¡Åͺ ¹íÒࢌÒáÅÐ໚¹ÃдѺ¼ÙŒÊÑè§¡Òà ¾ÃŒÍÁªÕéãËŒàËç¹¶Ö§¡ÒáÃзíҷبÃÔµ¢Í§ ਌Ò˹ŒÒ·ÕèÀÒ¤ÃѰ ·Õè·íÒ໚¹¢ºÇ¹¡ÒÃÃѺÊÔ¹º¹à´×͹ÅÐäÁ‹µèíÒ¡Ç‹Ò 2,000 ŌҹºÒ· àËŋҹÕé Ōǹ໚¹â¨·Â·Õè DSI µŒÍ§Ê׺ÊǹÊͺÊǹ áÅÐÃǺÃÇÁ¾ÂÒ¹ËÅÑ¡°Ò¹ ¹íÒ¢ŒÍà·ç¨¨ÃÔ§ÁÒµÕἋãËŒÊѧ¤ÁÃѺ·ÃÒº à¾×èͤ׹¤ÇÒÁ໚¹¸ÃÃÁãËŒ¡Ñº¼ÙŒàÅÕé§ËÁÙ ·Õ赌ͧạÀÒÃТҴ·Ø¹¨Ò¡ ¡ÒÃá·Ã¡á«§ÃҤҢͧËÁÙà¶×è͹ áÅФ¹ä·Â·ÕèÍÒ¨ºÃÔâÀ¤ËÁÙµÔ´ âä-µÔ´àª×éÍâ´ÂäÁ‹ÃÙŒµÑÇ ¼ÙŒàÅÕé§ËÁÙä·Â ËÇÑ§Ç‹Ò DSI ¨Ð໚¹ÍíÒ¹Ò¨ÃѰ·ÕèÁÒª‹Ç»ÃÒº “ËÁÙà¶×è͹” ãËŒËÁ´ÊÔé¹ä»¨Ò¡»ÃÐà·Èä·Â ÃÇÁ¶Ö§¹íÒ “µÑǺ§¡ÒÔ äÁ‹Ç‹Ò¨Ð໚¹¹Ñ¡¡ÒÃàÁ×ͧËÃ×Íà¤Ã×Í¢‹Ò¼ٌÁÕÍÔ·¸Ô¾Å ÁÒÃѺâ·ÉµÒÁ ¡®ËÁÒ¢Ñé¹ÊÙ§ÊØ´ ÂÖ´·ÃѾ·Õèä´ŒÁÒ¨Ò¡¡Ò÷بÃÔµ¡ÃзíÒ¼Ô´¡®ËÁÒ ãËŒµ¡à»š¹¢Í§á¼‹¹´Ô¹ äÁ‹»Å‹ÍÂãËŒÍíÒ¹Ò¨Á×´ÍÂÙ‹à˹×ÍÍíÒ¹Ò¨ÃѰઋ¹·Õè ¼‹Ò¹ÁÒã¹·Ø¡æ ¡Ã³Õ à¾×èÍà»ÅÕè¹á»Å§»ÃÐà·Èä»Êً˹·Ò§·Õè¶Ù¡µŒÍ§ â»Ã‹§ãÊ µÃǨÊͺ䴌 ¤¹¼Ô´µŒÍ§ÃѺâ·ÉµÒÁ¤ÃÃÅͧ¤Ãͧ¸ÃÃÁäÁ‹ »Å‹ÍÂãËŒÅ͹ÇÅÍÕ¡µ‹Íä» ´ŒÒ¹ ¹Ò¹ԾѲ¹ à¹×é͹ÔèÁ ÍØ»¹Ò¡ÊÁÒ¤Á¼ÙŒàÅÕéÂ§ÊØ¡ÃáË‹§ªÒµÔ áÅФ³Ð·íÒ§Ò¹»ÃÐÊÒ¹§Ò¹á¡Œä¢»˜ÞËÒ¡ÒùíÒࢌÒÊÔ¹¤ŒÒ»ÃÐàÀ·à¹×éÍ ÊØ¡ÃËÃ×ͪÔé¹Ê‹Ç¹Êء÷Õè¼Ô´¡¯ËÁÒÂáÅСÒúÃÔËÒèѴ¡Òâͧ¡ÅÒ§ ແ´à¼ÂÇ‹Ò ¤´ÕËÁÙà¶×è͹ã¡ÅŒ¤ÇÒÁ¨Ãԧ㹡ÒèѺ¡ØÁµŒ¹µÍ¼ÙŒ¡ÃзíÒ ¼Ô´¡®ËÁÒÂáÅÐà¤Ã×Í¢‹Ò àÁ×èÍ¡ÃÁÊͺÊǹ¤´Õ¾ÔàÈÉ ËÃ×Í DSI ÃѺ¤´ÕËÁÙà¶×è͹໚¹¤´Õ¾ÔàÈÉáÅŒÇ ´ŒÇ¤´Õ¹ÕéÊÌҧ¤ÇÒÁàÊÕÂËÒµ‹ÍÃѰ ÁÙŤ‹ÒÊÙ§¶Ö§ 460 Ōҹ ·Ñé§ÂѧÁÕ¡Òû¯ÔºÑµÔ§Ò¹·ÕèÃÇ´àÃçÇ â´Âŧ¾×é¹·Õè ·‹ÒàÃ×ÍáËÅÁ©ºÑ§ ¨.ªÅºØÃÕ ·íÒ¡ÒÃແ´µÙŒµÃǨÃѺ¢Í§¡ÅÒ§ËÁÙà¶×è͹ ขาวสารและสาระสําหรับวงการเลี้ยงสัตว


18 สัตวเศรษฐกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการตรวจสอบสินค้า สำานักงานศุลกากรท่าเรือ แหลมฉบัง นายสัตวแพทย์ บุญญกฤช ปิ›นประสงค์ รองอธิบดีกรม ปศุสัตว์ นายศรัณย์พงศ์ ฟุ้งเกียรติ รองเลขาธิการสภาเกษตร แห่งชาติ พันตำารวจเอก ณรงค์ฤทธิì วาพันสุ รองผู้บังคับการภูธร จังหวัดชลบุรี และพันตำารวจเอก ปพรพัชร์ ใบยา ผู้กำากับการสถานี ตำารวจภูธรแหลมฉบัง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ณ สำานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อร่วมกันทำาการตรวจสอบ ตู้สินค้า (ตู้คอนเทนเนอร์) บรรจุสุกรแช่แข็ง จำานวน 161 ตู้ ซึ่ง สำานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังได้ตรวจยึดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจาก ตรวจสอบพบว่ามีการนำาเข้าสุกรแช่แข็งซึ่งเป็นของควบคุมการนำาเข้า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ ในเรื่องนี้ สำานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้มีหนังสือ ขอให้กองบัญชาการตำารวจสอบสวนกลางดำาเนินคดี ต่อมากอง บังคับการปราบปรามการกระทำาความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทาง เศรษฐกิจ จึงได้มีหนังสือส่งเรื่องมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อ พิจารณาดำาเนินการ และในเรื่องเดียวกัน สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ พร้อมด้วย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือ เหยื่ออาชญากรรม ได้เคยให้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นและยื่นหนังสือขอให้ หลังจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม รับคดี “หมูเถื่อน” ตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 161 ตู้ จำานวน 4,500 ตัน (4.5 ล้านกิโลกรัม) มูลค่า 460 ล้านบาท จากกรมศุลกากร ไว้เป็นคดีพิเศษ เห็นได้ชัดว่าการดำาเนินคดีมีการเปิดเผย โปรงใส และรวดเร็ว เริ่มจากการตรวจสอบหลักฐานทั้ง “ของกลาง” และ ผู้เกี่ยวข้องในรูปบริษัท บุคคล รวมถึงเจ้าหน้าที่ภาครัฐ อยู่ในข่าย ต้องเข้าให้ปากคำาเพื่อเก็บหลักฐานทั้งสิ้น ซึ่งการเปิดตู้ที่ถูกอายัดไว้ พบว่าของกลางยังอยู่ครบ และมีการปิดตู้ (Seal) อย่างดี เพื่อป้องกัน การเปิดตู้และเคลื่อนย้ายสินค้าออกไปหลังจากนี้ สำาหรับ “คดีหมูเถื่อน” เชื่อว่า DSI จับตามาก่อนหน้านี้แน่นอน เนื่องจากเป็นการทำาผิดกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายกับ เศรษฐกิจของประเทศในวงกว้างและมูลค่าความเสียหายสูง ที่สำาคัญ อาจมีเจ้าหน้าที่ภาครัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ “ทุจริต” ในคดี นี้ ตลอดจนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อเกิดโรคระบาด ASF ซ้ำา ร่วมถึงโรคระบาดสัตว์อื่นที่ไม่พึงประสงค์ ล้วนเป็นปัจจัยบ่อนทำาลาย สุขภาพที่ดีของสัตว์และผู้บริโภค ทั้งคนไทยและประชากรโลก เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พันตำารวจตรี สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับ นายวาริส วิสารทานนท์ ชาวหมู… หวัง DSI นํา “หมูเถื่อน” สูจ�ดจบ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


18 สัตวเศรษฐกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการตรวจสอบสินค้า สำานักงานศุลกากรท่าเรือ แหลมฉบัง นายสัตวแพทย์ บุญญกฤช ปิ›นประสงค์ รองอธิบดีกรม ปศุสัตว์ นายศรัณย์พงศ์ ฟุ้งเกียรติ รองเลขาธิการสภาเกษตร แห่งชาติ พันตำารวจเอก ณรงค์ฤทธิì วาพันสุ รองผู้บังคับการภูธร จังหวัดชลบุรี และพันตำารวจเอก ปพรพัชร์ ใบยา ผู้กำากับการสถานี ตำารวจภูธรแหลมฉบัง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ณ สำานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อร่วมกันทำาการตรวจสอบ ตู้สินค้า (ตู้คอนเทนเนอร์) บรรจุสุกรแช่แข็ง จำานวน 161 ตู้ ซึ่ง สำานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังได้ตรวจยึดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจาก ตรวจสอบพบว่ามีการนำาเข้าสุกรแช่แข็งซึ่งเป็นของควบคุมการนำาเข้า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ ในเรื่องนี้ สำานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้มีหนังสือ ขอให้กองบัญชาการตำารวจสอบสวนกลางดำาเนินคดี ต่อมากอง บังคับการปราบปรามการกระทำาความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทาง เศรษฐกิจ จึงได้มีหนังสือส่งเรื่องมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อ พิจารณาดำาเนินการ และในเรื่องเดียวกัน สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ พร้อมด้วย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือ เหยื่ออาชญากรรม ได้เคยให้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นและยื่นหนังสือขอให้ หลังจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม รับคดี “หมูเถื่อน” ตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 161 ตู้ จำานวน 4,500 ตัน (4.5 ล้านกิโลกรัม) มูลค่า 460 ล้านบาท จากกรมศุลกากร ไว้เป็นคดีพิเศษ เห็นได้ชัดว่าการดำาเนินคดีมีการเปิดเผย โปรงใส และรวดเร็ว เริ่มจากการตรวจสอบหลักฐานทั้ง “ของกลาง” และ ผู้เกี่ยวข้องในรูปบริษัท บุคคล รวมถึงเจ้าหน้าที่ภาครัฐ อยู่ในข่าย ต้องเข้าให้ปากคำาเพื่อเก็บหลักฐานทั้งสิ้น ซึ่งการเปิดตู้ที่ถูกอายัดไว้ พบว่าของกลางยังอยู่ครบ และมีการปิดตู้ (Seal) อย่างดี เพื่อป้องกัน การเปิดตู้และเคลื่อนย้ายสินค้าออกไปหลังจากนี้ สำาหรับ “คดีหมูเถื่อน” เชื่อว่า DSI จับตามาก่อนหน้านี้แน่นอน เนื่องจากเป็นการทำาผิดกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายกับ เศรษฐกิจของประเทศในวงกว้างและมูลค่าความเสียหายสูง ที่สำาคัญ อาจมีเจ้าหน้าที่ภาครัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ “ทุจริต” ในคดี นี้ ตลอดจนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อเกิดโรคระบาด ASF ซ้ำา ร่วมถึงโรคระบาดสัตว์อื่นที่ไม่พึงประสงค์ ล้วนเป็นปัจจัยบ่อนทำาลาย สุขภาพที่ดีของสัตว์และผู้บริโภค ทั้งคนไทยและประชากรโลก เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พันตำารวจตรี สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกับ นายวาริส วิสารทานนท์ ชาวหมู… หวัง DSI นํา “หมูเถื่อน” สูจ�ดจบ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE สัตว์เศรษฐกิจ 19 กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณารับเป็นคดีพิเศษด้วยอีกส่วนหนึ่งตาม ที่ได้มีการนำาเสนอข่าวไปก่อนนี้ ซึ่งต่อมาอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้พิจารณาและมีคำาสั่งให้รับกรณีนี้ไว้ทำาการสอบสวนเป็นคดีพิเศษ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ทำาการสอบสวนรวบรวม พยานหลักฐาน ปรากฏข้อเท็จจริงว่า สำานักงานศุลกากรท่าเรือ แหลมฉบัง ได้ทำาการสำารวจของค้างบัญชีเรืออยู่ในอารักขาของ ศุลกากรเกินกำาหนดเวลา 30 วัน จึงได้ออกเอกสารบัญชีของค้าง บัญชีเรือ (LIST A) โดยไม่มีใบขนสินค้าอันได้รับรองและไม่ได้เสีย อากรหรือวางเงินประกันค่าอากรหรือวางเงินประกันค่าอากรที่พึง เรียกเก็บแก่ของนั้นและได้แจ้งไปยังตัวแทนเรือและผู้รับตราส่งตามที่ ระบุไว้ในบัญชีเรือ เพื่อให้มีการชำาระอากรหรือวางประกันค่าอากร ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำาหนด แต่เมื่อครบระยะเวลา ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาแสดงความเป็น เจ้าของ จึงทำาการเปิดสำารวจ และพบสินค้าประเภทสุกรแช่แข็ง ซึ่งเป็นของควบคุมการนำาเข้าตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 โดยสินค้าดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาต จากกรมปศุสัตว์ จึงเป็นการนำาเข้าโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 อันเป็นความผิดฐานหลีกเลี่ยงข้อจำากัดและเป็นของอันพึงต้องริบตาม กฎหมายศุลกากร ผลการประเมินราคาสินค้าทั้งหมดมีมูลค่าราคา รวมค่าภาษีอากร รวมเป็นเงิน 460,105,947.38 บาท โดยกรม สอบสวนคดีพิเศษ จะได้ดำาเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำา ผู้กระทำาความผิดมาลงโทษต่อไป ทั้งนี้ การเปิดตู้สินค้าตรวจสอบของ กลางที่ท่าเรือแหลมฉบัง ยังดำาเนินต่อเนื่องจนครบทั้ง 161 ตู้ ทยอย เปิดตู้ไปจัดครบแล้ว ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2566 ยืนยันว่าของ กลางอยู่ครบตามเอกสารที่แจ้งไว้ หลังจาก DSI รับเข้ามาดำาเนินคดี หลักฐานสำาคัญถูกเปิดเผย ต่อสาธารณชนประกอบด้วยรายชื่อผู้นำาเข้า 11 บริษัท ได้แก่ บริษัท กู๊ดวอเตอร์ (เกาะสอง) จำากัด 449FC-2015-2016 No.48, 2nd Floor, 164th Street, Tamwe(YGN) Township, Yangon., ตามเว, ย่างกุ้ง พม่า นำาเข้า จำานวน 11 ครั้ง บริษัท กู๊ด วอเตอร์ อีควิปเม้นท์ จำากัด 0135563005258 9/10 ซอยสุขาภิบาล 5 ซอย 52 แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร 10220 นำาเข้า จำานวน 26 ครั้ง ห้างหุ้นส่วนจำากัด กันตา ไทยโฟรเช่นฟิช 2/5 ซอยวัดเวฬุวนาราม 32 แขวงตอนเมือง เขตตอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210 นำาเข้า จำานวน 23 ครั้ง บริษัท มายเฮ้าส์ เทรดดิ้ง จำากัด 38 ซอยจันทร์ 43 แยก 30 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร 10120 นำาเข้า จำานวน 10 ครั้ง บริษัท อาร์.ที.เอ็น.โอเวอร์ซี จำากัด 116/23-24 อาคารโซคมหาชัย ชั้นที่ 2 ถนน ณ ระนองแขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 นำาเข้า จำานวน 21 ครั้ง บริษัท เรนโบว์ กรุ๊ป จำากัด 69/3 หมู่ที่ 1 ตำาบลตาก้อง อำาเภอเมืองนครปฐม จ.แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 นำาเข้า จำานวน 1 ครั้ง ห้างหุ้นส่วนจำากัด สหัสวรรษ ฟูดส์ 115 ซอยรามคำาแหง 2 ซอย 23 แยก 9 แขวงดอกไม้เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร 10250 นำาเข้า จำานวน 1 ครั้ง บริษัท ซี เวิร์ล โฟรเช่น ฟูด จำากัด 773 ซอยหมู่บ้านเสนาวิลล่า แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์


20 สัตว์เศรษฐกิจ 10240 นำาเข้า จำานวน 2 ครั้ง บริษัท ศิขัณทิน เทรดดิ้ง จำากัด 016556300151115.17 ซอย ถนนเทศบาล ตำาบลบ้านหมี่ อำาเภอ บ้านหมื่ จ.ลพบุรี 15110 นำาเข้า จำานวน 39 ครั้ง บริษัท สมายล์ ท็อป เค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำากัด 0165564000535 15,17 ซอย ถนนเทศบาล ตำาบลบ้านหมี่ อำาเภอบ้านหมี่ จ.ลพบุรี 15110 นำาเข้า จำานวน 2 ครั้ง บริษัท เดอะ คิวบ์ โลจิสติกส์ จำากัด 33/353 ถนนสุขาภิบาล 2 แขวงประเวศ เขตประเวศ นำาเข้า จำานวน 25 ครั้ง และสายการเดินเรือ 17 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหมูเถื่อน 161 ตู้ ล่าสุด น.ส.พิทยาภรณ์ ชูรัตน์ รองโฆษกดีเอสไอ เปิดเผยว่า ดีเอสไอรับคดีขบวนการนำาเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (สุกร) เข้ามา ในราชอาณาจักร โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นคดีพิเศษที่ 59/2566 เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 66 พร้อมเร่งดำาเนินการสอบสวนรวบรวมพยาน หลักฐานเพื่อดำาเนินคดีกับผู้มีส่วนกระทำาความผิด ร่วมบูรณาการกับ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ ทำาการเปิดตู้คอนเทนเนอร์ ณ สำานักงาน ศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง โดยปัจจุบันดำาเนินการตรวจสอบแล้ว ทั้งหมด 161 ตู้ จากการตรวจสอบพบ 4 ตู้ที่เครื่องทำาความเย็นเสีย ทำาให้เนื้อ สุกรภายในตู้เน่าเสีย ทั้งนี้ การเปิดตู้เนื้อสุกรแช่แข็งดังกล่าวเป็นการ ตรวจสอบเพื่อยืนยันจำานวนการนำาเข้าและเพื่อตรวจยืนยันว่าผู้ใดเป็น ผู้นำาเข้าเพื่อประโยชน์ในการดำาเนินคดี โดยสินค้าประเภทสุกรแช่แข็ง จำานวน 161 ตู้ดังกล่าว พบเนื้อหมูลักลอบนำาเข้ามา 4.5 ล้าน กิโลกรัม ได้รับการยืนยันจากกรมปศุสัตว์ว่าเป็นสินค้าที่ไม่ผ่านการ ตรวจโรคตาม ม.31 แห่ง พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ฯ การนำาเข้ามาโดย ไม่ผ่านการตรวจโรคดังกล่าว จึงเป็นการนำาเข้าโดยฝ่าฝืนซึ่งตาม กฎหมาย ในการนำาเข้าจะต้องผ่านการตรวจโรคจากกรมปศุสัตว์และ ต้องสำาแดงการนำาเข้าให้ถูกประเภท พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเข้าข่ายเป็นความผิดฐานหลีกเลี่ยง ข้อจำากัดตามมาตรา 244 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และเนื้อสุกร LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE แช่แข็งดังกล่าว ถือเป็นของอันพึงริบตามมาตรา 166 ของกฎหมาย ดังกล่าวด้วย ซึ่งหากสำาแดงถูกต้อง รัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีอากร ได้เป็นเงินจำานวนกว่า 460 ล้านบาท โดยในสัปดาห์หน้าจะเริ่มทำาลาย ซากสุกรเถื่อน คาดใช้งบในการฝังกลบประมาณ 12 ล้านบาท ส่วน หนึ่งมาจากกรมปศุสัตว์และบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง พร้อมเตรียม จัดหาสถานที่ให้เหมาะสม ส่วนผลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนพบว่ามี 11 บริษัท ผู้นำาเข้า และ 17 บริษัทสายเรือที่เกี่ยวข้อง โดยหลังจากนี้จะเรียก บุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำาว่าเคยมีการนำาเข้าลักษณะนี้หรือไม่ หรือนำาเข้าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ หรือสินค้าประเภทด้วยหรือไม่ นอกจาก นี้ ยังอยู่ระหว่างขยายผลว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือ ไม่ อย่างไรก็ตาม มีการนำาตัวอย่างเศษเนื้อสุกรไปตรวจพิสูจน์ เกี่ยวกับโรคระบาดนั้น ขณะนี้กำาลังรอผลจากห้องแล็บจากกรม ปศุสัตว์ “ยืนยันว่าซากเนื้อสุกรไม่มีสูญหายจากตู้คอนเทนเนอร์ที่ยึด อายัดไว้ ขอให้ประชาชนมั่นใจ ส่วนที่ก่อนหน้านี้อาจมีเนื้อสุกรหลุด ไปตามร้านหมูกะทะหรือหน้าเขียง เบื้องต้นไม่สามารถตรวจสอบ แน่ชัดได้ ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้เร่งทำาการ สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานอย่างรวดเร็ว เพื่อดำาเนินคดี กับผู้ที่นำาเข้าชิ้นส่วนเนื้อหมู รวมถึงขยายผลไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับกระทำาความผิด เพื่อเป็นการตัดวงจรความเสี่ยงที่จะเกิดโรคระบาด ต่อสุกรที่เลี้ยงในเมืองไทย และคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนั้นยังเป็น ประโยชน์กับผู้เลี้ยงสุกรในเมืองไทยที่ลดคู่แข่งที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ข้อกฎหมาย สร้างสมดุลให้กับตลาดค้าเนื้อหมูชิ้นส่วนหมูที่เกษตรกร เลี้ยงกันภายในประเทศ” รองโฆษกดีเอสไอ กล่าว ด้าน นายสัตวแพทย์บุญญกรช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรม ปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์ได้รับหนังสือขอมอบของตกค้างที่ เป็นของต้องจำากัดเพื่อนำาไปทำาลายจากสำานักงานศุลกากรท่าเรือ แหลมฉบัง เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 แต่ของกลางดังกล่าวอยู่ใน


20 สัตว์เศรษฐกิจ 10240 นำาเข้า จำานวน 2 ครั้ง บริษัท ศิขัณทิน เทรดดิ้ง จำากัด 016556300151115.17 ซอย ถนนเทศบาล ตำาบลบ้านหมี่ อำาเภอ บ้านหมื่ จ.ลพบุรี 15110 นำาเข้า จำานวน 39 ครั้ง บริษัท สมายล์ ท็อป เค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำากัด 0165564000535 15,17 ซอย ถนนเทศบาล ตำาบลบ้านหมี่ อำาเภอบ้านหมี่ จ.ลพบุรี 15110 นำาเข้า จำานวน 2 ครั้ง บริษัท เดอะ คิวบ์ โลจิสติกส์ จำากัด 33/353 ถนนสุขาภิบาล 2 แขวงประเวศ เขตประเวศ นำาเข้า จำานวน 25 ครั้ง และสายการเดินเรือ 17 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหมูเถื่อน 161 ตู้ ล่าสุด น.ส.พิทยาภรณ์ ชูรัตน์ รองโฆษกดีเอสไอ เปิดเผยว่า ดีเอสไอรับคดีขบวนการนำาเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (สุกร) เข้ามา ในราชอาณาจักร โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นคดีพิเศษที่ 59/2566 เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 66 พร้อมเร่งดำาเนินการสอบสวนรวบรวมพยาน หลักฐานเพื่อดำาเนินคดีกับผู้มีส่วนกระทำาความผิด ร่วมบูรณาการกับ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ ทำาการเปิดตู้คอนเทนเนอร์ ณ สำานักงาน ศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง โดยปัจจุบันดำาเนินการตรวจสอบแล้ว ทั้งหมด 161 ตู้ จากการตรวจสอบพบ 4 ตู้ที่เครื่องทำาความเย็นเสีย ทำาให้เนื้อ สุกรภายในตู้เน่าเสีย ทั้งนี้ การเปิดตู้เนื้อสุกรแช่แข็งดังกล่าวเป็นการ ตรวจสอบเพื่อยืนยันจำานวนการนำาเข้าและเพื่อตรวจยืนยันว่าผู้ใดเป็น ผู้นำาเข้าเพื่อประโยชน์ในการดำาเนินคดี โดยสินค้าประเภทสุกรแช่แข็ง จำานวน 161 ตู้ดังกล่าว พบเนื้อหมูลักลอบนำาเข้ามา 4.5 ล้าน กิโลกรัม ได้รับการยืนยันจากกรมปศุสัตว์ว่าเป็นสินค้าที่ไม่ผ่านการ ตรวจโรคตาม ม.31 แห่ง พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ฯ การนำาเข้ามาโดย ไม่ผ่านการตรวจโรคดังกล่าว จึงเป็นการนำาเข้าโดยฝ่าฝืนซึ่งตาม กฎหมาย ในการนำาเข้าจะต้องผ่านการตรวจโรคจากกรมปศุสัตว์และ ต้องสำาแดงการนำาเข้าให้ถูกประเภท พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเข้าข่ายเป็นความผิดฐานหลีกเลี่ยง ข้อจำากัดตามมาตรา 244 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และเนื้อสุกร LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE แช่แข็งดังกล่าว ถือเป็นของอันพึงริบตามมาตรา 166 ของกฎหมาย ดังกล่าวด้วย ซึ่งหากสำาแดงถูกต้อง รัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีอากร ได้เป็นเงินจำานวนกว่า 460 ล้านบาท โดยในสัปดาห์หน้าจะเริ่มทำาลาย ซากสุกรเถื่อน คาดใช้งบในการฝังกลบประมาณ 12 ล้านบาท ส่วน หนึ่งมาจากกรมปศุสัตว์และบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง พร้อมเตรียม จัดหาสถานที่ให้เหมาะสม ส่วนผลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนพบว่ามี 11 บริษัท ผู้นำาเข้า และ 17 บริษัทสายเรือที่เกี่ยวข้อง โดยหลังจากนี้จะเรียก บุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำาว่าเคยมีการนำาเข้าลักษณะนี้หรือไม่ หรือนำาเข้าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ หรือสินค้าประเภทด้วยหรือไม่ นอกจาก นี้ ยังอยู่ระหว่างขยายผลว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือ ไม่ อย่างไรก็ตาม มีการนำาตัวอย่างเศษเนื้อสุกรไปตรวจพิสูจน์ เกี่ยวกับโรคระบาดนั้น ขณะนี้กำาลังรอผลจากห้องแล็บจากกรม ปศุสัตว์ “ยืนยันว่าซากเนื้อสุกรไม่มีสูญหายจากตู้คอนเทนเนอร์ที่ยึด อายัดไว้ ขอให้ประชาชนมั่นใจ ส่วนที่ก่อนหน้านี้อาจมีเนื้อสุกรหลุด ไปตามร้านหมูกะทะหรือหน้าเขียง เบื้องต้นไม่สามารถตรวจสอบ แน่ชัดได้ ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้เร่งทำาการ สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานอย่างรวดเร็ว เพื่อดำาเนินคดี กับผู้ที่นำาเข้าชิ้นส่วนเนื้อหมู รวมถึงขยายผลไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับกระทำาความผิด เพื่อเป็นการตัดวงจรความเสี่ยงที่จะเกิดโรคระบาด ต่อสุกรที่เลี้ยงในเมืองไทย และคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนั้นยังเป็น ประโยชน์กับผู้เลี้ยงสุกรในเมืองไทยที่ลดคู่แข่งที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ข้อกฎหมาย สร้างสมดุลให้กับตลาดค้าเนื้อหมูชิ้นส่วนหมูที่เกษตรกร เลี้ยงกันภายในประเทศ” รองโฆษกดีเอสไอ กล่าว ด้าน นายสัตวแพทย์บุญญกรช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรม ปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์ได้รับหนังสือขอมอบของตกค้างที่ เป็นของต้องจำากัดเพื่อนำาไปทำาลายจากสำานักงานศุลกากรท่าเรือ แหลมฉบัง เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 แต่ของกลางดังกล่าวอยู่ใน สัตว์เศรษฐกิจ 21 ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์ ความดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรมปศุสัตว์จึงต้องรอ กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบเอกสารหลักฐานของตู้สินค้าก่อนเพื่อ ประกอบสำานวนการฟ้องคดีและหาตัวผุ้กระทำาความผิด เมื่อดำาเนินการ ครบถ้วนแล้วจึงจะสามารถนำาซากสุกรดังกล่าวไปทำาลายได้ โดย ระหว่างนั้นกรมปศุสัตว์ได้มีคำาสั่งแต่งตั้งคณะทำางานเพื่อป้องกันและ ปราบปรามการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงการนำาเข้าสินค้าประเภทสุกรมี ชีวิตหรือซากสุกร ที่นำาเข้าทางสำานักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการลักลอบหรือหลีกเลี่ยงนำาเข้า สินค้าประเภทสุกรมีชีวิตหรือซากสุกร ที่นำาเข้าทางสำานักงานศุลกากร ท่าเรือแหลมฉบัง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล มีความพร้อมที่จะรับของกลางไปทำาลายเมื่อกรม สอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบเอกสารหลักฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันของตกค้างที่เป็นของต้องกำากัด ประเภทซากสุกร แช่แข็ง จำานวนทั้งหมด 161 ตู้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ รับเป็นคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว(คดีพิเศษที่ 59/2566) ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจเอกสารหลักฐานของแต่ละตู้ เพื่อ สร้างความเชื่อมั่นว่าในระหว่างรอการส่งมอบจากกรมสอบสวนคดี พิเศษ (DSI) ของกลางตกค้างดังกล่าวจะไม่ถูกนำาออกมาในช่วงเก็บ รักษาและรอไปทำาลาย ซึ่งในการตรวจเปิดตรวจสอบแต่ละตู้จะมี เจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร และกรมปศุสัตว์ เข้าตรวจสอบร่วมกัน โดยเมื่อตรวจสอบแต่ละตู้เสร็จจะทำาการติดซีล (Security Seal) ของกรมศุลกากรและกรมปศุสัตว์ไว้ที่ตู้ และจะ ทำาการตัดซีลร่วมกันอีกครั้งในการนำาของกลางไปทำาลาย ซึ่งจะมี ตัวแทนจากสภาเกษตรกร สมาคมผู้เลี้ยงสุกร และสื่อมวลชน ร่วม เป็นสักขีพยาน ณ บริเวณจุดทำาลาย เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจ สอบตู้สินค้าดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้วจะดำาเนินการส่งมอบให้กรมปศุสัตว์ ดำาเนินการทำาลายตามระเบียบของกรมปศุสัตว์ต่อไป หมูเถื่อนเข้ามาเหยียบย่ำาผู้เลี้ยงหมูไทยเป็นแรมปี แต่การ ดำาเนินคดีเป็นไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งคดีก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยเพียง ชื่อพนักงานขับรถ ขณะที่เจ้าของสินค้ารับทราบในขั้นตอนของตำารวจ เกิดคำาถามว่ามีการแจ้งความตามขั้นตอนอย่างโปรงใสหรือไม่ เพื่อ นำาไปสู่การสอบสวนดำาเนินดคีของตำารวจ ซึ่งข้อสังเกตนี้ DSI คง ต้องเรียกเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำาด้วย ตั้งแต่เกิดวิกฤตโรคระบาด ASF ทำาให้หมูขาดแคลนในปี 2565 ผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ คาดการณ์ว่ามีการลักลอบนำาเข้าหมูเถื่อนมา ไม่น้อยกว่า 1,000 ตู้ (ตู้ละประมาณ 25 ตัน) สร้างความเสียหาย กับห่วงโซ่การผลิตและการค้าเนื้อหมู ประเทศต้องสูญเสียรายได้ หมูเถื่อนจำานวนมหาศาลเข้ามาแทรกแซงตลาด กดราคาขายทำาให้ ผู้เลี้ยงขาดทุนต่อเนื่อง แม้จะมีการชี้เบาะแสมาโดยตลอดว่า ท่าเรือ แหลมฉบังเป็นช่องทางนำาเข้าใหญ่ที่สุด แต่การตรวจสอบจับกุมต้อง ใช้เวลานานกว่า 1 ปี และจับกุมได้เพียงส่วนน้อยไม่ถึง 1 ใน 3 ของการลักลอบนำาเข้า กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นความหวังใหม่ ที่เข้าควบคุมคดีการ จับกุมหมูเถื่อนจำานวนมากที่สุดในประเทศ ผู้เลี้ยงหมูและสังคม หวังใจว่าคดีนี้จะ “ไม่คว้าน้ำาเหลว” เช่นที่ผ่านมา แต่จะสามารถ ตัดตอนเส้นทางหมูเถื่อนและเชื่อมต่อไปถึง “หัวหน้าขบวนการไทยเทา” ที่ “ปล้นชาติ” กอบโกยผลกำาไรไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวบนความ เดือดร้อนของเกษตรกร มารับโทษขั้นสุงสุด จนถึงการยึดทรัพย์ที่ได้ มาโดยไม่สุจริต เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยมา นานกว่า 1 ปี น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกร แห่งชาติ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่สังเกตการณ์เปิดตู้หมูเถื่อน 161 ตู้ ที่แหลมฉบังจังหวัดชลบุรี เป็นการตอกย้ำาปัญหาหมูเถื่อนขยาย วงกว้างหลังไทยประสบปัญหาโรคระบาด ASF หมูในประเทศ ขาดแคลน เปิดโอกาสให้ “หมูเถื่อน” ทะลักเข้ามาสร้างซัพพลายเทียม แทรกแซงตลาดดัมพ์ราคาจนราคาในประเทศตกต่ำา ทำาลายโอกาส ของเกษตรกรไทยมานานกว่า 18 เดือน โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย และรายเล็ก ต้องประสบปัญหาขาดทุนสะสมมาโดยตลอดจนบางราย ต้องเลิกเลี้ยง ทำาความเสียหายให้กับเศรษฐกิจประเทศมากกว่า 50,000 ล้านบาท ที่สำาคัญหมูเถื่อนที่ยังตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง เป็นเวลานานมีการตรวจพบเชื้อแบคทีเรียและสารปนเปื้อน ที่เป็น อันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค “หมูเถื่อน เป็นปัจจัยบั่นทอนความมั่นคงทางอาหารของคนไทย สมาคมฯจึงอยากเชิญชวนผู้บริโภคให้เลือกซื้อเนื้อหมูของไทยที่มี ความปลอดภัย มีการเลี้ยงพิถีพิถัน มีมาตรการป้องกันโรคระบาดที่ เข้มแข็งไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดง ดีต่อสุขภาพ จากร้านที่เชื่อถือได้หรือ ร้านที่สัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน ที่สำาคัญยังช่วยสนับสนุนผู้เลี้ยงหมู ให้มีรายได้เพื่อรักษากิจการไว้ มีผลผลิตป้อนตลาดในประเทศ ต่อเนื่อง” น.สพ.วิวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย


22 สัตวเศรษฐกิจ ป˜ÞËาËมÙเ¶×่Íนที่เข้ามาแทรกตลาดËมÙไทÂÍÂ่า§Ëนักãนช่ว§ที่ ผ่านมา เป็นเพราะราคาหมูไทยที่แพงขึ้นจากความเสียหายด้วยโรค ASF เป็นช่องว่างให้หมูผิดกฎหมายแทรกตัวเข้าสู่ทุกอนูของวงการ ค้าหมูในประเทศ ไม่เพียงเท่านั้นต้นทุนการผลิตหมูไทยที่พุ่งสูงขึ้น มากจากมาตรการป้องกันโรค และราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทำาให้ ความสามารถในการแข่งขันของหมูไทยหมดไป พ่ายแพ้แก่หมูเถื่อน ที่ยั่วใจคนซื้อด้วยราคาที่ต่ำากว่ามาก ฟังอย่างนี้แล้วคนที่น่าเห็นใจที่สุดก็หนีไม่พ้น “เกษตรกรคนเลี้ยง ËÁÙ” ของไทยเรา ที่ลำาพังตัวเองคนเดียว ย่อมไม่สามารถสู้รบตบมือ กับมิจฉาชีพและปัญหาต่างæ ได้เอง ภาครัฐ มีส่วนสำาคัญอย่างมาก ในการคลี่คลายปัญหา และต้องช่วยทำาให้เกษตรกรไทยกลับมาแข็ง แรง พร้อมผลิตอาหารปลอดภัยให้คนไทย ไม่ต้องแขวนชีวิตและ สุขภาพไว้กับหมูเถื่อนที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใดæ รวมถึง เป็นผู้เถื่อนหมดอายุที่วันนี้ขึ้นราเต็มชิ้นแล้ว ตามที่ปรากฏในข่าว ภาครัฐที่ต้องช่วยคลี่คลายปัญหา ไม่ใช่มีเพียงกรมปศุสัตว์-กรม ศุลกากร - ตำารวจ ที่ต้องร่วมมือกันไล่กวดขัน จับกุม ปราบปราม และป้องกันหมูเถื่อนไม่ให้เข้าประเทศเท่านั้น แต่หน่วยงานรัฐที่ต้อง ช่วยเหลือเรื่องต้นทุนการผลิตก็มีความสำาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของ การเลี้ยงสัตว์ที่มี “กรมการค้าภายใน” เป็นเจ้าภาพสำาคัญ ภายใต้ข้อจำากัดในตลาดโลกที่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ยังอยู่ใน เกณ±์สูง จากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครนซึ่งเป็นวาระแห่งโลก ที่ กรมการค้าภายในรับรู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถไปแก้ปัญหานอกประเทศ ได้ ทางออกคือต้องทำาจากภายในประเทศเราเอง ไม่ว่าจะเป็นการลด ภาษีนำาเข้า หรือการยกเว้นมาตรการที่เป็นอุปสรรค แต่สิ่งที่เสนอ แกปญหาวัตถุดิบ… เทากับแกตนทุนผูเลี้ยง ออกมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์กลับผิดคาด และดูแปลก ไปจากที่ควรจะเป็น โดยมีข้อเสนอที่จะจับคู่เกษตรกรกับโรงงานอาหารสัตว์ เพื่อจุด ประสงค์ให้เกิดการซื้อ-ขายโดยตรง ระหว่างเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์กับ โรงงานอาหารสัตว์ พร้อมæ กับเสนอช่วยเรื่องค่าขนส่ง ภายใต้ งบประมาณ 4 ล้านบาท พร้อมงบอีกส่วนหนึ่งในการชดเชยดอกเบี้ย เงินกู้ 3 เปอร์เซ็นต์ ให้เกษตรกรภาคปศุสัตว์ ทั้งหมดนี้น่าจะดำาเนิน การในเดือนกรกฎาคมนี้ ถามว่าสิ่งเหล่านี้ดีต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์หรือไม่ ก็ต้องตอบ ว่าดีกว่าไม่ทำาอะไร แต่มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและถูกจำากัด ในวงแคบ ทั้งæ ที่กรมการค้าภายในน่าจะเห็นทางออกที่ได้ประโยชน์ กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในวงกว้างอยู่แล้ว โดยไม่จำาเป็นต้องหา งบประมาณมาสนับสนุนด้วยซ้ำา แต่เหตุใดจึงเพิกเฉยกับทางออกนั้น อันนี้ยังเป็นที่กังขาอยู่ ตัวอย่างมาตรการสำาคัญที่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันและ สามารถประกาศใช้ได้ทันที ได้แก่ 1. การลดภาษีนำาเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็น 0 เปอร์เซ็นต์ ทั้งกากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี หรืออื่นæ 2. ยกเลิกมาตรการข้าวโพด 3 ส่วน : ข้าวสาลี 1 ส่วน ที่ เป็นปัญหาดันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศให้สูงเกินจริงเสมอมา 3. เปดเสรีนำาเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยไม่จำากัดโควต้าหรือ ระยะเวลานำาเข้า เพียงแค่ 3 ข้อนี้ก็ช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ได้แล้วอย่าง รวดเร็วและปรากฏผลในวงกว้าง หากไม่รีบดำาเนินการจะยิ่งทำาให้ สถานการณ์ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ย่ำาแย่ และ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


22 สัตวเศรษฐกิจ ป˜ÞËาËมÙเ¶×่Íนที่เข้ามาแทรกตลาดËมÙไทÂÍÂ่า§Ëนักãนช่ว§ที่ ผ่านมา เป็นเพราะราคาหมูไทยที่แพงขึ้นจากความเสียหายด้วยโรค ASF เป็นช่องว่างให้หมูผิดกฎหมายแทรกตัวเข้าสู่ทุกอนูของวงการ ค้าหมูในประเทศ ไม่เพียงเท่านั้นต้นทุนการผลิตหมูไทยที่พุ่งสูงขึ้น มากจากมาตรการป้องกันโรค และราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทำาให้ ความสามารถในการแข่งขันของหมูไทยหมดไป พ่ายแพ้แก่หมูเถื่อน ที่ยั่วใจคนซื้อด้วยราคาที่ต่ำากว่ามาก ฟังอย่างนี้แล้วคนที่น่าเห็นใจที่สุดก็หนีไม่พ้น “เกษตรกรคนเลี้ยง ËÁÙ” ของไทยเรา ที่ลำาพังตัวเองคนเดียว ย่อมไม่สามารถสู้รบตบมือ กับมิจฉาชีพและปัญหาต่างæ ได้เอง ภาครัฐ มีส่วนสำาคัญอย่างมาก ในการคลี่คลายปัญหา และต้องช่วยทำาให้เกษตรกรไทยกลับมาแข็ง แรง พร้อมผลิตอาหารปลอดภัยให้คนไทย ไม่ต้องแขวนชีวิตและ สุขภาพไว้กับหมูเถื่อนที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยใดæ รวมถึง เป็นผู้เถื่อนหมดอายุที่วันนี้ขึ้นราเต็มชิ้นแล้ว ตามที่ปรากฏในข่าว ภาครัฐที่ต้องช่วยคลี่คลายปัญหา ไม่ใช่มีเพียงกรมปศุสัตว์-กรม ศุลกากร - ตำารวจ ที่ต้องร่วมมือกันไล่กวดขัน จับกุม ปราบปราม และป้องกันหมูเถื่อนไม่ให้เข้าประเทศเท่านั้น แต่หน่วยงานรัฐที่ต้อง ช่วยเหลือเรื่องต้นทุนการผลิตก็มีความสำาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของ การเลี้ยงสัตว์ที่มี “กรมการค้าภายใน” เป็นเจ้าภาพสำาคัญ ภายใต้ข้อจำากัดในตลาดโลกที่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ยังอยู่ใน เกณ±์สูง จากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครนซึ่งเป็นวาระแห่งโลก ที่ กรมการค้าภายในรับรู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถไปแก้ปัญหานอกประเทศ ได้ ทางออกคือต้องทำาจากภายในประเทศเราเอง ไม่ว่าจะเป็นการลด ภาษีนำาเข้า หรือการยกเว้นมาตรการที่เป็นอุปสรรค แต่สิ่งที่เสนอ แกปญหาวัตถุดิบ… เทากับแกตนทุนผูเลี้ยง ออกมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์กลับผิดคาด และดูแปลก ไปจากที่ควรจะเป็น โดยมีข้อเสนอที่จะจับคู่เกษตรกรกับโรงงานอาหารสัตว์ เพื่อจุด ประสงค์ให้เกิดการซื้อ-ขายโดยตรง ระหว่างเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์กับ โรงงานอาหารสัตว์ พร้อมæ กับเสนอช่วยเรื่องค่าขนส่ง ภายใต้ งบประมาณ 4 ล้านบาท พร้อมงบอีกส่วนหนึ่งในการชดเชยดอกเบี้ย เงินกู้ 3 เปอร์เซ็นต์ ให้เกษตรกรภาคปศุสัตว์ ทั้งหมดนี้น่าจะดำาเนิน การในเดือนกรกฎาคมนี้ ถามว่าสิ่งเหล่านี้ดีต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์หรือไม่ ก็ต้องตอบ ว่าดีกว่าไม่ทำาอะไร แต่มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและถูกจำากัด ในวงแคบ ทั้งæ ที่กรมการค้าภายในน่าจะเห็นทางออกที่ได้ประโยชน์ กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในวงกว้างอยู่แล้ว โดยไม่จำาเป็นต้องหา งบประมาณมาสนับสนุนด้วยซ้ำา แต่เหตุใดจึงเพิกเฉยกับทางออกนั้น อันนี้ยังเป็นที่กังขาอยู่ ตัวอย่างมาตรการสำาคัญที่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันและ สามารถประกาศใช้ได้ทันที ได้แก่ 1. การลดภาษีนำาเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็น 0 เปอร์เซ็นต์ ทั้งกากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี หรืออื่นæ 2. ยกเลิกมาตรการข้าวโพด 3 ส่วน : ข้าวสาลี 1 ส่วน ที่ เป็นปัญหาดันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศให้สูงเกินจริงเสมอมา 3. เปดเสรีนำาเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยไม่จำากัดโควต้าหรือ ระยะเวลานำาเข้า เพียงแค่ 3 ข้อนี้ก็ช่วยลดต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ได้แล้วอย่าง รวดเร็วและปรากฏผลในวงกว้าง หากไม่รีบดำาเนินการจะยิ่งทำาให้ สถานการณ์ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ย่ำาแย่ และ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE สัตว์เศรษฐกิจ 23 วัตถุดิบอาหารสัตว์สูง อีกทั้งหมูเถื่อนยังลักลอบนำาเข้ามาแทรกแซง ราคาอีก จึงอยากขอให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาทบทวนนโยบายอาหาร สัตว์แบบบูรณาการ แก้ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและราคาสูง และ ปราบหมูเถื่อนให้สิ้น เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของหมู ไทยในอนาคต” นายสิทธิพันธ์ กล่าว ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ปัญหาใหญ่ของผู้เลี้ยงหมูเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำาให้การค้าขายไม่คล่อง ตัวและไม่เป็นไปตามกลไกตลาด 2. การพบโรคระบาด ASF ในไทย กระทบผลผลิตหายไป 50% และยังถูกหมูเถื่อนบิดเบือนกลไกตลาด และ 3. สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อนานกกว่า 1 ปี ส่งผล กระทบต่อเนื่องทั้งราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น 30% รวมถึงราคา พลังงาน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของภาคปศุสัตว์ เป็นการซ้ำาเติมผู้เลี้ยง หมูต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตสูงและขาดทุนสะสมต่อเนื่องจนถึง ปัจจุบัน สำาหรับวัตถุดิบอาหารสัตว์คิดเป็น 60-70 เปอร์เซ็นต์ ของ ต้นทุนการเลี้ยงหมู โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นส่วน ผสมสำาคัญในสูตรอาหารปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 สูงสุด ที่ราคา 13.75 บาทต่อกิโลกรัม ผลของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำาให้ การขนส่งหยุดชะงักทั้งหมด นอกจากนี้ ประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบ ดังกล่าวยังมีการห้ามส่งออกธัญพืชเพื่อความมั่นคงทางอาหารของ ประเทศ ทำาให้ซัพพลายในตลาดขาดแคลนดันราคาสูงขึ้นมาโดยตลอด แม้ว่าปัจจุบันราคาจะปรับลดลงบ้างก็ตามแต่ราคาในไทยยังคงยืนแข็ง ในระดับสูงเฉลี่ยที่ 12-12.75 บาทต่อกิโลกรัม และสูงเกินกว่าราคา ประกันของรัฐบาลที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม จนรัฐบาลประกาศ ไม่จ่ายชดเชยส่วนต่างราคาเป็นครั้งที่ 8 ในรอบปี 2566 ประเทศไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้เพียงปีละ 5 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการสูงถึง 8 ล้านตัน ส่วนเกิน 3 ล้านตัน การ นำาเข้าอยู่ภายใต้มาตรการโควต้าและภาษีนำาเข้าของรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัย ทำาให้ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ยังคงสูง ทั้งที่ภาคปศุสัตว์เคย เรียกร้องขอให้รัฐบาลพิจารณาแก้ปัญหานี้มาแล้วหลายสมัยแต่ก็ยัง ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม มีเพียงมาตรการชั่วคราวเพื่อ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น จึงหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีการทบทวน นโยบายอาหารสัตว์ให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และส่งเสริม อุตสาหกรรมสุกรไทยที่ผลิตเนื้อหมูปลอดภัยสำาหรับคนไท ย ตลอดจนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าเนื้อสัตว์ของไทย ให้มีอนาคตสดใสสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ทั้งด้านราคาและ คุณภาพ สู่แนวทางการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน. ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงราคาเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นอาหารจำาเป็นของ ประชาชน ประเด็นสำาคัญคือ ทวีปอเมริกาใต้ แหล่งเพาะปลูกธัญพืชสำาคัญ ของโลก กำาลังเผชิญกับ ปรากฏการณ์เอลนิโญ ที่ก่อให้เกิดสภาพ อากาศแปรปรวนอย่างหนัก คาดการณ์ผลผลิตได้ว่าไม่มีทางเป็นไป ตามปกติหรือเพิ่มขึ้นได้เลย ราคาธัญพืชวัตถุดิบทั้งหลายจะยังคงแพง ไปตลอดทั้งปี 2566 ดังนั้นการจะช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์รอดตาย และกลับมาแข็งแรงพอที่จะผลิตเนื้อสัตว์เพื่อผู้บริโภคต่อไปได้ ก็ขึ้น อยู่กับการตัดสินใจของกรมการค้าภายในแล้ว เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ ขอรัฐบาลใหม่พิจารณา ทบทวนนโยบายอาหารสัตว์ทั้งระบบ โดยเฉพาะมาตรการประกันราคา ขั้นต่ำา โควต้าและภาษีนำาเข้า ที่เป็นปัจจัยลดความสามารถในการ แข่งขันของไทย ควรเน้นการป้องกันโรคระบาด การวิจัยและพัฒนา เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตเนื้อสัตว์ สร้างอาหารปลอดภัยตอบโจทย์ แนวโน้มความต้องการของตลาดโลก ด้าน น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกร แห่งชาติ เผยว่า ภาครัฐควรพิจารณามาตรการสนับสนุนเกษตรกร ผู้เลี้ยงหมูเรื่องต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงขึ้น 25-30% มามากกว่า 2 ปี ทำาให้ราคาเนื้อหมูของไทยขณะนี้เป็น ราคาที่เกษตรกรขาดทุนและสะสมมามากกว่า 6 เดือนโดยราคาสุกร มีชีวิตหน้าฟาร์มที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 53-55 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่สมาคมฯ ประกาศต้นทุนการผลิตเดือนมิถุนายน 2566 เฉลี่ย ที่ 90.57 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ อยากขอให้ภาครัฐนำากลไกตลาดมาใช้เป็นปัจจัยใน การสร้างสมดุลราคาหมูมีชีวิตและเนื้อหมูอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ ราคาขึ้นลงสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต เพื่อช่วยลดการขาดทุนของ เกษตรกร เป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรพัฒนาการเลี้ยงให้มีมาตรฐาน สูงขึ้น มีผลผลิตเนื้อหมูคุณภาพดีป้อนตลาดเพียงพอไม่ขาดแคลน ตลอดจนพิจารณาทบทวนการนำาเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์โดยเฉพาะ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งเงื่อนไขการนำาเข้าวัตถุดิบทดแทนและภาษี นำาเข้า ให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายในห่วงโซ่การผลิตอาหาร เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและปลอดภัยให้กับคนไทยทั้งประเทศ ขณะที่ นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยง สุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ขณะนี้ผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศ กำาลังประสบปัญหาเดียวกัน คือ ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์แพงมาก ขณะที่ราคาขายหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มยังไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยราคาแนะนำาของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งเมื่อวันพระที่ผ่านมา (10 กรกฎาคม 2566) อยู่ที่ 64-74 บาทต่อกิโลกรัม แต่มีต้นทุน เฉลี่ยเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 90.57 บาทต่อกิโลกรัม ทำาให้เกษตรกร ประสบปัญหาขาดทุนสะสมมาเป็นเดือนที่ 6 “ผู้เลี้ยงหมูขาดทุนสะสมต่อเนื่องเป็นดินพอกหางหมู โดย หวังว่าหลังจากไทยควบคุมโรคระบาด ASF ได้ดี เกษตรกรมั่นใจ นำาหมูเข้าเลี้ยงจนได้ผลผลิต แต่กลับขายในราคาขาดทุนเพราะต้นทุน ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์


24 สัตวเศรษฐกิจ น.สพ. ยุทธ เทียมสุวรรณ ผูจัดการฝายว�ชาการ บจก. เซ็นทรัลลิส การจะเลี้ยงสุกรให้ประสบความสำาเร็จนั้น นอกจากพันธุกรรม โภชนะ วัคซีน ยา วัสดุ อุปกรณ์ โรงเรือน คนงาน และอีกหลายประการ ที่ต้องดีแล้ว ที่สำาคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ สิ่งแวดล้อม หรือสภาพแวดล้อมในการเลี้ยงสุกร นั่นเองที่ต้องดีด้วยเช่นกัน การประเมินสิ่งแวดล้อม นี้ควรถูกทำาเป็นระบบเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ครอบคลุมรอบด้าน มีประโยชน์ในการนำามาใช้ค้นหาปัจจัยด้านลบ หรือที่บกพร่องไม่ผ่านเกณ±์ มาตรฐานด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ ด้านร่วมก้น อันส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และสุขภาพของสุกร โดยผู้ประเมินอาจใช้เครื่องมือวัด และ/หรือต้องสังเกตลักษณะอาการของสุกรที่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมด้านนั้นๆ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำาคัญว่าสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นอย่างไร เนื่องจาก สุกรจะแสดงพฤติกรรมเปลี่ยนไปเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีระต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ดังนี้ผู้ประเมินจำาเป็นต้องทราบ และเข้าใจลักษณะ อาการที่สุกรแสดงออกตั้งแต่ปกติ ไปจนผิดปกติในแบบต่างๆ และระดับต่างๆ เพื่อให้สามารถจัดการกับสาเหตุของปัญหาได้อย่างถูกต้อง ซึ่ง สิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสำาคัญหลักต่อตัวสุกร ได้แก่ อากาศและอุณหภูมิ น้ำา อาหาร พฤติกรรมและความหนาแน่น ล้วนเป็นสิ่งที่จะได้ทราบ ในฉบับนี้และฉบับหน้าต่อๆ ไป เพื่อให้การเลี้ยงสุกรของเรามีต้นทุนต่ำา สุกรเสียหายตายคัดทิ้งน้อยที่สุด โตเร็ว น้ำาหนักมากขายได้ราคาสูง พอที่จะเอาชนะราคาตลาดที่เริ่มตกลงต่ำาอีกรอบ ÍÒ¡ÒÈ áÅÐÍØ³ËÀÙÁÔ ถือเป็นปัจจัยแรกที่สำาคัญมากที่สุด สุกรขาดอากาศไม่กี่นาทีอาจทำาให้ตายได้เช่นเดียวกับคน อีกทั้งก็ต้องการอากาศ บริสุทธิìเช่นเดียวกันกับคน อากาศบริสุทธิìก็คือคุณภาพอากาศที่ดี คุณภาพอากาศที่แย่จะนำามาซึ่งอาการเจ็บป่วย อ่อนแอ โตช้า ติดเชื้อง่าย หรือตายได้ อากาศในการเลี้ยงสุกรจะมี 5 องค์ประกอบย่อยที่ส่งผลต่อคุณภาพให้ดีหรือแย่ได้ ดังต่อไปนี้ 1. แก๊สแอมโมเนÕ NH3 เกิดจากจุลินทรีย์ทำาการหมักโปรตีนที่เหลือออกมาในของเสีย เช่น อุจจาระ อาหารย่อยไม่หมด อาหารตกหกหล่น รวมถึงตัวสุกร ย่อยโปรตีนในอาหารได้เป็นกรดอะมิโน จากนั้นกลายเป็นของเสียในรูปยูเรีย ขับออกมากับปัสสาวะ จุลินทรีย์ก็สามารถเปลี่ยนยูเรียให้เป็น แอมโมเนียได้ ปัจจัยโน้มนำาให้มีแก๊สแอมโมเนียสูงคือ การระบายอากาศไม่ดี ความชื้นที่สูง จะทำาให้แอมโมเนียมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก และ คงอยู่นานกว่าปกติ ผลเสียต่อสุขภาพของสุกรมีดังนี้ โดยที่ฟาร์มควรมีเครื่องมือวัดปริมาณแก๊สแอมโมเนีย ประมาณกันว่าที่ระดับสูงจากพื้นคอก 20 ซม. ปริมาณแอมโมเนียไม่ควรเกิน 20 ppm ที่ระดับสูงจากพื้นคอกประมาณ 120 ซม. จากพื้นคอก ปริมาณแอมโมเนียไม่ควรเกิน 10 ppm วิธีการป้องกัน หรือลดปริมาณแก๊สนี้ ลง ได้แก่ เก็บของเสีย อุจจาระ ปัสสาวะ เศษอาหารตกหกหล่นบ่อยๆ ล้างคอกให้สะอาด บ่อยๆ เพื่อชะล้างของเสีย ลดการหมักหมม ออกแบบโรงเรือนให้มีการระบายอากาศที่ดี ติดตั้งพัดลม ถ้าเป็นระบบ EVAP ก็ต้องจัดการเรื่องความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ให้เหมาะสม พยายามลดความชื้นในโรงเรือน ทำาให้คอกและพื้น แห้งอยู่เสมอ รวมถึงมีการใช้สารสกัดจากสมุนไพรบางชนิดผสมลงในอาหาร จะสามารถ ช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ ลดการผลิตแก๊สแอมโมเนีย รวมถึงดูดซับแก๊สแอมโมเนียได้ กลิ่นเหม็นก็จะน้อยลง การประเมินสิ�งแวดลอม ในการเลี้ยงสุกร 1 : คุณภาพอากาศ น.สพ. ยุทธ เทียมสุวรรณ ผจู้ดัการฝ่ายวิชาการ บจก. เซน็ทรลัลิส ก้าวเข้าสู่ช่วงปลายปี ช่วงนี้สภาพอากาศ และสภาพแวดล้อมก าลังเปลี่ยนแปลง อาจพบฝนประปรายสลับกับลมหนาว ทั้งคน และสัตว์ในไทยนั้น อาจคุ้นเคย หรือชินกับการปรับร่างกายให้เข้ากับอุณหภูมิสูง หรืออากาศร้อนที่มีตลอดเกือบทั้งปีได้ ดีกว่า ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิลดต ่า มีลมหนาว สัตว์ก็อาจจะไม่คุ้นชิน ปรับสรีรวิทยาในร่างกายไม่ทัน เกิดความเครียด ภูมิคุ้มกัน ลดต ่าลง จึงมีโอกาสติดเชื้อใหม่ หรือเชื้อที่อาจพบแฝงอยู่ในร่างกายโดยปกติไม่ก่อโรค ก็กลับมาก่อโรคระบาดที่รุนแรงขึ้นได้ ดังตัวอย่างเช่น โรคคอบวมในโคกระบือ เป็นต้น ที่มักพบระบาดตั้งแต่ปลายฤดูฝนต่อเนื่องไปยังฤดูหนาว โรคคอบวม หรือ โรคเฮโมรายิก เซฟติซีเมีย (Haemorrhagic septicemia) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย พาสทูเรลล่า มัลโต ซิดา (Pasteurella multocida) แกรมลบ รูปร่างกลม รูปแท่งหัวท้ายมน มี 5 ไทป์(A, B, D, E, F) ที่พบมากในไทยคือ ไทป์ B พบเชื้อได้ในเกือบทุกประเทศ แต่พบมากในเอเชีย แอฟริกา และเขตที่มีการเลี้ยงกระบือมากๆ โรคนี้จะระบาดได้รวดเร็ว ท าให้ เกิดการป่วยและตายจ านวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบือ ส่วนโคอาจรุนแรงน้อยกว่า ส่วนแพะ แกะ สุกร ม้า อูฐ กวาง กระทิง ลิง ช้าง ก็ติดโรคได้ แต่อาการแทบจะไม่รุนแรง และโรคนี้ไม่ติดต่อสู่คน แบคทีเรียชนิดนี้อยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานพอสมควร เช่น แปลงหญ้า ดินชื้นแฉะ มีรายงานว่าในแปลงหญ้าที่แห้งอาจ อยู่ได้แค่ 24 ชม. แต่หากในดินหรือทุ่งหญ้าชื้นแฉะ หรือในน ้าอาจอยู่ได้นานหลายวัน จนถึง 2-3 สัปดาห์ หรือมีรายงานนาน เป็นเดือนก็ได้ แต่แบคทีเรียนี้ก็ถูกท าลายได้ง่ายด้วยความร้อน แสงแดด รวมถึงยาฆ่าเชื้อทั่วไปก็สามารถฆ่าได้ง่ายเช่นกัน แบคทีเรียจะถูกขับออกมาจากสัตว์ที่เป็นตัวเก็บเชื้อ หรือแพร่เชื้อผ่านทางสิ่งคัดหลั่ง หรือสิ่งขับถ่าย เช่น น ้ามูก น ้าลาย น ้านม อุจจาระ ปัสสาวะ และติดต่อไปสู่ตัวอื่นโดยทางการหายใจ หรือการกิน ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ป่วย หรือกินเชื้อ ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร น ้า หรือสิ่งปูรองนอน โดยที่โรคนี้ไม่ติดต่อผ่านแมลง ในบริเวณที่มีความชุกโรคสูง จะพบเชื้อนี้ในตัวโคกระบือได้ประมาณ 5% ของฝูง อยู่ที่บริเวณโพรงจมูก คอหอย ทอนซิล โดยไม่แสดงอาการป่วย หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นพาหะ หรือตัวเก็บกักเชื้อ แต่ในช่วงที่เกิดการระบาดขึ้นแล้ว จะพบตัว ที่เป็นพาหะนี้เพิ่มมากขึ้นเป็น 20% เลยก็เป็นได้ปัจจัยเสริมที่ท าให้เชื้อก่อความรุนแรงเพิ่มขึ้น หรือแพร่ออกมานั้นได้แก่ ภาวะ ความเครียดจากการเปลี่ยนฤดูกาล ร้อนจัด หนาวจัด เคลื่อนย้ายสัตว์ ใช้แรงงานหนัก สภาพร่ายกายอ่อนแอ มีโรคอื่น พยาธิ สภาพแวดล้อมเปียกหรือชื้นแฉะ ไม่ค่อยมีแสงแดด ขาดอาหาร อาหารไม่มีคุณภาพ ได้รับวิตามินแร่ธาตุไม่ถูกต้องครบ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE น.สพ. ยุทธ เทียมสุวรรณ ผู้จัดการฝ่ ายวิชาการ บจก. เซ็นทรัลลิส การจะเลี้ยงสุกรให้ประสบความสําเร็จนั้น นอกจากพันธุกรรม โภชนะ วัคซีน ยา วัสดุ อุปกรณ์ โรงเรือน คนงาน และ อีกหลายประการที่ต้องดีแล้ว ที่สําคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ สิ่งแวดล้อม หรือสภาพแวดล้อมในการเลี้ยงสุกร นั่นเองที่ต้องดีด้วย เช่นกัน การประเมินสิ่งแวดล้อมนี้ควรถูกทําเป็นระบบเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ครอบคลุมรอบด้าน มีประโยชน์ในการนํามาใช้ ค้นหาปัจจัยด้านลบ หรือที่บกพร่องไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ ด้านร่วมก้น อันส่งผลกระทบต่อการ เจริญเติบโต และสุขภาพของสุกร โดยผู้ประเมินอาจใช้เครื่องมือวัด และ/หรือต้องสังเกตลักษณะอาการของสุกรที่ตอบสนอง ต่อสิ่งแวดล้อมด้านนั้นๆ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สําคัญว่าสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นอย่างไร เนื่องจากสุกรจะแสดงพฤติกรรมเปลี่ยนไป เพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีระต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ดังนี้ผู้ประเมินจําเป็นต้องทราบ และเข้าใจลักษณะอาการที่สุกร แสดงออกตั้งแต่ปกติ ไปจนผิดปกติในแบบต่างๆ และระดับต่างๆ เพื่อให้สามารถจัดการกับสาเหตุของปัญหาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสําคัญหลักต่อตัวสุกร ได้แก่ อากาศและอุณหภูมินํ้า อาหาร พฤติกรรมและความหนาแน่น ล้วนเป็น สิ่งที่จะได้ทราบในฉบับนี้และฉบับหน้าต่อๆ ไป เพื่อให้การเลี้ยงสุกรของเรามีต้นทุนตํ่า สุกรเสียหายตายคัดทิ้งน้อยที่สุด โต เร็ว นํ้าหนักมากขายได้ราคาสูง พอที่จะเอาชนะราคาตลาดที่เริ่มตกลงตํ่าอีกรอบ อากาศ และอุณหภูมิ ถือเป็นปัจจัยแรกที่สําคัญมากที่สุด สุกรขาดอากาศไม่กี่นาทีอาจทําให้ตายได้เช่นเดียวกับคน อีกทั้งก็ต้องการอากาศบริสุทธิเช่นเดียวกันกับคน ์ อากาศบริสุทธิก็คือ ์คุณภาพอากาศที่ดี คุณภาพอากาศที่แย่จะนํามาซึ่ง อาการเจ็บป่วย อ่อนแอ โตช้า ติดเชื้อง่าย หรือตายได้ อากาศในการเลี้ยงสุกรจะมี5 องค์ประกอบย่อยที่ส่งผลต่อคุณภาพให้ดี หรือแย่ได้ ดังต่อไปนี้ 1. แก๊สแอมโมเนีย NH3 เกิดจากจุลินทรีย์ทําการหมักโปรตีนที่เหลือออกมาในของเสีย เช่น อุจจาระ อาหารย่อยไม่หมด อาหารตก หกหล่น รวมถึงตัวสุกรย่อยโปรตีนในอาหารได้เป็นกรดอะมิโน จากนั้นกลายเป็นของเสียในรูปยูเรีย ขับออกมากับปัสสาวะ จุลินทรีย์ก็สามารถเปลี่ยนยูเรียให้เป็นแอมโมเนียได้ ปัจจัยโน้มนําให้มีแก๊สแอมโมเนียสูงคือ การระบายอากาศไม่ดี ความชื้นที่ สูง จะทําให้แอมโมเนียมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก และคงอยู่นานกว่าปกติ ผลเสียต่อสุขภาพของสุกรมีดังนี้


สัตว์เศรษฐกิจ 25 2. แก๊สไฮโดรเจน ซัลไฟด์ H2S หรือแก๊สไข่เน่า ไม่มีสี มีกลิ่นเหม็น ติดไฟได้ เป็นพิษต่อร่างกาย เกิดจากจุลินทรีย์ย่อยสลายซัลเฟอร์ หรือกำามะถัน ที่เป็นส่วน ประกอบของโปรตีนที่อยู่ในมูลสุกร อาหารไม่ย่อย หรือเศษอาหารที่หกหล่น พบแก๊สนี้มากในบ่อปุ๋ยหมัก ฟาร์มปศุสัตว์ บ่อบำาบัดน้ำาเสีย ท้องเรือประมง การระบายอากาศไม่ดี ปริมาณ O2 ต่ำา จะทำาให้แก๊สไข่เน่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก และคงอยู่นานกว่าปกติ ผลเสียต่อสุขภาพ ของสุกรมีดังตารางด้านล่าง ส่วนวิธีการป้องกัน หรือลดปริมาณแก๊สนี้ลง ก็คล้ายคลึงกับแก๊สแอมโมเนีย เน้นล้างทำาความสะอาด อากาศถ่ายเท ระบายดี มี O2 มากเพียงพอ ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์ โดยที่ฟาร์มควรมีเครื่องมือวัดปริมาณแก๊สแอมโมเนีย ประมาณกันว่าที่ระดับสูงจากพื้นคอก 20 ซม. ปริมาณแอมโมเนียไม่ควร เกิน 20 ppm ที่ระดับสูงจากพื้นคอกประมาณ 120 ซม. จากพื้นคอก ปริมาณแอมโมเนียไม่ควรเกิน 10 ppm วิธีการป้องกัน หรือ ลดปริมาณแก๊สนี้ลง ได้แก่ เก็บของเสีย อุจจาระ ปัสสาวะ เศษอาหารตกหกหล่นบ่อยๆ ล้างคอกให้สะอาด บ่อยๆ เพื่อชะล้างของ เสีย ลดการหมักหมม ออกแบบโรงเรือนให้มีการระบายอากาศที่ดี ติดตั้งพัดลม ถ้าเป็นระบบ EVAP ก็ต้องจัดการเรื่องความเร็ว ลม ความชื้นสัมพัทธ์ให้เหมาะสม พยายามลดความชื้นในโรงเรือน ทําให้คอกและพื้น แห้งอยู่เสมอ รวมถึงมีการใช้สารสกัดจาก สมุนไพรบางชนิดผสมลงในอาหาร จะสามารถช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ ลดการผลิตแก๊สแอมโมเนีย รวมถึงดูดซับแก๊สแอมโมเนียได้ กลิ่นเหม็นก็จะน้อยลง 2. แก๊สไฮโดรเจน ซัลไฟด์ H2S หรือแก๊สไข่เน่า ไม่มีสี มีกลิ่นเหม็น ติดไฟได้ เป็นพิษต่อร่างกาย เกิดจากจุลินทรีย์ย่อยสลายซัลเฟอร์ หรือ กํามะถัน ที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนที่อยู่ในมูลสุกร อาหารไม่ย่อย หรือเศษอาหารที่หกหล่น พบแก๊สนี้มากในบ่อปุ๋ ยหมัก ฟาร์มปศุสัตว์ บ่อบําบัดนํ้าเสีย ท้องเรือประมง การระบายอากาศไม่ดี ปริมาณ O2 ตํ่า จะทําให้แก๊สไข่เน่ามีปริมาณเพิ่มขึ้น มาก และคงอยู่นานกว่าปกติ ผลเสียต่อสุขภาพของสุกรมีดังตารางด้านล่าง ส่วนวิธีการป้องกัน หรือลดปริมาณแก๊สนี้ลง ก็ คล้ายคลึงกับแก๊สแอมโมเนีย เน้นล้างทําความสะอาด อากาศถ่ายเทระบายดีมี O2 มากเพียงพอ 3. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ CO2 มักมีแหล่งที่มาจากการหายใจ ปล่อยจากตัวสัตว์และพืช พบบ่อยในโรงเรือนที่มีการระบายอากาศไม่ดี อับ ทึบ ค่อนข้างปิด หรือในระบบ EVAP ที่ไฟฟ้าดับ ส่วน CO มักมีแหล่งที่มาจากระบบทําความร้อนโดยใช้แก๊ส เครื่องจักร ไม้ ถ่านหิน ท่อรถไอเสีย หรือควันบุหรี่ ในไทยมักพบแก๊สทั้งสองนี้มากในฟาร์มปศุสัตว์จากกิจกรรมการจุดไฟ ให้ความร้อน ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับโรงเรือนระบบปิด หรือระบายอากาศได้ไม่ดี CO2 เมื่อได้รับน้อยๆ จะเริ่มสับสน มึนงง เครียด ปริมาณ 50 ppm จะพบสุกรตายแรกคลอดมากขึ้น ครอกเล็ก ลง นํ้าหนักแรกคลอดน้อยลง ตัวเล็กลง นํ้าหนักน้อย ปริมาณ 51-100 ppm แม่สุกรกินน้อยลง แท้ง %ตายแรกคลอดสูงมาก โดยที่ฟาร์มควรมีเครื่องมือวัดปริมาณแก๊สแอมโมเนีย ประมาณกันว่าที่ระดับสูงจากพื้นคอก 20 ซม. ปริมาณแอมโมเนียไม่ควร เกิน 20 ppm ที่ระดับสูงจากพื้นคอกประมาณ 120 ซม. จากพื้นคอก ปริมาณแอมโมเนียไม่ควรเกิน 10 ppm วิธีการป้องกัน หรือ ลดปริมาณแก๊สนี้ลง ได้แก่ เก็บของเสีย อุจจาระ ปัสสาวะ เศษอาหารตกหกหล่นบ่อยๆ ล้างคอกให้สะอาด บ่อยๆ เพื่อชะล้างของ เสีย ลดการหมักหมม ออกแบบโรงเรือนให้มีการระบายอากาศที่ดี ติดตั้งพัดลม ถ้าเป็นระบบ EVAP ก็ต้องจัดการเรื่องความเร็ว ลม ความชื้นสัมพัทธ์ให้เหมาะสม พยายามลดความชื้นในโรงเรือน ทําให้คอกและพื้น แห้งอยู่เสมอ รวมถึงมีการใช้สารสกัดจาก สมุนไพรบางชนิดผสมลงในอาหาร จะสามารถช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ ลดการผลิตแก๊สแอมโมเนีย รวมถึงดูดซับแก๊สแอมโมเนียได้ กลิ่นเหม็นก็จะน้อยลง 2. แก๊สไฮโดรเจน ซัลไฟด์ H2S หรือแก๊สไข่เน่า ไม่มีสี มีกลิ่นเหม็น ติดไฟได้ เป็นพิษต่อร่างกาย เกิดจากจุลินทรีย์ย่อยสลายซัลเฟอร์ หรือ กํามะถัน ที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนที่อยู่ในมูลสุกร อาหารไม่ย่อย หรือเศษอาหารที่หกหล่น พบแก๊สนี้มากในบ่อปุ๋ ยหมัก ฟาร์มปศุสัตว์ บ่อบําบัดนํ้าเสีย ท้องเรือประมง การระบายอากาศไม่ดี ปริมาณ O2 ตํ่า จะทําให้แก๊สไข่เน่ามีปริมาณเพิ่มขึ้น มาก และคงอยู่นานกว่าปกติ ผลเสียต่อสุขภาพของสุกรมีดังตารางด้านล่าง ส่วนวิธีการป้องกัน หรือลดปริมาณแก๊สนี้ลง ก็ คล้ายคลึงกับแก๊สแอมโมเนีย เน้นล้างทําความสะอาด อากาศถ่ายเทระบายดีมี O2 มากเพียงพอ 3. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ CO2 มักมีแหล่งที่มาจากการหายใจ ปล่อยจากตัวสัตว์และพืช พบบ่อยในโรงเรือนที่มีการระบายอากาศไม่ดี อับ ทึบ ค่อนข้างปิด หรือในระบบ EVAP ที่ไฟฟ้าดับ ส่วน CO มักมีแหล่งที่มาจากระบบทําความร้อนโดยใช้แก๊ส เครื่องจักร ไม้ ถ่านหิน ท่อรถไอเสีย หรือควันบุหรี่ ในไทยมักพบแก๊สทั้งสองนี้มากในฟาร์มปศุสัตว์จากกิจกรรมการจุดไฟ ให้ความร้อน ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับโรงเรือนระบบปิด หรือระบายอากาศได้ไม่ดี CO2 เมื่อได้รับน้อยๆ จะเริ่มสับสน มึนงง เครียด ปริมาณ 50 ppm จะพบสุกรตายแรกคลอดมากขึ้น ครอกเล็ก ลง นํ้าหนักแรกคลอดน้อยลง ตัวเล็กลง นํ้าหนักน้อย ปริมาณ 51-100 ppm แม่สุกรกินน้อยลง แท้ง %ตายแรกคลอดสูงมาก 3. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ CO2 มักมีแหล่งที่มาจากการหายใจ ปล่อยจากตัวสัตว์และพืช พบบ่อยในโรงเรือนที่มีการระบายอากาศไม่ดี อับทึบ ค่อนข้างปิด หรือ ในระบบ EVAP ที่ไฟฟ้าดับ ส่วน CO มักมีแหล่งที่มาจากระบบทำาความร้อนโดยใช้แก๊ส เครื่องจักร ไม้ ถ่านหิน ท่อรถไอเสีย หรือควันบุหรี่ ในไทยมักพบแก๊สทั้งสองนี้มากในฟาร์มปศุสัตว์จากกิจกรรมการจุดไฟ ให้ความร้อน ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งโดย เฉพาะกับโรงเรือนระบบปิด หรือระบายอากาศได้ไม่ดี CO2 เมื่อได้รับน้อยๆ จะเริ่มสับสน มึนงง เครียด ปริมาณ 50 ppm จะพบสุกรตายแรกคลอดมากขึ้น ครอกเล็กลง น้ำาหนักแรกคลอด น้อยลง ตัวเล็กลง น้ำาหนักน้อย ปริมาณ 51-100 ppm แม่สุกรกินน้อยลง แท้ง % ตายแรกคลอดสูงมากขึ้น ลูกสุกรมีผิวสีชมพู หรือ แดงอ่อนๆ (cheery red) และเมื่อได้รับ CO2 มากๆ มักเกิดคู่กับขาด O2 จะเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย แน่นหน้าอก ซึม อ่อนเพลีย หายใจไม่ออก หายลำาบาก หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว หอบเหนื่อย ปวดท้อง สันสน มึนงง ได้ยินมองเห็นลดลง กล้ามเนื้อกระตุก ชัก เกร็ง กดการทำางานของสมอง เพ้อคลั่ง หมดสติ โคม่า สมองถูกทำาลาย ไตเสื่อม ตาบอด ตายในที่สุด ส่วนอาการ หรือผลที่เกิดจากแก๊ส CO จะแสดงตามตารางด้านบน 4. ฝุ่นละออง 80% ของฝุ่นละออกในคอกสุกรมาจากอาหาร โดยเฉพาะอาหารผงผสมเอง ยิ่งมีโอกาสเกิดฝุ่นละอองฟุ้งกระจายมากยิ่งขึ้น อีกประมาณ 15% มาจากมูลสุกรที่แห้ง กลายเป็นฝุ่นผง ที่เหลือมาจากสะเก็ดผิวหนังจากตัวสุกร เชื้อรา ละอองเกสรดอกไม้ ฝุ่นผงภายนอกที่ปลิวเข้ามา 24 สัตวเศรษฐกิจ น.สพ. ยุทธ เทียมสุวรรณ ผูจัดการฝายว�ชาการ บจก. เซ็นทรัลลิส การจะเลี้ยงสุกรให้ประสบความสำาเร็จนั้น นอกจากพันธุกรรม โภชนะ วัคซีน ยา วัสดุ อุปกรณ์ โรงเรือน คนงาน และอีกหลายประการ ที่ต้องดีแล้ว ที่สำาคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ สิ่งแวดล้อม หรือสภาพแวดล้อมในการเลี้ยงสุกร นั่นเองที่ต้องดีด้วยเช่นกัน การประเมินสิ่งแวดล้อม นี้ควรถูกทำาเป็นระบบเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ครอบคลุมรอบด้าน มีประโยชน์ในการนำามาใช้ค้นหาปัจจัยด้านลบ หรือที่บกพร่องไม่ผ่านเกณ±์ มาตรฐานด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ ด้านร่วมก้น อันส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และสุขภาพของสุกร โดยผู้ประเมินอาจใช้เครื่องมือวัด และ/หรือต้องสังเกตลักษณะอาการของสุกรที่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมด้านนั้นๆ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำาคัญว่าสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นอย่างไร เนื่องจาก สุกรจะแสดงพฤติกรรมเปลี่ยนไปเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีระต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ดังนี้ผู้ประเมินจำาเป็นต้องทราบ และเข้าใจลักษณะ อาการที่สุกรแสดงออกตั้งแต่ปกติ ไปจนผิดปกติในแบบต่างๆ และระดับต่างๆ เพื่อให้สามารถจัดการกับสาเหตุของปัญหาได้อย่างถูกต้อง ซึ่ง สิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสำาคัญหลักต่อตัวสุกร ได้แก่ อากาศและอุณหภูมิ น้ำา อาหาร พฤติกรรมและความหนาแน่น ล้วนเป็นสิ่งที่จะได้ทราบ ในฉบับนี้และฉบับหน้าต่อๆ ไป เพื่อให้การเลี้ยงสุกรของเรามีต้นทุนต่ำา สุกรเสียหายตายคัดทิ้งน้อยที่สุด โตเร็ว น้ำาหนักมากขายได้ราคาสูง พอที่จะเอาชนะราคาตลาดที่เริ่มตกลงต่ำาอีกรอบ ÍÒ¡ÒÈ áÅÐÍØ³ËÀÙÁÔ ถือเป็นปัจจัยแรกที่สำาคัญมากที่สุด สุกรขาดอากาศไม่กี่นาทีอาจทำาให้ตายได้เช่นเดียวกับคน อีกทั้งก็ต้องการอากาศ บริสุทธิìเช่นเดียวกันกับคน อากาศบริสุทธิìก็คือคุณภาพอากาศที่ดี คุณภาพอากาศที่แย่จะนำามาซึ่งอาการเจ็บป่วย อ่อนแอ โตช้า ติดเชื้อง่าย หรือตายได้ อากาศในการเลี้ยงสุกรจะมี 5 องค์ประกอบย่อยที่ส่งผลต่อคุณภาพให้ดีหรือแย่ได้ ดังต่อไปนี้ 1. แก๊สแอมโมเนÕ NH3 เกิดจากจุลินทรีย์ทำาการหมักโปรตีนที่เหลือออกมาในของเสีย เช่น อุจจาระ อาหารย่อยไม่หมด อาหารตกหกหล่น รวมถึงตัวสุกร ย่อยโปรตีนในอาหารได้เป็นกรดอะมิโน จากนั้นกลายเป็นของเสียในรูปยูเรีย ขับออกมากับปัสสาวะ จุลินทรีย์ก็สามารถเปลี่ยนยูเรียให้เป็น แอมโมเนียได้ ปัจจัยโน้มนำาให้มีแก๊สแอมโมเนียสูงคือ การระบายอากาศไม่ดี ความชื้นที่สูง จะทำาให้แอมโมเนียมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก และ คงอยู่นานกว่าปกติ ผลเสียต่อสุขภาพของสุกรมีดังนี้ โดยที่ฟาร์มควรมีเครื่องมือวัดปริมาณแก๊สแอมโมเนีย ประมาณกันว่าที่ระดับสูงจากพื้นคอก 20 ซม. ปริมาณแอมโมเนียไม่ควรเกิน 20 ppm ที่ระดับสูงจากพื้นคอกประมาณ 120 ซม. จากพื้นคอก ปริมาณแอมโมเนียไม่ควรเกิน 10 ppm วิธีการป้องกัน หรือลดปริมาณแก๊สนี้ ลง ได้แก่ เก็บของเสีย อุจจาระ ปัสสาวะ เศษอาหารตกหกหล่นบ่อยๆ ล้างคอกให้สะอาด บ่อยๆ เพื่อชะล้างของเสีย ลดการหมักหมม ออกแบบโรงเรือนให้มีการระบายอากาศที่ดี ติดตั้งพัดลม ถ้าเป็นระบบ EVAP ก็ต้องจัดการเรื่องความเร็วลม ความชื้นสัมพัทธ์ให้เหมาะสม พยายามลดความชื้นในโรงเรือน ทำาให้คอกและพื้น แห้งอยู่เสมอ รวมถึงมีการใช้สารสกัดจากสมุนไพรบางชนิดผสมลงในอาหาร จะสามารถ ช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ ลดการผลิตแก๊สแอมโมเนีย รวมถึงดูดซับแก๊สแอมโมเนียได้ กลิ่นเหม็นก็จะน้อยลง การประเมินสิ�งแวดลอม ในการเลี้ยงสุกร 1 : คุณภาพอากาศ น.สพ. ยุทธ เทียมสุวรรณ ผจู้ดัการฝ่ายวิชาการ บจก. เซน็ทรลัลิส ก้าวเข้าสู่ช่วงปลายปี ช่วงนี้สภาพอากาศ และสภาพแวดล้อมก าลังเปลี่ยนแปลง อาจพบฝนประปรายสลับกับลมหนาว ทั้งคน และสัตว์ในไทยนั้น อาจคุ้นเคย หรือชินกับการปรับร่างกายให้เข้ากับอุณหภูมิสูง หรืออากาศร้อนที่มีตลอดเกือบทั้งปีได้ ดีกว่า ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิลดต ่า มีลมหนาว สัตว์ก็อาจจะไม่คุ้นชิน ปรับสรีรวิทยาในร่างกายไม่ทัน เกิดความเครียด ภูมิคุ้มกัน ลดต ่าลง จึงมีโอกาสติดเชื้อใหม่ หรือเชื้อที่อาจพบแฝงอยู่ในร่างกายโดยปกติไม่ก่อโรค ก็กลับมาก่อโรคระบาดที่รุนแรงขึ้นได้ ดังตัวอย่างเช่น โรคคอบวมในโคกระบือ เป็นต้น ที่มักพบระบาดตั้งแต่ปลายฤดูฝนต่อเนื่องไปยังฤดูหนาว โรคคอบวม หรือ โรคเฮโมรายิก เซฟติซีเมีย (Haemorrhagic septicemia) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย พาสทูเรลล่า มัลโต ซิดา (Pasteurella multocida) แกรมลบ รูปร่างกลม รูปแท่งหัวท้ายมน มี 5 ไทป์(A, B, D, E, F) ที่พบมากในไทยคือ ไทป์ B พบเชื้อได้ในเกือบทุกประเทศ แต่พบมากในเอเชีย แอฟริกา และเขตที่มีการเลี้ยงกระบือมากๆ โรคนี้จะระบาดได้รวดเร็ว ท าให้ เกิดการป่วยและตายจ านวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบือ ส่วนโคอาจรุนแรงน้อยกว่า ส่วนแพะ แกะ สุกร ม้า อูฐ กวาง กระทิง ลิง ช้าง ก็ติดโรคได้ แต่อาการแทบจะไม่รุนแรง และโรคนี้ไม่ติดต่อสู่คน แบคทีเรียชนิดนี้อยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานพอสมควร เช่น แปลงหญ้า ดินชื้นแฉะ มีรายงานว่าในแปลงหญ้าที่แห้งอาจ อยู่ได้แค่ 24 ชม. แต่หากในดินหรือทุ่งหญ้าชื้นแฉะ หรือในน ้าอาจอยู่ได้นานหลายวัน จนถึง 2-3 สัปดาห์ หรือมีรายงานนาน เป็นเดือนก็ได้ แต่แบคทีเรียนี้ก็ถูกท าลายได้ง่ายด้วยความร้อน แสงแดด รวมถึงยาฆ่าเชื้อทั่วไปก็สามารถฆ่าได้ง่ายเช่นกัน แบคทีเรียจะถูกขับออกมาจากสัตว์ที่เป็นตัวเก็บเชื้อ หรือแพร่เชื้อผ่านทางสิ่งคัดหลั่ง หรือสิ่งขับถ่าย เช่น น ้ามูก น ้าลาย น ้านม อุจจาระ ปัสสาวะ และติดต่อไปสู่ตัวอื่นโดยทางการหายใจ หรือการกิน ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ป่วย หรือกินเชื้อ ที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร น ้า หรือสิ่งปูรองนอน โดยที่โรคนี้ไม่ติดต่อผ่านแมลง ในบริเวณที่มีความชุกโรคสูง จะพบเชื้อนี้ในตัวโคกระบือได้ประมาณ 5% ของฝูง อยู่ที่บริเวณโพรงจมูก คอหอย ทอนซิล โดยไม่แสดงอาการป่วย หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นพาหะ หรือตัวเก็บกักเชื้อ แต่ในช่วงที่เกิดการระบาดขึ้นแล้ว จะพบตัว ที่เป็นพาหะนี้เพิ่มมากขึ้นเป็น 20% เลยก็เป็นได้ปัจจัยเสริมที่ท าให้เชื้อก่อความรุนแรงเพิ่มขึ้น หรือแพร่ออกมานั้นได้แก่ ภาวะ ความเครียดจากการเปลี่ยนฤดูกาล ร้อนจัด หนาวจัด เคลื่อนย้ายสัตว์ ใช้แรงงานหนัก สภาพร่ายกายอ่อนแอ มีโรคอื่น พยาธิ สภาพแวดล้อมเปียกหรือชื้นแฉะ ไม่ค่อยมีแสงแดด ขาดอาหาร อาหารไม่มีคุณภาพ ได้รับวิตามินแร่ธาตุไม่ถูกต้องครบ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE น.สพ. ยุทธ เทียมสุวรรณ ผู้จัดการฝ่ ายวิชาการ บจก. เซ็นทรัลลิส การจะเลี้ยงสุกรให้ประสบความสําเร็จนั้น นอกจากพันธุกรรม โภชนะ วัคซีน ยา วัสดุ อุปกรณ์ โรงเรือน คนงาน และ อีกหลายประการที่ต้องดีแล้ว ที่สําคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ สิ่งแวดล้อม หรือสภาพแวดล้อมในการเลี้ยงสุกร นั่นเองที่ต้องดีด้วย เช่นกัน การประเมินสิ่งแวดล้อมนี้ควรถูกทําเป็นระบบเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ครอบคลุมรอบด้าน มีประโยชน์ในการนํามาใช้ ค้นหาปัจจัยด้านลบ หรือที่บกพร่องไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ ด้านร่วมก้น อันส่งผลกระทบต่อการ เจริญเติบโต และสุขภาพของสุกร โดยผู้ประเมินอาจใช้เครื่องมือวัด และ/หรือต้องสังเกตลักษณะอาการของสุกรที่ตอบสนอง ต่อสิ่งแวดล้อมด้านนั้นๆ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สําคัญว่าสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นอย่างไร เนื่องจากสุกรจะแสดงพฤติกรรมเปลี่ยนไป เพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีระต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ดังนี้ผู้ประเมินจําเป็นต้องทราบ และเข้าใจลักษณะอาการที่สุกร แสดงออกตั้งแต่ปกติ ไปจนผิดปกติในแบบต่างๆ และระดับต่างๆ เพื่อให้สามารถจัดการกับสาเหตุของปัญหาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสําคัญหลักต่อตัวสุกร ได้แก่ อากาศและอุณหภูมินํ้า อาหาร พฤติกรรมและความหนาแน่น ล้วนเป็น สิ่งที่จะได้ทราบในฉบับนี้และฉบับหน้าต่อๆ ไป เพื่อให้การเลี้ยงสุกรของเรามีต้นทุนตํ่า สุกรเสียหายตายคัดทิ้งน้อยที่สุด โต เร็ว นํ้าหนักมากขายได้ราคาสูง พอที่จะเอาชนะราคาตลาดที่เริ่มตกลงตํ่าอีกรอบ อากาศ และอุณหภูมิ ถือเป็นปัจจัยแรกที่สําคัญมากที่สุด สุกรขาดอากาศไม่กี่นาทีอาจทําให้ตายได้เช่นเดียวกับคน อีกทั้งก็ต้องการอากาศบริสุทธิเช่นเดียวกันกับคน ์ อากาศบริสุทธิก็คือ ์คุณภาพอากาศที่ดี คุณภาพอากาศที่แย่จะนํามาซึ่ง อาการเจ็บป่วย อ่อนแอ โตช้า ติดเชื้อง่าย หรือตายได้ อากาศในการเลี้ยงสุกรจะมี5 องค์ประกอบย่อยที่ส่งผลต่อคุณภาพให้ดี หรือแย่ได้ ดังต่อไปนี้ 1. แก๊สแอมโมเนีย NH3 เกิดจากจุลินทรีย์ทําการหมักโปรตีนที่เหลือออกมาในของเสีย เช่น อุจจาระ อาหารย่อยไม่หมด อาหารตก หกหล่น รวมถึงตัวสุกรย่อยโปรตีนในอาหารได้เป็นกรดอะมิโน จากนั้นกลายเป็นของเสียในรูปยูเรีย ขับออกมากับปัสสาวะ จุลินทรีย์ก็สามารถเปลี่ยนยูเรียให้เป็นแอมโมเนียได้ ปัจจัยโน้มนําให้มีแก๊สแอมโมเนียสูงคือ การระบายอากาศไม่ดี ความชื้นที่ สูง จะทําให้แอมโมเนียมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก และคงอยู่นานกว่าปกติ ผลเสียต่อสุขภาพของสุกรมีดังนี้


26 สัตว์เศรษฐกิจ ถนนลูกรัง ปูนขาวที่โรยฆ่าเชื้อ หรือฝุ่นจากการเผาพื้นที่เกษตรกรรมใกล้เคียง รวมถึง PM 2.5 ด้วย ยิ่งฟาร์มที่ใช้แกลบ หรือฟางปูรองพื้น ปูรองนอน ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดฝุ่นละอองมากไปด้วย ผลเสียต่อสุขภาพของสุกรได้แก่ การระคายเคืองทางเดินหายใจทั้งของคนผู้ปฏิบัติงาน และ สุกรที่จะพบอาการไอ จาม มีไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก ขัดขวางการแลกเปลี่ยน O2 ให้น้อยลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน ในระบบทางเดินหายใจให้ง่ายและมากยิ่งขึ้น บางรายงานพบว่ามีผลทำาให้อัตราการเจริญเติบโตของสุกรลดลงได้ถึง 30% ส่วนวิธีการป้องกัน หรือลดปริมาณฝุ่นละอองนี้ลง อาหารเม็ดก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดีพอสมควร แต่การใช้อาหารผง ผสมเองก็มีวิธีที่ช่วยลด หรือแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองนี้ได้เช่น เพิ่มปริมาณไขมันในสูตรอาหารขึ้น 1-3% หรือทำาอาหารเหลวให้สุกรกินแทน ปรับ ระดับของที่ให้อาหารให้สูงขึ้น สุกรจะคุ้ยเขี่ยยากขึ้น หรือเปลี่ยนรูปแบบที่ให้อาหารที่สุกรคุ้ยเขี่ยไม่ได้ง่าย รวมถึงการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ ภายในโรงเรือนเลี้ยงสุกรให้ไม่น้อยกว่า 50% หากน้อยกว่านี้จะเกิดฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย สุกรเยื่อบุโพรงจมูกแห้งลอกหลุด เกิดเกิดปัญหา เจ็บป่วยต่างๆ ของระบบทางเดินหายใจตามมาดังกล่าวข้างต้น การล้างทำาความสะอาดเพื่อชะล้างฝุ่นละอองอยู่เสมอ อาจพอช่วยบรรเทา ปลายเหตุได้บ้าง แต่ควรแก้ที่ต้นเหตุเสียมากกว่า มาตรฐานฝุ่นละอองไม่ควรเกิน 10 มก./ลบ.ม. เอกสารอ้างอิงและที่มารูปภาพ https://www.carrsconsulting.com/thepig/teaching/vet437murdochpigs/disorder5head.pdf LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE ขึ้น ลูกสุกรมีผิวสีชมพู หรือแดงอ่อนๆ (cheery red) และเมื่อได้รับ CO2 มากๆ มักเกิดคู่กับขาด O2 จะเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย แน่นหน้าอก ซึม อ่อนเพลีย หายใจไม่ออก หายลําบาก หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว หอบเหนื่อย ปวดท้อง สัน สน มึนงง ได้ยินมองเห็นลดลง กล้ามเนื้อกระตุก ชัก เกร็ง กดการทํางานของสมอง เพ้อคลั่ง หมดสติ โคม่า สมองถูกทําลาย ไตเสื่อม ตาบอด ตายในที่สุด ส่วนอาการ หรือผลที่เกิดจากแก๊ส CO จะแสดงตามตารางด้านบน 4. ฝุ่นละออง 80 % ของฝุ่นละออกในคอกสุกรมาจากอาหาร โดยเฉพาะอาหารผงผสมเอง ยิ่งมีโอกาสเกิดฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย มากยิ่งขึ้น อีกประมาณ 15% มาจากมูลสุกรที่แห้ง กลายเป็นฝุ่นผง ที่เหลือมาจากสะเก็ดผิวหนังจากตัวสุกร เชื้อรา ละออง เกสรดอกไม้ ฝุ่นผงภายนอกที่ปลิวเข้ามา ถนนลูกรัง ปูนขาวที่โรยฆ่าเชื้อ หรือฝุ่นจากการเผาพื้นที่เกษตรกรรมใกล้เคียง รวมถึง PM 2.5 ด้วย ยิ่งฟาร์มที่ใช้แกลบ หรือฟางปูรองพื้น ปูรองนอน ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดฝุ่นละอองมากไปด้วย ผลเสียต่อ สุขภาพของสุกรได้แก่ การระคายเคืองทางเดินหายใจทั้งของคนผู้ปฏิบัติงาน และสุกรที่จะพบอาการไอ จาม มีไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก ขัดขวางการแลกเปลี่ยน O2 ให้น้อยลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจให้ ง่ายและมากยิ่งขึ้น บางรายงานพบว่ามีผลทําให้อัตราการเจริญเติบโตของสุกรลดลงได้ถึง 30% ส่วนวิธีการป้องกัน หรือลดปริมาณฝุ่นละอองนี้ลง อาหารเม็ดก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดีพอสมควร แต่การใช้อาหารผงผสมเองก็มีวิธีที่ช่วยลด หรือแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองนี้ได้เช่น เพิ่มปริมาณไขมันในสูตรอาหารขึ้น 1-3% หรือ ทําอาหารเหลวให้สุกรกินแทน ปรับระดับของที่ให้อาหารให้สูงขึ้น สุกรจะคุ้ยเขี่ยยากขึ้น หรือเปลี่ยนรูปแบบที่ให้อาหารที่สุกร คุ้ยเขี่ยไม่ได้ง่าย รวมถึงการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ภายในโรงเรือนเลี้ยงสุกรให้ไม่น้อยกว่า 50% หากน้อยกว่านี้จะเกิดฝุ่น ละอองฟุ้งกระจาย สุกรเยื่อบุโพรงจมูกแห้งลอกหลุด เกิดเกิดปัญหาเจ็บป่วยต่างๆ ของระบบทางเดินหายใจตามมาดังกล่าว ข้างต้น การล้างทําความสะอาดเพื่อชะล้างฝุ่นละอองอยู่เสมอ อาจพอช่วยบรรเทาปลายเหตุได้บ้าง แต่ควรแก้ที่ต้นเหตุเสีย มากกว่า มาตรฐานฝุ่นละอองไม่ควรเกิน 10 มก./ลบ.ม. 5. ความชื้นสัมพัทธ์ ความชื้นจากแหล่งภายนอกมาจากนํ้าฝนในฤดูฝน รวมถึงต้นไม้ ส่วนความชื้นจากแหล่งภายในมาจากคนและ สุกร ทางลมหายใจ ปัสสาวะ อุจจาระ นํ้าดื่ม นํ้าใช้ นํ้าล้างคอก นํ้าหยด นํ้าสเปรย์ นํ้าในส้วมนํ้า ความชื้นสัมพัทธ์จะเกี่ยวกับ ฤดูกาลเป็นหลัก ลักษณะโรงเรือน และการระบายอากาศจะเป็นตัวเสริมให้ดีขึ้น หรือแย่ลงได้ ความชื้นสัมพัทธ์ที่ >50% จะ ช่วยลดฝุ่น แต่ก็เสริมให้เชื้อโรคต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา เพิ่มจํานวนเร็วมากขึ้น มีชีวิตรอดนานขึ้น สุกรก็จะเจ็บป่วย เป็นโรคได้ง่ายยิ่งขึ้น และหากความชื้นสัมพัทธ์ >80% สุกรจะระบายความร้อนได้ไม่ดี โอกาสเกิด Heat stress จะเพิ่มมากขึ้น เจ็บป่วยมากขึ้น มีรายงานว่าหากลดความชื้นสัมพัทธ์จาก 90% ให้ลงมาเหลือ 80% เชื้อโรคจะลดลงได้ถึง 50% ความชื้นสัมพัทธ์ ที่ส่วนใหญ่คือว่าเหมาะสมคือ 50-80% หรือประมาณ 60-70% จะถือว่าค่อนข้างดี ส่วนวิธีการปรับเพิ่มลดความชื้นสัมพัทธ์นี้ จะต้องใช้หลักการระบายอากาศ (Ventilation) เข้ามาช่วย มีการปรับปิดเปิดม่านบังลมให้เหมาะสม ติดตั้งพัดลมระบายอากาศ ให้ทั่วถึง ส่วนระบบ EVAP จะมีเครื่องมือวัดความชื้นสัมพัทธ์เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว ความชื้นขึ้นกับปริมาณ และอัตราการไหล ของนํ้าผ่านแผ่นรังผึ้ง หรือ cooling pad และทิศทางรวมถึงแรงความเร็วของพัดลมอีกด้วย ที่สําคัญความชื้นสัมพัทธ์ ยังมี ความเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิ และดัชนีความรู้สึกร้อนของตัวสัตว์อีกด้วย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในฉบับหน้า อย่าลืมติดตามกันนะ ครับ.... 5. ความชื้นสัมพัทธ์ ความชื้นจากแหล่งภายนอกมาจากน้ำาฝนในฤดูฝน รวมถึงต้นไม้ ส่วนความชื้นจากแหล่งภายในมาจากคนและสุกร ทางลมหายใจ ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำาดื่ม น้ำาใช้ น้ำาล้างคอก น้ำาหยด น้ำาสเปรย์ น้ำาในส้วมน้ำา ความชื้นสัมพัทธ์จะเกี่ยวกับฤดูกาลเป็นหลัก ลักษณะโรงเรือน และ การระบายอากาศจะเป็นตัวเสริมให้ดีขึ้น หรือแย่ลงได้ ความชื้นสัมพัทธ์ที่ >50% จะช่วยลดฝุ่น แต่ก็เสริมให้เชื้อโรคต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา เพิ่มจำานวนเร็วมากขึ้น มีชีวิตรอดนานขึ้น สุกรก็จะเจ็บป่วยเป็นโรคได้ง่ายยิ่งขึ้น และหากความชื้นสัมพัทธ์ >80% สุกรจะระบาย ความร้อนได้ไม่ดี โอกาสเกิด Heat stress จะเพิ่มมากขึ้น เจ็บป่วยมากขึ้น มีรายงานว่าหากลดความชื้นสัมพัทธ์จาก 90% ให้ลงมาเหลือ 80% เชื้อโรคจะลดลงได้ถึง 50% ความชื้นสัมพัทธ์ที่ส่วนใหญ่คือว่า เหมาะสมคือ 50-80% หรือประมาณ 60-70% จะถือว่าค่อนข้างดี ส่วนวิธีการปรับเพิ่มลดความชื้นสัมพัทธ์นี้จะต้องใช้หลักการระบายอากาศ (Ventilation) เข้ามาช่วย มีการปรับปิดเปิดม่านบังลมให้เหมาะสม ติดตั้งพัดลมระบายอากาศให้ทั่วถึง ส่วนระบบ EVAP จะมีเครื่องมือ วัดความชื้นสัมพัทธ์เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว ความชื้นขึ้นกับปริมาณ และอัตราการไหลของน้ำาผ่านแผ่นรังผึ้ง หรือ cooling pad และทิศทาง รวมถึงแรงความเร็วของพัดลมอีกด้วย ที่สำาคัญความชื้นสัมพัทธ์ ยังมีความเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิ และดัชนีความรู้สึกร้อนของตัวสัตว์อีกด้วย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในฉบับหน้า อย่าลืมติดตามกันนะครับ.... เอกสารอ้างอิงและที่มารูปภาพ https://www.carrsconsulting.com/thepig/teaching/vet437murdochpigs/disorder5head.pdf


26 สัตว์เศรษฐกิจ ถนนลูกรัง ปูนขาวที่โรยฆ่าเชื้อ หรือฝุ่นจากการเผาพื้นที่เกษตรกรรมใกล้เคียง รวมถึง PM 2.5 ด้วย ยิ่งฟาร์มที่ใช้แกลบ หรือฟางปูรองพื้น ปูรองนอน ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดฝุ่นละอองมากไปด้วย ผลเสียต่อสุขภาพของสุกรได้แก่ การระคายเคืองทางเดินหายใจทั้งของคนผู้ปฏิบัติงาน และ สุกรที่จะพบอาการไอ จาม มีไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก ขัดขวางการแลกเปลี่ยน O2 ให้น้อยลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน ในระบบทางเดินหายใจให้ง่ายและมากยิ่งขึ้น บางรายงานพบว่ามีผลทำาให้อัตราการเจริญเติบโตของสุกรลดลงได้ถึง 30% ส่วนวิธีการป้องกัน หรือลดปริมาณฝุ่นละอองนี้ลง อาหารเม็ดก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดีพอสมควร แต่การใช้อาหารผง ผสมเองก็มีวิธีที่ช่วยลด หรือแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองนี้ได้เช่น เพิ่มปริมาณไขมันในสูตรอาหารขึ้น 1-3% หรือทำาอาหารเหลวให้สุกรกินแทน ปรับ ระดับของที่ให้อาหารให้สูงขึ้น สุกรจะคุ้ยเขี่ยยากขึ้น หรือเปลี่ยนรูปแบบที่ให้อาหารที่สุกรคุ้ยเขี่ยไม่ได้ง่าย รวมถึงการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ ภายในโรงเรือนเลี้ยงสุกรให้ไม่น้อยกว่า 50% หากน้อยกว่านี้จะเกิดฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย สุกรเยื่อบุโพรงจมูกแห้งลอกหลุด เกิดเกิดปัญหา เจ็บป่วยต่างๆ ของระบบทางเดินหายใจตามมาดังกล่าวข้างต้น การล้างทำาความสะอาดเพื่อชะล้างฝุ่นละอองอยู่เสมอ อาจพอช่วยบรรเทา ปลายเหตุได้บ้าง แต่ควรแก้ที่ต้นเหตุเสียมากกว่า มาตรฐานฝุ่นละอองไม่ควรเกิน 10 มก./ลบ.ม. เอกสารอ้างอิงและที่มารูปภาพ https://www.carrsconsulting.com/thepig/teaching/vet437murdochpigs/disorder5head.pdf LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE ขึ้น ลูกสุกรมีผิวสีชมพู หรือแดงอ่อนๆ (cheery red) และเมื่อได้รับ CO2 มากๆ มักเกิดคู่กับขาด O2 จะเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย แน่นหน้าอก ซึม อ่อนเพลีย หายใจไม่ออก หายลําบาก หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว หอบเหนื่อย ปวดท้อง สัน สน มึนงง ได้ยินมองเห็นลดลง กล้ามเนื้อกระตุก ชัก เกร็ง กดการทํางานของสมอง เพ้อคลั่ง หมดสติ โคม่า สมองถูกทําลาย ไตเสื่อม ตาบอด ตายในที่สุด ส่วนอาการ หรือผลที่เกิดจากแก๊ส CO จะแสดงตามตารางด้านบน 4. ฝุ่นละออง 80 % ของฝุ่นละออกในคอกสุกรมาจากอาหาร โดยเฉพาะอาหารผงผสมเอง ยิ่งมีโอกาสเกิดฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย มากยิ่งขึ้น อีกประมาณ 15% มาจากมูลสุกรที่แห้ง กลายเป็นฝุ่นผง ที่เหลือมาจากสะเก็ดผิวหนังจากตัวสุกร เชื้อรา ละออง เกสรดอกไม้ ฝุ่นผงภายนอกที่ปลิวเข้ามา ถนนลูกรัง ปูนขาวที่โรยฆ่าเชื้อ หรือฝุ่นจากการเผาพื้นที่เกษตรกรรมใกล้เคียง รวมถึง PM 2.5 ด้วย ยิ่งฟาร์มที่ใช้แกลบ หรือฟางปูรองพื้น ปูรองนอน ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดฝุ่นละอองมากไปด้วย ผลเสียต่อ สุขภาพของสุกรได้แก่ การระคายเคืองทางเดินหายใจทั้งของคนผู้ปฏิบัติงาน และสุกรที่จะพบอาการไอ จาม มีไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก ขัดขวางการแลกเปลี่ยน O2 ให้น้อยลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจให้ ง่ายและมากยิ่งขึ้น บางรายงานพบว่ามีผลทําให้อัตราการเจริญเติบโตของสุกรลดลงได้ถึง 30% ส่วนวิธีการป้องกัน หรือลดปริมาณฝุ่นละอองนี้ลง อาหารเม็ดก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดีพอสมควร แต่การใช้อาหารผงผสมเองก็มีวิธีที่ช่วยลด หรือแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองนี้ได้เช่น เพิ่มปริมาณไขมันในสูตรอาหารขึ้น 1-3% หรือ ทําอาหารเหลวให้สุกรกินแทน ปรับระดับของที่ให้อาหารให้สูงขึ้น สุกรจะคุ้ยเขี่ยยากขึ้น หรือเปลี่ยนรูปแบบที่ให้อาหารที่สุกร คุ้ยเขี่ยไม่ได้ง่าย รวมถึงการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ภายในโรงเรือนเลี้ยงสุกรให้ไม่น้อยกว่า 50% หากน้อยกว่านี้จะเกิดฝุ่น ละอองฟุ้งกระจาย สุกรเยื่อบุโพรงจมูกแห้งลอกหลุด เกิดเกิดปัญหาเจ็บป่วยต่างๆ ของระบบทางเดินหายใจตามมาดังกล่าว ข้างต้น การล้างทําความสะอาดเพื่อชะล้างฝุ่นละอองอยู่เสมอ อาจพอช่วยบรรเทาปลายเหตุได้บ้าง แต่ควรแก้ที่ต้นเหตุเสีย มากกว่า มาตรฐานฝุ่นละอองไม่ควรเกิน 10 มก./ลบ.ม. 5. ความชื้นสัมพัทธ์ ความชื้นจากแหล่งภายนอกมาจากนํ้าฝนในฤดูฝน รวมถึงต้นไม้ ส่วนความชื้นจากแหล่งภายในมาจากคนและ สุกร ทางลมหายใจ ปัสสาวะ อุจจาระ นํ้าดื่ม นํ้าใช้ นํ้าล้างคอก นํ้าหยด นํ้าสเปรย์ นํ้าในส้วมนํ้า ความชื้นสัมพัทธ์จะเกี่ยวกับ ฤดูกาลเป็นหลัก ลักษณะโรงเรือน และการระบายอากาศจะเป็นตัวเสริมให้ดีขึ้น หรือแย่ลงได้ ความชื้นสัมพัทธ์ที่ >50% จะ ช่วยลดฝุ่น แต่ก็เสริมให้เชื้อโรคต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา เพิ่มจํานวนเร็วมากขึ้น มีชีวิตรอดนานขึ้น สุกรก็จะเจ็บป่วย เป็นโรคได้ง่ายยิ่งขึ้น และหากความชื้นสัมพัทธ์ >80% สุกรจะระบายความร้อนได้ไม่ดี โอกาสเกิด Heat stress จะเพิ่มมากขึ้น เจ็บป่วยมากขึ้น มีรายงานว่าหากลดความชื้นสัมพัทธ์จาก 90% ให้ลงมาเหลือ 80% เชื้อโรคจะลดลงได้ถึง 50% ความชื้นสัมพัทธ์ ที่ส่วนใหญ่คือว่าเหมาะสมคือ 50-80% หรือประมาณ 60-70% จะถือว่าค่อนข้างดี ส่วนวิธีการปรับเพิ่มลดความชื้นสัมพัทธ์นี้ จะต้องใช้หลักการระบายอากาศ (Ventilation) เข้ามาช่วย มีการปรับปิดเปิดม่านบังลมให้เหมาะสม ติดตั้งพัดลมระบายอากาศ ให้ทั่วถึง ส่วนระบบ EVAP จะมีเครื่องมือวัดความชื้นสัมพัทธ์เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว ความชื้นขึ้นกับปริมาณ และอัตราการไหล ของนํ้าผ่านแผ่นรังผึ้ง หรือ cooling pad และทิศทางรวมถึงแรงความเร็วของพัดลมอีกด้วย ที่สําคัญความชื้นสัมพัทธ์ ยังมี ความเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิ และดัชนีความรู้สึกร้อนของตัวสัตว์อีกด้วย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในฉบับหน้า อย่าลืมติดตามกันนะ ครับ.... 5. ความชื้นสัมพัทธ์ ความชื้นจากแหล่งภายนอกมาจากน้ำาฝนในฤดูฝน รวมถึงต้นไม้ ส่วนความชื้นจากแหล่งภายในมาจากคนและสุกร ทางลมหายใจ ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำาดื่ม น้ำาใช้ น้ำาล้างคอก น้ำาหยด น้ำาสเปรย์ น้ำาในส้วมน้ำา ความชื้นสัมพัทธ์จะเกี่ยวกับฤดูกาลเป็นหลัก ลักษณะโรงเรือน และ การระบายอากาศจะเป็นตัวเสริมให้ดีขึ้น หรือแย่ลงได้ ความชื้นสัมพัทธ์ที่ >50% จะช่วยลดฝุ่น แต่ก็เสริมให้เชื้อโรคต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา เพิ่มจำานวนเร็วมากขึ้น มีชีวิตรอดนานขึ้น สุกรก็จะเจ็บป่วยเป็นโรคได้ง่ายยิ่งขึ้น และหากความชื้นสัมพัทธ์ >80% สุกรจะระบาย ความร้อนได้ไม่ดี โอกาสเกิด Heat stress จะเพิ่มมากขึ้น เจ็บป่วยมากขึ้น มีรายงานว่าหากลดความชื้นสัมพัทธ์จาก 90% ให้ลงมาเหลือ 80% เชื้อโรคจะลดลงได้ถึง 50% ความชื้นสัมพัทธ์ที่ส่วนใหญ่คือว่า เหมาะสมคือ 50-80% หรือประมาณ 60-70% จะถือว่าค่อนข้างดี ส่วนวิธีการปรับเพิ่มลดความชื้นสัมพัทธ์นี้จะต้องใช้หลักการระบายอากาศ (Ventilation) เข้ามาช่วย มีการปรับปิดเปิดม่านบังลมให้เหมาะสม ติดตั้งพัดลมระบายอากาศให้ทั่วถึง ส่วนระบบ EVAP จะมีเครื่องมือ วัดความชื้นสัมพัทธ์เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว ความชื้นขึ้นกับปริมาณ และอัตราการไหลของน้ำาผ่านแผ่นรังผึ้ง หรือ cooling pad และทิศทาง รวมถึงแรงความเร็วของพัดลมอีกด้วย ที่สำาคัญความชื้นสัมพัทธ์ ยังมีความเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิ และดัชนีความรู้สึกร้อนของตัวสัตว์อีกด้วย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในฉบับหน้า อย่าลืมติดตามกันนะครับ.... เอกสารอ้างอิงและที่มารูปภาพ https://www.carrsconsulting.com/thepig/teaching/vet437murdochpigs/disorder5head.pdf สัตวเศรษฐกิจ 27 เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ (อาชีพเลี้ยงสัตว์) พ.ศ.2566 ข้อมูล พื้นฐานเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ (อาชีพเลี้ยงสัตว์) ชื่อ นายวุฒิศักดิ์ พรมแก้ว อายุ 50 ปี การศึกษา ปริญญาตรี สถานภาพ สมรส ที่อยู่ เลขที่ 63/70 หมู่ที่ 2 ตำาบลบางวัน อำาเภอคุระบุรี จังหวัด พังงา โทรศัพท์ 083 104 2252 อาชีพเลี้ยงสัตว์ (ไก่ไข่) นายวุฒิศักดิ์ พรมแกว ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์ ความคิดริเริ่มและความพยายามฟันฝ่าอุปสรรคในการสร้าง ¼Å§Òน นายวุฒิศักดิ์ พรมแก้ว ËÃ×อ ลุงวุฒิ หลังจบการศึกษาเข้า ทำางานบริษัทเอกชน (ฟาร์มโคนม) ในพื้นที่อำาเภอควนขนุน จังหวัด พัทลุง แต่เนื่องจากบิดาเสียชีวิตจึงได้ลาออกกลับมาทำาสวนยางพารา เปดฟารมไกไขอารมณดี สวนลุงวุฒิ “เกษตรกรดีเดนแหงชาติดานการเลี้ยงสัตว” และสวนปาล์มน้ำามัน และพบว่าสภาพดินเสื่อมโทรม เนื่องจากที่ผ่าน มาไม่มีการปรับสภาพดินใส่แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว ต่อมามีแนว ความคิดในการเลี้ยงสัตว์เพื่อนำามูลมาทำาปุ๋ยบำารุงสภาพดิน จึงเริ่ม เลี้ยงไก่ไข่ เพื่อนำามูลมาปรับปรุงและฟื้นฟูสภาพดิน ในสวนปาล์ม น้ำามัน พ.ศ. 2554 เริ่มเลี้ยงไก่ไข่ จำานวน 300 ตัว ภายใต้แนวคิด “ไม่มีกลิ่น ไม่มีแมลงวัน” ผลที่ได้พบว่า สวนปาล์มมีสภาพดินดีขึ้น โดยการเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยเพื่อให้ไก่ได้มีอิสระในการเจริญเติบโต หาอาหารตามธรรมชาติ และใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นมาผสมเป็น อาหาร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ช่วยลดต้นทุนค่าอาหารใน ปัจจุบันที่มีราคาสูง โดยมีเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ให้คำาปรึกษาแนะนำาและ ค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อนามาปรับปรุงและ พัฒนาการเลี้ยงไก่ไข่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากไก่ไข่ยังได้เพิ่มการเลี้ยงเป็ดไข่ จำานวน 1,000 ตัว เพื่อกำาจัดอาหารไก่ไข่ที่เหลือจากการตกหล่น ช่วยกำาจัดวัชพืช และนำามูลเป็ดมาทำาเป็นปุ๋ยในสวนปาล์มน้ำามัน เพื่อเพิ่มรายได้และ ลดค่าใช้จ่าย ทำาการเกษตรแบบผสมผสานมีผลผลิตตลอดทั้งปี ใช้น้ำา หมักโปรไบโอติก (สมุนไพรพื้นบ้านและจุลินทรีย์รวมกัน) เพื่อลด กลิ่นเหม็นในโรงเรือนและผสมน้ำาให้ไก่ไข่กิน ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ


28 สัตว์เศรษฐกิจ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE ภายในครัวเรือนเป็นหลัก ผลิตอาหารที่ปลอดภัยสู่ผู้บริโภคเป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์ สูงสุด กิจกรรมด้านปศุสัตว์ คือ การเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดี โดยเลี้ยง แบบปล่อยตามธรรมชาติในสวนปาล์มน้ำามัน ใช้อาหารสำาเร็จรูปที่ สั่งผลิตปราศจากยาปฏิชีวนะและเสริมด้วยสมุนไพร ทำาน้ำาหมัก โปรไอโอติก ใช้สมุนไพรพื้นบ้านช่วยป้องกันโรค ผลผลิตที่ได้มีความ ปลอดภัย จำาหน่ายให้ผู้รักสุขภาพ บุคคลากรทางการแพทย์ใน โรงพยาบาล จะเห็นได้ว่า นายวุฒิศักดิ์ พรมแก้ว มีความมุ่งมั่นฝ่าฟัน อุปสรรค เรียนรู้และพัฒนาการเลี้ยงไก่ไข่ จนเป็นตัวอย่างให้ผู้สนใจ ที่จะเลี้ยงปศุสัตว์ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ โดยมีระบบการบริหาร จัดการด้านปศุสัตว์ ดังนี้ โรงเรือน ออกแบบโรงเรือนทรงหมาแหงนกลายเพิ่มช่องระบาย อากาศ กันแดดกันฝน มีอุปกรณ์การเลี้ยง เช่น ถาดอาหาร อุปกรณ์ ให้น้ำา วัสดุรองพื้น รังไข่ไว้ให้ไก่ออกไข่ อุปกรณ์การให้แสงทั้ง แสงจากธรรมชาติและแสงจากหลอดไฟ และคอนนอนสาหรับไก่ไข่ เป็นต้น 1) เลี้ยงไก่ไข่ไม่เกิน 500 ตัว/โรงเรือน เพื่อป้องกันการกิน อาหารไม่สม่ำาเสมอ และป้องกันนกเค้าแมวที่เข้ามาไล่จิกไก่ เพิ่ม พื้นที่การกระจายไม่รวมเป็นกระจุก เพื่อลดการสุมของไก่ 2) คอนนอนสำาหรับไก่ไข่ เพื่อให้ไก่ไข่เกาะนอนและช่วยให้ ไก่เย็นสบาย ไม่ร้อนอบอ้าวเมื่ออยู่ในโรงเรือน โดยมีลักษณะเป็น ท่อนไม้กลมทำาจากไม้ไผ่ไก่จะจับคอนนอนได้ดี 3) รังไข่ไว้สำาหรับให้ไก่ออกไข่ ใช้ซังปาล์มเป็นวัสดุรองพื้น โดยทำาข้อตกลงกับโรงงานปาล์มน้ำามัน ซังปาล์มมีคุณสมบัติในการ ระบายอากาศ ดูดซับความชื้นและมูลไก่ได้ดีกว่าแกลบและย่อยสลาย เป็นปุ๋ยได้ดี ลดต้นทุนการเลี้ยงจากการซื้อแกลบ วัสดุรองพื้น 2 รอบ ต่อการเลี้ยง 1 รุ่น จานวน 1 โรง ได้ปุ๋ยคอกจำานวน 200 กระสอบ อาหารและการให้อาหาร ลุงวุฒิ สั่งผลิตอาหารสาเร็จรูปเสริม ด้วยสมุนไพรปราศจากยาปฏิชีวนะได้รับการรับรองจากบริษัทผลิต อาหารสัตว์มาตรฐาน และผสมน้ำาหมักโปรไอโอติกในน้ำาสำาหรับใช้ใน การเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อช่วยป้องกันโรค ทำาให้ได้ผลผลิตที่มีความปลอดภัย ไม่มีสารตกค้างออกจาหน่ายให้แก่ผู้รักสุขภาพ ปล่อยให้ไก่หากินเอง และเสริมด้วยแหนแดงผสมหญ้าเนเปียร์สับ โดยให้กิน 2-3 วัน/ครั้ง ลุงวุฒิ เลี้ยงไก่ไข่ภายใต้แนวคิด “ไม่มีกลิ่น ไม่มีแมลงวัน” จึง คิดและพัฒนาสูตรน้ำาหมัก เพื่อผสมน้ำาให้ไก่กิน โดยนำาน้ำาหมัก 150 ซีซี. ผสมกับน้ำาเปล่า 6 ลิตร ผสมให้ไก่กินทุกวัน ลดกลิ่นเหม็นใน คอกสัตว์ ช่วยในระบบขับถ่ายและป้องกันโรคหวัดในไก่ได้ดีมาก การดูแลสุขภาพสัตว์และการป้องกันโรค สวนลุงวุฒิ ให้ความ สำาคัญเรื่องการเลี้ยงไก่ไข่ที่มีคุณภาพ โดยไม่ใช้สารเคมี ผลิตอาหาร ที่ปลอดภัยสู่ผู้บริโภคเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการจัดระบบป้องกัน โรคตั้งแต่หน้าฟาร์ม มีอ่างจุ่มเท้าเพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนเข้าฟาร์ม นำา สมุนไพรพื้นบ้านมาผสมในสูตรอาหารสัตว์ นำาน้ำาหมักโปรไบโอติกมา ผลที่ได้ คือ มีผลผลิตไข่ไก่จำาหน่ายทุกวัน และมูลไก่เป็นปุ๋ย ในสวนปาล์ม ต่อมาเริ่มมีผู้สนใจเข้ามาศึกษาดูงานการเลี้ยงไก่ไข่ใน สวนปาล์มทำาให้เสียเงินไปกับค่าอาหารกลางวันและอาหารว่างจึงได้ ตัดสินใจปลูกกาแฟ มะพร้าว ผลไม้ พืชผัก สมุนไพร และแปรรูป ผลผลิตภายในฟาร์มเพื่อนำามาเป็นอาหารต้อนรับ ผู้เข้ามาศึกษาดูงาน และจำาหน่ายให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยนำาเนื้อไก่ไข่ปลดระวางปลอดสารพิษ มาแปรรูป เป็นก๋วยเตี๋ยวไก่ แหนมไก่ ข้าวมันไก่ และไก่หยอง ส่วน ไข่เป็ดนำามาแปรรูปเป็นขนมเปี๊ยะไส้ไข่เค็มผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ กำาหนดราคาสินค้าการเกษตรของตนเองเอง นำาผลผลิตที่ได้มา แปรรูปต่อยอดเพื่อก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น พ.ศ. 2562 สามารถ พัฒนาผลผลิตทางทางการเกษตรจนได้รับการรับรองมาตรฐาน “ออร์แกนิคไทยแลนด์” จากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ ปัจจุบันสวนลุงวุฒิมีเครือข่ายและผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงาน เป็นจำานวนมาก อาทิเช่น เกษตรกรแปลงใหญ่สัตว์ปีกอารมณ์ดี จังหวัดพังงา เกษตรกรผู้สนใจในพื้นที่และสถานศึกษาต่างๆ จนกลาย เป็น “ฟาร์มไก่ไข่อารมณ์ดี สวนลุงวุฒิ” และ “ศูนย์เรียนรู้การ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร” ในปัจจุบัน ผลงานและความสาเร็จของงานทั้งปริมาณและคุณภาพ ตลอด จนระยะเวลาที่ปฏิบัติงานและความยั่งยืนในอาชีพ ด้วยประสบการณ์ ด้านการทำาสวนปาล์มน้ำามันและสวนยางพารา 20 ปี ทำาการเกษตร แบบผสมผสาน 11 ปี มีกิจกรรมหลากหลาย เช่น เลี้ยงไก่ไข่ เป็ดไข่ ปลาดุก ปลาหมอ ปลูกพืชผักสมุนไพร และพืชผลต่างๆ เช่น โกโก้ กาแฟ มะพร้าว ทำาการเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง โดยใช้แรงงาน


28 สัตว์เศรษฐกิจ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE ภายในครัวเรือนเป็นหลัก ผลิตอาหารที่ปลอดภัยสู่ผู้บริโภคเป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์ สูงสุด กิจกรรมด้านปศุสัตว์ คือ การเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดี โดยเลี้ยง แบบปล่อยตามธรรมชาติในสวนปาล์มน้ำามัน ใช้อาหารสำาเร็จรูปที่ สั่งผลิตปราศจากยาปฏิชีวนะและเสริมด้วยสมุนไพร ทำาน้ำาหมัก โปรไอโอติก ใช้สมุนไพรพื้นบ้านช่วยป้องกันโรค ผลผลิตที่ได้มีความ ปลอดภัย จำาหน่ายให้ผู้รักสุขภาพ บุคคลากรทางการแพทย์ใน โรงพยาบาล จะเห็นได้ว่า นายวุฒิศักดิ์ พรมแก้ว มีความมุ่งมั่นฝ่าฟัน อุปสรรค เรียนรู้และพัฒนาการเลี้ยงไก่ไข่ จนเป็นตัวอย่างให้ผู้สนใจ ที่จะเลี้ยงปศุสัตว์ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ โดยมีระบบการบริหาร จัดการด้านปศุสัตว์ ดังนี้ โรงเรือน ออกแบบโรงเรือนทรงหมาแหงนกลายเพิ่มช่องระบาย อากาศ กันแดดกันฝน มีอุปกรณ์การเลี้ยง เช่น ถาดอาหาร อุปกรณ์ ให้น้ำา วัสดุรองพื้น รังไข่ไว้ให้ไก่ออกไข่ อุปกรณ์การให้แสงทั้ง แสงจากธรรมชาติและแสงจากหลอดไฟ และคอนนอนสาหรับไก่ไข่ เป็นต้น 1) เลี้ยงไก่ไข่ไม่เกิน 500 ตัว/โรงเรือน เพื่อป้องกันการกิน อาหารไม่สม่ำาเสมอ และป้องกันนกเค้าแมวที่เข้ามาไล่จิกไก่ เพิ่ม พื้นที่การกระจายไม่รวมเป็นกระจุก เพื่อลดการสุมของไก่ 2) คอนนอนสำาหรับไก่ไข่ เพื่อให้ไก่ไข่เกาะนอนและช่วยให้ ไก่เย็นสบาย ไม่ร้อนอบอ้าวเมื่ออยู่ในโรงเรือน โดยมีลักษณะเป็น ท่อนไม้กลมทำาจากไม้ไผ่ไก่จะจับคอนนอนได้ดี 3) รังไข่ไว้สำาหรับให้ไก่ออกไข่ ใช้ซังปาล์มเป็นวัสดุรองพื้น โดยทำาข้อตกลงกับโรงงานปาล์มน้ำามัน ซังปาล์มมีคุณสมบัติในการ ระบายอากาศ ดูดซับความชื้นและมูลไก่ได้ดีกว่าแกลบและย่อยสลาย เป็นปุ๋ยได้ดี ลดต้นทุนการเลี้ยงจากการซื้อแกลบ วัสดุรองพื้น 2 รอบ ต่อการเลี้ยง 1 รุ่น จานวน 1 โรง ได้ปุ๋ยคอกจำานวน 200 กระสอบ อาหารและการให้อาหาร ลุงวุฒิ สั่งผลิตอาหารสาเร็จรูปเสริม ด้วยสมุนไพรปราศจากยาปฏิชีวนะได้รับการรับรองจากบริษัทผลิต อาหารสัตว์มาตรฐาน และผสมน้ำาหมักโปรไอโอติกในน้ำาสำาหรับใช้ใน การเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อช่วยป้องกันโรค ทำาให้ได้ผลผลิตที่มีความปลอดภัย ไม่มีสารตกค้างออกจาหน่ายให้แก่ผู้รักสุขภาพ ปล่อยให้ไก่หากินเอง และเสริมด้วยแหนแดงผสมหญ้าเนเปียร์สับ โดยให้กิน 2-3 วัน/ครั้ง ลุงวุฒิ เลี้ยงไก่ไข่ภายใต้แนวคิด “ไม่มีกลิ่น ไม่มีแมลงวัน” จึง คิดและพัฒนาสูตรน้ำาหมัก เพื่อผสมน้ำาให้ไก่กิน โดยนำาน้ำาหมัก 150 ซีซี. ผสมกับน้ำาเปล่า 6 ลิตร ผสมให้ไก่กินทุกวัน ลดกลิ่นเหม็นใน คอกสัตว์ ช่วยในระบบขับถ่ายและป้องกันโรคหวัดในไก่ได้ดีมาก การดูแลสุขภาพสัตว์และการป้องกันโรค สวนลุงวุฒิ ให้ความ สำาคัญเรื่องการเลี้ยงไก่ไข่ที่มีคุณภาพ โดยไม่ใช้สารเคมี ผลิตอาหาร ที่ปลอดภัยสู่ผู้บริโภคเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการจัดระบบป้องกัน โรคตั้งแต่หน้าฟาร์ม มีอ่างจุ่มเท้าเพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนเข้าฟาร์ม นำา สมุนไพรพื้นบ้านมาผสมในสูตรอาหารสัตว์ นำาน้ำาหมักโปรไบโอติกมา ผลที่ได้ คือ มีผลผลิตไข่ไก่จำาหน่ายทุกวัน และมูลไก่เป็นปุ๋ย ในสวนปาล์ม ต่อมาเริ่มมีผู้สนใจเข้ามาศึกษาดูงานการเลี้ยงไก่ไข่ใน สวนปาล์มทำาให้เสียเงินไปกับค่าอาหารกลางวันและอาหารว่างจึงได้ ตัดสินใจปลูกกาแฟ มะพร้าว ผลไม้ พืชผัก สมุนไพร และแปรรูป ผลผลิตภายในฟาร์มเพื่อนำามาเป็นอาหารต้อนรับ ผู้เข้ามาศึกษาดูงาน และจำาหน่ายให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยนำาเนื้อไก่ไข่ปลดระวางปลอดสารพิษ มาแปรรูป เป็นก๋วยเตี๋ยวไก่ แหนมไก่ ข้าวมันไก่ และไก่หยอง ส่วน ไข่เป็ดนำามาแปรรูปเป็นขนมเปี๊ยะไส้ไข่เค็มผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ กำาหนดราคาสินค้าการเกษตรของตนเองเอง นำาผลผลิตที่ได้มา แปรรูปต่อยอดเพื่อก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น พ.ศ. 2562 สามารถ พัฒนาผลผลิตทางทางการเกษตรจนได้รับการรับรองมาตรฐาน “ออร์แกนิคไทยแลนด์” จากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ ปัจจุบันสวนลุงวุฒิมีเครือข่ายและผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงาน เป็นจำานวนมาก อาทิเช่น เกษตรกรแปลงใหญ่สัตว์ปีกอารมณ์ดี จังหวัดพังงา เกษตรกรผู้สนใจในพื้นที่และสถานศึกษาต่างๆ จนกลาย เป็น “ฟาร์มไก่ไข่อารมณ์ดี สวนลุงวุฒิ” และ “ศูนย์เรียนรู้การ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร” ในปัจจุบัน ผลงานและความสาเร็จของงานทั้งปริมาณและคุณภาพ ตลอด จนระยะเวลาที่ปฏิบัติงานและความยั่งยืนในอาชีพ ด้วยประสบการณ์ ด้านการทำาสวนปาล์มน้ำามันและสวนยางพารา 20 ปี ทำาการเกษตร แบบผสมผสาน 11 ปี มีกิจกรรมหลากหลาย เช่น เลี้ยงไก่ไข่ เป็ดไข่ ปลาดุก ปลาหมอ ปลูกพืชผักสมุนไพร และพืชผลต่างๆ เช่น โกโก้ กาแฟ มะพร้าว ทำาการเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง โดยใช้แรงงาน สัตว์เศรษฐกิจ 29 ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์ ใช้ทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะ นำาเศษวัสดุเหลือใช้มาหมุนเวียนใช้ ประโยชน์ เช่น นำามูลมาทำาเป็นปุ๋ยในสวนปาล์ม น้ำามันผลไม้หรือ ผลผลิตต่างๆ ในสวนมาเป็นอาหารไก่ไข่ การจัดการฟาร์ม สวนลุงวุฒิเป็นฟาร์มที่ได้รับการรับรองการ ปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำาหรับฟาร์มไก่ไข่ โรงเรือนแยกเป็นสัดส่วน อย่างชัดเจน มีการจัดการฟาร์มที่ได้มาตรฐานทั้งในเรื่องที่อยู่อาศัย และการจัดการฟาร์มอย่างเป็นดีมีทั้งหมด 13 โรงเรือน (โรงเรือน ลูกไก่และไก่สาว จำานวน 5 โรงเรือน และโรงเรือนไก่ไข่ จานวน 8 โรงเรือน) ลักษณะฟาร์ม มีพื้นที่ให้ไก่ไข่เพียงพอไม่หนาแน่น โรงเรือน ละ 400-500 ตัว แบ่งโซนเลี้ยงไก่เป็นประเภทต่างๆ เพื่อง่ายต่อการ จัดการโรค มีแหล่งน้ำาที่สะอาดเพียงพอ จัดการมูลไก่ไข่อย่าง เหมาะสมไม่มีกลิ่นและไม่มีแมลงวัน การจัดการด้านการตลาด เนื่องจากลุงวุฒิเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดี ไก่มีสุขภาพดี ไม่เครียด ปลอดยาปฏิชีวนะทาให้ผลผลิตที่ได้เป็นที่ ต้องการของตลาดและชุมชน มีจุดเด่นสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบ การรายใหญ่ได้จึงมีการจำาหน่ายทั้งไก่สด ไข่ไก่ และแปรรูปผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่า เปิดร้านกาแฟภายในพื้นที่ของฟาร์ม ชื่อ “ร้านกาแฟออร์แกนิค” เพื่อแก้ปัญหาเรื่องช่องทางการตลาดของสินค้าออร์แกนิคในฟาร์ม สามารถจำาหน่ายสินค้าตรงไปยังผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ ปลอดภัยและสามารถจำาหน่ายได้ราคาดีกว่าท้องตลาด ความภาคภูมิใจ ร่วมออกบูธจำาหน่ายผลิตภัณฑ์และร่วมงาน รวมพลขับเคลื่อนงานส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่พังงาสู่ครัว อันดามัน เป็นผู้นำาทางด้านการเกษตร เช่น เกษตรกรอาชีพเลี้ยง สัตว์ดีเด่นระดับเขต ปี พ.ศ.2565 ปราชญ์เกษตรดีเด่นจังหวัดพังงา ปี พ.ศ.2565 รางวัลรองชนะเลิศระดับเขตสาขาเกษตรอินทรีย์ ปี พ.ศ.2565 รางวัลรองชนะเลิศศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องจาก พระราชดาริต้นแบบ ระดับจังหวัดพังงา พ.ศ.2559 เกษตรกรคนเก่ง ด้านการเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดีจาก ธ.ก.ส. ปี พ.ศ.2558 เกษตรกร ต้นแบบสาขาเกษตรอินทรีย์ระดับจังหวัดจากสภาเกษตรกรแห่งชาติ ปี พ.ศ.2558 ผ่านการฝึกอบรมโครงการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อ พัฒนาศักยภาพเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินประเทศญี่ปุ่นรุ่นที่ 2 ปี พ.ศ.2552 ถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านรายการคุยสบายได้ประเด็น สวท. ตะกั่วป่า พาเพลิน หัวข้อ “ฟาร์มไก่ไข่อารมณ์ดี เป็นต้น ความเป็นผู้นำาและการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในด้าน ต่างๆ ความเป็นผู้นา เป็นประธานแปลงใหญ่สัตว์ปีกอารมณ์ดี อำาเภอ คุระบุรี จังหวัดพังงา ประธานสหกรณ์การเกษตรลูกค้า ธ.ก.ส. พังงา และฟาร์มต้นแบบผสมผสาน ของ ธ.ก.ส. ปราชญ์เพื่อความมั่นคง (กอ.รมน.) ประธานศูนย์เครือข่าย ศพก. (ด้านปศุสัตว์) การเลี้ยง ไก่ไข่ คณะกรรมการศูนย์เรียนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้า เกษตรอาเภอคุระบุรี สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดพังงา (ประธาน ตำาบลบางวัน) คณะกรรมการที่ปรึกษาของอุทยานแห่งชาติศรีพังงา การเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม 1) เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้กับหน่วยงานต่างๆ ให้หน่วย งานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานอื่นๆ เช่น สำานักงาน การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมพัฒนาที่ดิน สภาเกษตรกร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โรงเรียน ตลอดจน กลุ่มผู้สนใจในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงในหัวข้อ การเลี้ยงไก่ไข่ การ บริหารจัดการตลาด เป็นต้น 2) จัดตั้งศูนย์เครือข่าย ศพก. “แปลงเกษตรเพื่อชีวิต” 3) แบ่งปันผลผลิตในฟาร์มให้กับเพื่อนบ้านและชุมชนและงาน พิธีต่างๆ เช่น การจัดตั้งโรงทานมอบไก่ไข่ในวันเกี่ยวข้าว 4) เป็นแหล่งศึกษาดูงานทั้งจากภาครัฐ สถานศึกษาและภาค เอกชน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวุฒิศักดิ์ พรมแก้ว มีแนวคิดการจัดการฟาร์มแบบ BCG (Bio-CircularGreen’ Economy Model) ประกอบด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green) และ ทาการเกษตรแบบเกื้อกูล จัดการทรัพยากรภายในฟาร์มให้เกิด ประโยชน์และความคุ้มค่าสูงสุด นำามูลไก่ไข่ไปใช้ในแปลงเกษตรเป็น ปุ๋ยให้ปาล์มน้ำามันและยางพารา ทำาให้ได้ผลผลิตที่ดี ช่วยลดต้นทุน ของปุ๋ยเคมี นอกจากนี้มูลไก่ยังช่วยปรับปรุงฟื้นฟูสภาพดิน 1) เลี้ยงเป็ดไข่เพื่อกำาจัดวัชพืชในสวนปาล์มน้ำามัน มูลของเป็ด ไข่เป็นปุ๋ยให้กับพืชภายในแปลง 2) นำาเศษอาหาร ผลไม้ ปลา มาหมักเป็นปุ๋ยเพื่อให้เกิดการ หมุนเวียนในพื้นที่ เศษอาหารและเศษเหลือต่างๆ นามาเลี้ยงปลาดุก ทุกๆ สิ่งภายในแปลงจะไม่เหลือเป็นขยะเหลือทิ้งแต่จะถูกนามาใช้ให้ เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ถือเป็นการทำาการเกษตรที่ นอกจากจะมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคแล้วยังคำานึงถึงสิ่งแวดล้อม ด้วย 3) มีน้ำาไหลเวียนจากประปาภูเขาลดการใช้พลังงาน


Manufacturer: Name: Shandong Longchang Animal Health Product co.,ltd Address: Lushang square,Jingshi road, Jinan,Shandong province,China Tel/What’s app/Line:0086-18369909316 Email: [email protected] Thailand distributor : Name: Feed Techno Focus Co., Ltd. Address: 554/3 Asok-Dindaeng Rd., Dindaeng, Bangkok 10400 Thailand Tel. : 0066- (0)2 641 8862-4


Bile acid Contact information: Manufacturer:Shandong Longchang Animal Health Product co.,ltd Web: www.sdlachance.net Email: [email protected] การทํางานของกรดนํ +าดี (Bile Acids) มีผลต่อตับอย่างไรบ้าง กรดนํ +าดี (Bile Acids) จะทําหน้าที=ช่วยให้ไขมันถูกย่อย และดูดซึมเข้าที=สําไส้เล็กส่วนปลาย (Terminal Ileum) กรดนํ +าดี (Bile Acids) ถูกนํากลับมาที=ตับ เพื=อกระตุ้นให้ตับสังเคราะห์ และหลั=งนํ +าดีขึ +นมาใหม่ นอกจากนี +การหลั=งนํ +าดีทําให้มีการขับสารพิษ และสารตกค้างต่างๆจากตับ อย่างเช่น ยา โลหะหนัก และสาร อันตรายอื=นๆ กรดนํ +าดี (Bile Acids) ป้องกันความเสียหายของตับจากเอนโดทอกซิน (Endotoxin : LPS) โดยการ จบัและรวมตวัเพ ื= อยบัยงั+การออกฤทธิU ของเอนโดทอกซนิลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซเิดชนัและการ ตอบสนองต่อการอักเสบ ซึ=งช่วยป้องกันความเสียหายของตับที=จะเกิดจากเอนโดทอกซิน ในการป้องกันตับ กรดนํ +าดี (Bile Acids) เป็นปัจจัยควบคุมและกระตุ้นการสังเคราะห์กรดนํ +าดีผ่าน Bile Acids Sensitive Nuclear Receptor (FXR : Fanosyl X Receptor) ซึ=งมีคุณสมบัติ ป้องกันภาวะท่อนํ +าดีตีบ และอุดตัน (Anti-cholestasis) ต้านการเกิดภาวะผังผืดเกาะตับ (Antiliver fibrosis) และต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) สารในกรดนํ +าดี (Deoxycholic Acid and Ursodeoxycholic Acid) จะช่วยส่งเสริมให้มีการ หลั=งนํ +าดีออกมาเป็นจํานวนมากจากเซลล์ตับ เพิ=มการละลายของคอเลสเตอรอล ทําให้ท่อทางเดินนํ +าดี ราบเรียบ ซึ=งมีบทบาทในการปกป้องตับ และถุงนํ +าดีจากภาวะท่อนํ +าดีอุดตัน กรดนํ +าดี (Bile Acids) สามารถส่งเสริมและเพิ=มประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระ (เพิ=มประสิทธิภาพการ ทํางานของ SOD, GSH-Px และ GR) ขจัดออกซิเจนส่วนเกินที=เป็นอนุมูลอิสระจากกระบวนการ ออกซิเดชันของไขมัน (Fat Oxidation) ขจัดเอนโดทอกซิน (Endotoxin) และสารพิษจากเชื +อรา (Mycotoxin) เพิ=มประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระ ความสามารถในการป้องกันความเครียดและ ผลกระทบจากความเครียด การแนะนําการใช้ Runeon (Bile Acids) ในไก่เนื +อ ไก่ไข่ และเป็ด เพื=อการปรับปรุงประสิทธิภาพ แนะนําให้เติม Runeon (Bile Acids) ในอัตรา 200 กรัม ต่ออาหาร 1 ตัน กรณี การแก้ปัญหาการผลกระทบของสารพิษจากเชื +อรา แนะนําให้เติม Runeon (Bile Acids) ใน อัตรา 500~1,000 กรัม ต่ออาหาร 1 ตัน ร่วมกับผลิตภัณฑ์จับสารพิษจากเชื +อรา Bile acid Contact information: Manufacturer:Shandong Longchang Animal Health Product co.,ltd Web: www.sdlachance.net Email: [email protected] การทํางานของกรดนํ +าดี (Bile Acids) มีผลต่อตับอย่างไรบ้าง กรดนํ +าดี (Bile Acids) จะทําหน้าที=ช่วยให้ไขมันถูกย่อย และดูดซึมเข้าที=สําไส้เล็กส่วนปลาย (Terminal Ileum) กรดนํ +าดี (Bile Acids) ถูกนํากลับมาที=ตับ เพื=อกระตุ้นให้ตับสังเคราะห์ และหลั=งนํ +าดีขึ +นมาใหม่ นอกจากนี +การหลั=งนํ +าดีทําให้มีการขับสารพิษ และสารตกค้างต่างๆจากตับ อย่างเช่น ยา โลหะหนัก และสาร อันตรายอื=นๆ กรดนํ +าดี (Bile Acids) ป้องกันความเสียหายของตับจากเอนโดทอกซิน (Endotoxin : LPS) โดยการ จบัและรวมตวัเพ ื= อยบัยงั+การออกฤทธิU ของเอนโดทอกซนิลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซเิดชนัและการ ตอบสนองต่อการอักเสบ ซึ=งช่วยป้องกันความเสียหายของตับที=จะเกิดจากเอนโดทอกซิน ในการป้องกันตับ กรดนํ +าดี (Bile Acids) เป็นปัจจัยควบคุมและกระตุ้นการสังเคราะห์กรดนํ +าดีผ่าน Bile Acids Sensitive Nuclear Receptor (FXR : Fanosyl X Receptor) ซึ=งมีคุณสมบัติ ป้องกันภาวะท่อนํ +าดีตีบ และอุดตัน (Anti-cholestasis) ต้านการเกิดภาวะผังผืดเกาะตับ (Antiliver fibrosis) และต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) สารในกรดนํ +าดี (Deoxycholic Acid and Ursodeoxycholic Acid) จะช่วยส่งเสริมให้มีการ หลั=งนํ +าดีออกมาเป็นจํานวนมากจากเซลล์ตับ เพิ=มการละลายของคอเลสเตอรอล ทําให้ท่อทางเดินนํ +าดี ราบเรียบ ซึ=งมีบทบาทในการปกป้องตับ และถุงนํ +าดีจากภาวะท่อนํ +าดีอุดตัน กรดนํ +าดี (Bile Acids) สามารถส่งเสริมและเพิ=มประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระ (เพิ=มประสิทธิภาพการ ทํางานของ SOD, GSH-Px และ GR) ขจัดออกซิเจนส่วนเกินที=เป็นอนุมูลอิสระจากกระบวนการ ออกซิเดชันของไขมัน (Fat Oxidation) ขจัดเอนโดทอกซิน (Endotoxin) และสารพิษจากเชื +อรา (Mycotoxin) เพิ=มประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระ ความสามารถในการป้องกันความเครียดและ ผลกระทบจากความเครียด การแนะนําการใช้ Runeon (Bile Acids) ในไก่เนื +อ ไก่ไข่ และเป็ด เพื=อการปรับปรุงประสิทธิภาพ แนะนําให้เติม Runeon (Bile Acids) ในอัตรา 200 กรัม ต่ออาหาร 1 ตัน กรณี การแก้ปัญหาการผลกระทบของสารพิษจากเชื +อรา แนะนําให้เติม Runeon (Bile Acids) ใน อัตรา 500~1,000 กรัม ต่ออาหาร 1 ตัน ร่วมกับผลิตภัณฑ์จับสารพิษจากเชื +อรา


32 สัตวเศรษฐกิจ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE ª×è¹Á×è¹! ͸Ժ´Õ»ÈØÊѵǏ¹íÒ·ÕÁ¾º¤³Ð¼ÙŒºÃÔËÒà GACC ¡ÃЪѺ ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ÁÑè¹ã¨Ê‹§ÍÍ¡ÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏ仨չ àµÔºâµµ‹Íà¹×èͧ ¶×Í໚¹¼Å§Ò¹·ÕèÊíÒ¤Ñޢͧ·Ñé§ 2 ½†Ò ¹ÒÂÊѵÇᾷÊÁªÇ¹ Ãѵ¹Áѧ¤ÅÒ¹¹· ͸Ժ´Õ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ ແ´à¼ÂÇ‹Ò ä´ŒÃ‹ÇÁ¡Ñº ¹ÒÂÊѵÇᾷªÑÂÇѲ¹ ⸤Š¼ÙŒµÃǨÃÒª¡Òà ¡ÃзÃǧà¡ÉµÃáÅÐÊˡó ¹íÒ·ÕÁ¤³Ð¼ÙŒºÃÔËÒáÃÁ»ÈØÊѵǏ áÅÐ ¼ÙŒÍíҹǡÒÃÊíҹѡ§Ò¹·Õè»ÃÖ¡ÉÒ´ŒÒ¹¡ÒÃà¡ÉµÃ »ÃШíÒ¡ÃØ§»˜¡¡Ôè§ Êíҹѡ§Ò¹»ÅÑ´¡ÃзÃǧà¡ÉµÃáÅÐÊˡó ࢌÒËÇÁ»ÃЪØÁËÒÃ×͡Ѻ Mr. Wang Fuxiao Ãͧ͸Ժ´Õ áÅФ³Ð¼ÙŒºÃÔËÒà ¢Í§¡ÃÁ¤ÇÒÁ »ÅÍ´ÀÑÂÍÒËÒùíÒࢌÒáÅÐÊ‹§ÍÍ¡ Êíҹѡ§Ò¹ÈØÅ¡Ò¡ÃáË‹§ÊÒ¸ÒóÃѰ »ÃЪҪ¹¨Õ¹ (Bureau of Import and Export Food Safety, The General Administration of Customs of People’s Republic of China: GACC) àÁ×èÍÇѹ·Õè 3 ¡.¤. 2566 àÇÅÒ 14.30 ¹. ³.ˌͧ»ÃЪØÁ ¢Í§ GACC ¡Ãا»˜¡¡Ôè§ ÊÒ¸ÒóÃѰ»ÃЪҪ¹¨Õ¹ â´ÂÁÕÇѵ¶Ø»ÃÐʧ¤à¾×èÍ ¡ÃЪѺ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¤ÇÒÁËÇÁÁ×ÍáÅÐ ¼ÅÑ¡´Ñ¹Ê‹§àÊÃÔÁ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡ÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏÃÐËNjҧä·ÂáÅШչ ¼Å¡ÒûÃЪØÁËÒÃ×Í»ÃÐʺ¤ÇÒÁÊíÒàÃ稵ÒÁÇѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ ºÃÃÂÒ¡ÒÈ㹡ÒûÃЪØÁËÒÃ×ͧ͢·Ñé§ 2 ½†Ò ÁÕ¤ÇÒÁÃÒºÃ×è¹áÅÐ ª×è¹Á×è¹ â´Â͸Ժ´Õ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ䴌¡Å‹ÒÇá¹Ð¹íÒµÑǤ³Ð¼ÙŒºÃÔËÒâͧ ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ áÅСŋÒǢͺ¤Ø³ GACC ·ÕèãËŒ¤ÇÒÁËÇÁÁ×ÍʹѺʹع Ê‹§àÊÃÔÁ¡ÒäŒÒÃÐËNjҧ¡Ñ¹ÁÒÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧÂÒǹҹ áÅÐÅ‹ÒÊØ´ GACC 䴌ᨌ§¡ÒÃ͹ØÞÒµ¢ÂÒ¢ͺ¢‹ÒªÔé¹Ê‹Ç¹áÅÐà¤Ã×èͧã¹à»š´¨Ò¡ä·Â Ê‹§ÍÍ¡ÁÒ¨Õ¹ «Öè§¡ÃÁ»ÈØÊѵǏÍÂÙ‹ÃÐËNjҧ¢Ñ鹵͹¡ÒèѴʋ§Ã‹Ò§¾Ô¸ÕÊÒÃÏ àʹͼ‹Ò¹¡ÃзÃǧµ‹Ò§»ÃÐà·È µÃǨÊͺà¹×éÍËÒ ¡‹Í¹¹íÒàʹÍà¢ŒÒ ¤ÃÁ.ÃѺ·ÃÒºáÅÐÁͺËÁÒÂÃѰÁ¹µÃÕÏ Å§¹ÒÁµ‹Íä» ¹Í¡¨Ò¡¹Õé ͸Ժ´Õ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ䴌ËÒÃ×Íã¹ÀÒ¾ÃÇÁ¢Í§Ãкº¡ÒâÖé¹·ÐàºÕ¹ ¼ÙŒ¼ÅÔµÍÒËÒÃÊ‹§ÍÍ¡ä»Âѧ¨Õ¹ (China Import Food Enterprise Registration system: CIFER) à¾×èÍãˌ਌Ò˹ŒÒ·Õè¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ ¼ÙŒ»¯ÔºÑµÔ§Ò¹ ÃÇÁ¶Ö§¼ÙŒ»ÃСͺ¡Ò÷Õ赌ͧ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡ÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏ ä»Âѧ¨Õ¹ ÊÒÁÒö»¯ÔºÑµÔµÒÁÃÐàºÕºáÅТÑ鹵͹¢Í§ GACC ä´Œ Í‹ҧ¶Ù¡µŒÍ§ªÑ´à¨¹ áÅÐ䴌㪌âÍ¡ÒʹÕé àÃÕ¹àªÔÞ¼ÙŒàªÕèÂǪÒÞ¨Ò¡ GACC ÁÒ½ƒ¡ÍºÃÁáÅÐàÊÃÔÁÊÌҧ¤ÇÒÁࢌÒã¨ã¹¡ÒÃ㪌§Ò¹Ãкº CIFER ·Õè»ÃÐà·Èä·Â ÃÇÁ¶Ö§¹íÒàʹÍâ¤Ã§¡ÒÃáÅ¡à»ÅÕè¹·Ò§´ŒÒ¹ ÇÔªÒ¡Òà áÅзҧ´ŒÒ¹à·¤¹Ô¤ ÃÐËNjҧ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏáÅÐ GACC â´Â ¡ÒÃÊ‹§à¨ŒÒ˹ŒÒ·Õè´‹Ò¹¡Ñ¡¡Ñ¹ÊѵǏã¹ÃдѺ¼ÙŒ»¯ÔºÑµÔ§Ò¹ áÅ¡à»ÅÕ蹡ѹ ä»ÈÖ¡ÉÒ´Ù§Ò¹ ³ ´‹Ò¹¡Ñ¡¡Ñ¹ÊѵǏ¢Í§½†ÒÂä·ÂáÅн†Ò¨չ à¾×èÍ à¾ÔèÁ¾Ù¹»ÃÐʺ¡ÒóáÅÐÊÌҧ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸Ã‹ÇÁ¡Ñ¹ÃÐËNjҧ਌Ò˹ŒÒ·Õè ÃдѺ»¯ÔºÑµÔ¢Í§·Ñé§ 2 ½†Ò ´ŒÒ¹ Mr. Wang Fuxiao Ãͧ͸Ժ´Õ ¡ÃÁ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ ÍÒËÒùíÒࢌÒáÅÐÊ‹§ÍÍ¡¢Í§Êíҹѡ§Ò¹ÈØÅ¡Ò¡ÃáË‹§ÊÒ¸ÒóÃѰ »ÃЪҪ¹¨Õ¹ (GACC) ä´Œ¡Å‹ÒǶ֧¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸¢Í§¨Õ¹áÅÐä·Â ·ÕèÂÒǹҹ㪋Í×è¹ä¡Å àËÁ×͹¾Õ蹌ͧ¡Ñ¹ áÅТͺ¤Ø³¡ÃÁ»ÈØÊѵǏä·Â ·ÕèãËŒ¤ÇÒÁËÇÁÁ×Í¡íҡѺ´ÙáŵÃǨÊÍºÊØ¢Í¹ÒÁÑ¡ÒüÅÔµà¹é×ÍáÅÐ ªÔé¹Ê‹Ç¹ÃÇÁ¶Ö§¼Å¾ÅÍÂä´ŒÊѵǏ»‚¡áª‹á¢ç§ 䴌͋ҧÁÕ»ÃÐÊÔ·¸ÔÀÒ¾ µÒÁ¢ŒÍ¡íÒ˹´¢Í§¾Ô¸ÕÊÒÃÃÐËNjҧ¡ÃзÃǧà¡ÉµÃáÅÐÊˡóáË‹§ ÃÒªÍҳҨѡÃä·Â¡ÑºÊíҹѡ§Ò¹ÈØÅ¡Ò¡ÃáË‹§ÊÒ¸ÒóÃѰ»ÃЪҪ¹¨Õ¹ NjҴŒÇÂËÅѡࡳ±¡ÒõÃǨÊͺ ¡Òáѡ¡Ñ¹ áÅÐÊØ¢Í¹ÒÁÑ·ҧ ÊѵÇᾷ à¾×èÍ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡à¹×éÍÊѵǏ»‚¡áª‹á¢ç§áÅЪÔé¹Ê‹Ç¹ÊѵǏ»‚¡¨Ò¡ »ÃÐà·Èä·Âä»Âѧ»ÃÐà·È¨Õ¹ ¨¹Ê‹§¼ÅãËŒ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡à¹é×ÍáÅЪÔé¹Ê‹Ç¹ 䡋᪋á¢ç§¨Ò¡ä·ÂÁÒ¨Õ¹àµÔºâµÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧ «Öè§»˜¨¨ØºÑ¹ÁÕ 20 âç§Ò¹ ·ÕèÊÒÁÒöʋ§ÍÍ¡ÁҨչ䴌 â´ÂÂÍ´¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡à¹é×ÍáÅЪÔé¹Ê‹Ç¹ä¡‹ ᪋á¢ç§ä»Âѧ»ÃÐà·È¨Õ¹ÁÕ»ÃÔÁÒ³à¾ÔèÁÁÒ¡¢Öé¹à¡×ͺ 100% 㹪‹Ç§ 5 à´×͹áá ¢Í§»‚ 2566 àÁ×èÍà·Õº¡Ñºª‹Ç§à´ÕÂǡѹ¢Í§»‚ 2565 ·Õè ¼‹Ò¹ÁÒ ¶×ÍÇ‹Ò໚¹¼Å§Ò¹·ÕèÊíÒ¤Ñޢͧ·Ñé§ 2 ½†Ò ¹Í¡¨Ò¡¹Õé·Ò§ GACC ¨ÐãËŒ¤ÇÒÁËÇÁÁ×͡Ѻ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ 㹡ÒÃà¾ÔèÁª‹Í§·Ò§¡Òà »ÃÐÊÒ¹§Ò¹ãËŒÊдǡÃÇ´àÃçÇ¢Öé¹ à¾×è͵ԴµÒÁã¹Ê‹Ç¹¢Í§âç§Ò¹·ÕèÂѧ ÃÍ¢Öé¹·ÐàºÕ¹ÃѺÃͧÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏʋ§ÍÍ¡ÁÒ¨Õ¹ ¨Ò¡ GACC ÍÕ¡ ËÅÒÂáË‹§ ÃÇÁ¶Ö§»ÃÐà´ç¹âç§Ò¹Ê‹§Í͡䡋·Õè¢Öé¹·ÐàºÕ¹äÇŒáÅŒÇ áµ‹ ¶Ù¡ªÐÅÍ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡ªÑèǤÃÒǨíҹǹ 3 âç§Ò¹ à¾×èͨÐä´ŒÊÒÁÒö ¡ÅѺÁÒÊ‹§ÍÍ¡ãËÁ‹ä´Œâ´ÂàÃçǵ‹Íä» ËÒ¡µÃǨÊͺ¢ŒÍÁÙÅàÃÕºÌÍ áÅÐÁÕ¤ÇÒÁ¶Ù¡µŒÍ§ ÊíÒËÃѺ¡Òýƒ¡ÍºÃÁàÊÃÔÁÊÌҧ¤ÇÒÁࢌÒã¨ã¹¡Òà 㪌§Ò¹Ãкº CIFER ½†Ò GACC äÁ‹¢Ñ´¢ŒÍ§ ¾ÃŒÍÁãËŒ¡ÒÃʹѺʹع ã¹àÃ×èͧ¡Òýƒ¡ÍºÃÁ ÃÇÁ·Ñé§¢ŒÍàʹÍâ¤Ã§¡ÒÃáÅ¡à»ÅÕ蹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ ´Ù§Ò¹´‹Ò¹¡Ñ¡¡Ñ¹ÊѵǏ¢Í§à¨ŒÒ˹ŒÒ·Õè·Ñé§ 2 ½†Ò ¶×ÍÇ‹Ò໚¹àÃ×èͧ·Õè´Õ ·Ò§ GACC ¨Ðä´Œ¹íÒ仾ԨÒóҵ‹Íä» “¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ ÁÑè¹ã¨Ç‹Ò ÊÒ¸ÒóÃѰ»ÃЪҪ¹¨Õ¹ ¨Ð໚¹»ÃÐà·È ¤Ù‹¤ŒÒ·ÕèÊíÒ¤Ñޢͧä·Âã¹´ŒÒ¹¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡ÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏ ·ÕèÁÕâÍ¡ÒÊ㹡Òà àµÔºâµÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧ ´ŒÇ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸Íѹ´Õ¢Í§·Ñé§ 2 »ÃÐà·È áÅÐ ¡ÒáíҡѺ´ÙáÅâ´Â¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ ã¹Ê‹Ç¹¢Í§¡Ãкǹ¡ÒüÅÔµ·Õè¶Ù¡ ÊØ¢ÅѡɳР䴌¤Ø³ÀÒ¾áÅÐÁҵðҹµÒÁÃкº GMP áÅÐ HACCP ·ÕèÁդسÀÒ¾áÅÐÁҵðҹÃдѺâÅ¡ áÅдŒÇ¤ÇÒÁËÇÁÁ×Í·ÕèࢌÁá¢ç§ ¢Í§ÀÒ¤ÃѰáÅÐàÍ¡ª¹ä·Â·Õ赌ͧ¶×Í»¯ÔºÑµÔãËŒ¶Ù¡µŒÍ§Í‹ҧࢌÁ§Ç´ ÀÒÂ㵌¡Ãͺ¾Ô¸ÕÊÒÃÏ ·Ñé§¹ÕéÂѧÁÕ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡¡ÅØ‹ÁÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏÍ×è¹æ ¨Ò¡ä·Â仨չ ÍÒ·Ô ¹éíÒ¼Öé§ Ãѧ¹¡ áÅмÅÔµÀѳ±¹ÁÍÕ¡´ŒÇ” ͸Ժ´Õ ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ¡Å‹ÒÇã¹·ÕèÊØ´… กรมปศุสัตว กระชับความสัมพันธ GACC หนุนสงออกไปจีน


32 สัตวเศรษฐกิจ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE ª×è¹Á×è¹! ͸Ժ´Õ»ÈØÊѵǏ¹íÒ·ÕÁ¾º¤³Ð¼ÙŒºÃÔËÒà GACC ¡ÃЪѺ ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ÁÑè¹ã¨Ê‹§ÍÍ¡ÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏ仨չ àµÔºâµµ‹Íà¹×èͧ ¶×Í໚¹¼Å§Ò¹·ÕèÊíÒ¤Ñޢͧ·Ñé§ 2 ½†Ò ¹ÒÂÊѵÇᾷÊÁªÇ¹ Ãѵ¹Áѧ¤ÅÒ¹¹· ͸Ժ´Õ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ ແ´à¼ÂÇ‹Ò ä´ŒÃ‹ÇÁ¡Ñº ¹ÒÂÊѵÇᾷªÑÂÇѲ¹ ⸤Š¼ÙŒµÃǨÃÒª¡Òà ¡ÃзÃǧà¡ÉµÃáÅÐÊˡó ¹íÒ·ÕÁ¤³Ð¼ÙŒºÃÔËÒáÃÁ»ÈØÊѵǏ áÅÐ ¼ÙŒÍíҹǡÒÃÊíҹѡ§Ò¹·Õè»ÃÖ¡ÉÒ´ŒÒ¹¡ÒÃà¡ÉµÃ »ÃШíÒ¡ÃØ§»˜¡¡Ôè§ Êíҹѡ§Ò¹»ÅÑ´¡ÃзÃǧà¡ÉµÃáÅÐÊˡó ࢌÒËÇÁ»ÃЪØÁËÒÃ×͡Ѻ Mr. Wang Fuxiao Ãͧ͸Ժ´Õ áÅФ³Ð¼ÙŒºÃÔËÒà ¢Í§¡ÃÁ¤ÇÒÁ »ÅÍ´ÀÑÂÍÒËÒùíÒࢌÒáÅÐÊ‹§ÍÍ¡ Êíҹѡ§Ò¹ÈØÅ¡Ò¡ÃáË‹§ÊÒ¸ÒóÃѰ »ÃЪҪ¹¨Õ¹ (Bureau of Import and Export Food Safety, The General Administration of Customs of People’s Republic of China: GACC) àÁ×èÍÇѹ·Õè 3 ¡.¤. 2566 àÇÅÒ 14.30 ¹. ³.ˌͧ»ÃЪØÁ ¢Í§ GACC ¡Ãا»˜¡¡Ôè§ ÊÒ¸ÒóÃѰ»ÃЪҪ¹¨Õ¹ â´ÂÁÕÇѵ¶Ø»ÃÐʧ¤à¾×èÍ ¡ÃЪѺ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸ ¤ÇÒÁËÇÁÁ×ÍáÅÐ ¼ÅÑ¡´Ñ¹Ê‹§àÊÃÔÁ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡ÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏÃÐËNjҧä·ÂáÅШչ ¼Å¡ÒûÃЪØÁËÒÃ×Í»ÃÐʺ¤ÇÒÁÊíÒàÃ稵ÒÁÇѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ ºÃÃÂÒ¡ÒÈ㹡ÒûÃЪØÁËÒÃ×ͧ͢·Ñé§ 2 ½†Ò ÁÕ¤ÇÒÁÃÒºÃ×è¹áÅÐ ª×è¹Á×è¹ â´Â͸Ժ´Õ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ䴌¡Å‹ÒÇá¹Ð¹íÒµÑǤ³Ð¼ÙŒºÃÔËÒâͧ ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ áÅСŋÒǢͺ¤Ø³ GACC ·ÕèãËŒ¤ÇÒÁËÇÁÁ×ÍʹѺʹع Ê‹§àÊÃÔÁ¡ÒäŒÒÃÐËNjҧ¡Ñ¹ÁÒÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧÂÒǹҹ áÅÐÅ‹ÒÊØ´ GACC 䴌ᨌ§¡ÒÃ͹ØÞÒµ¢ÂÒ¢ͺ¢‹ÒªÔé¹Ê‹Ç¹áÅÐà¤Ã×èͧã¹à»š´¨Ò¡ä·Â Ê‹§ÍÍ¡ÁÒ¨Õ¹ «Öè§¡ÃÁ»ÈØÊѵǏÍÂÙ‹ÃÐËNjҧ¢Ñ鹵͹¡ÒèѴʋ§Ã‹Ò§¾Ô¸ÕÊÒÃÏ àʹͼ‹Ò¹¡ÃзÃǧµ‹Ò§»ÃÐà·È µÃǨÊͺà¹×éÍËÒ ¡‹Í¹¹íÒàʹÍà¢ŒÒ ¤ÃÁ.ÃѺ·ÃÒºáÅÐÁͺËÁÒÂÃѰÁ¹µÃÕÏ Å§¹ÒÁµ‹Íä» ¹Í¡¨Ò¡¹Õé ͸Ժ´Õ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ䴌ËÒÃ×Íã¹ÀÒ¾ÃÇÁ¢Í§Ãкº¡ÒâÖé¹·ÐàºÕ¹ ¼ÙŒ¼ÅÔµÍÒËÒÃÊ‹§ÍÍ¡ä»Âѧ¨Õ¹ (China Import Food Enterprise Registration system: CIFER) à¾×èÍãˌ਌Ò˹ŒÒ·Õè¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ ¼ÙŒ»¯ÔºÑµÔ§Ò¹ ÃÇÁ¶Ö§¼ÙŒ»ÃСͺ¡Ò÷Õ赌ͧ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡ÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏ ä»Âѧ¨Õ¹ ÊÒÁÒö»¯ÔºÑµÔµÒÁÃÐàºÕºáÅТÑ鹵͹¢Í§ GACC ä´Œ Í‹ҧ¶Ù¡µŒÍ§ªÑ´à¨¹ áÅÐ䴌㪌âÍ¡ÒʹÕé àÃÕ¹àªÔÞ¼ÙŒàªÕèÂǪÒÞ¨Ò¡ GACC ÁÒ½ƒ¡ÍºÃÁáÅÐàÊÃÔÁÊÌҧ¤ÇÒÁࢌÒã¨ã¹¡ÒÃ㪌§Ò¹Ãкº CIFER ·Õè»ÃÐà·Èä·Â ÃÇÁ¶Ö§¹íÒàʹÍâ¤Ã§¡ÒÃáÅ¡à»ÅÕè¹·Ò§´ŒÒ¹ ÇÔªÒ¡Òà áÅзҧ´ŒÒ¹à·¤¹Ô¤ ÃÐËNjҧ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏáÅÐ GACC â´Â ¡ÒÃÊ‹§à¨ŒÒ˹ŒÒ·Õè´‹Ò¹¡Ñ¡¡Ñ¹ÊѵǏã¹ÃдѺ¼ÙŒ»¯ÔºÑµÔ§Ò¹ áÅ¡à»ÅÕ蹡ѹ ä»ÈÖ¡ÉÒ´Ù§Ò¹ ³ ´‹Ò¹¡Ñ¡¡Ñ¹ÊѵǏ¢Í§½†ÒÂä·ÂáÅн†Ò¨չ à¾×èÍ à¾ÔèÁ¾Ù¹»ÃÐʺ¡ÒóáÅÐÊÌҧ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸Ã‹ÇÁ¡Ñ¹ÃÐËNjҧ਌Ò˹ŒÒ·Õè ÃдѺ»¯ÔºÑµÔ¢Í§·Ñé§ 2 ½†Ò ´ŒÒ¹ Mr. Wang Fuxiao Ãͧ͸Ժ´Õ ¡ÃÁ¤ÇÒÁ»ÅÍ´ÀÑ ÍÒËÒùíÒࢌÒáÅÐÊ‹§ÍÍ¡¢Í§Êíҹѡ§Ò¹ÈØÅ¡Ò¡ÃáË‹§ÊÒ¸ÒóÃѰ »ÃЪҪ¹¨Õ¹ (GACC) ä´Œ¡Å‹ÒǶ֧¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸¢Í§¨Õ¹áÅÐä·Â ·ÕèÂÒǹҹ㪋Í×è¹ä¡Å àËÁ×͹¾Õ蹌ͧ¡Ñ¹ áÅТͺ¤Ø³¡ÃÁ»ÈØÊѵǏä·Â ·ÕèãËŒ¤ÇÒÁËÇÁÁ×Í¡íҡѺ´ÙáŵÃǨÊÍºÊØ¢Í¹ÒÁÑ¡ÒüÅÔµà¹é×ÍáÅÐ ªÔé¹Ê‹Ç¹ÃÇÁ¶Ö§¼Å¾ÅÍÂä´ŒÊѵǏ»‚¡áª‹á¢ç§ 䴌͋ҧÁÕ»ÃÐÊÔ·¸ÔÀÒ¾ µÒÁ¢ŒÍ¡íÒ˹´¢Í§¾Ô¸ÕÊÒÃÃÐËNjҧ¡ÃзÃǧà¡ÉµÃáÅÐÊˡóáË‹§ ÃÒªÍҳҨѡÃä·Â¡ÑºÊíҹѡ§Ò¹ÈØÅ¡Ò¡ÃáË‹§ÊÒ¸ÒóÃѰ»ÃЪҪ¹¨Õ¹ NjҴŒÇÂËÅѡࡳ±¡ÒõÃǨÊͺ ¡Òáѡ¡Ñ¹ áÅÐÊØ¢Í¹ÒÁÑ·ҧ ÊѵÇᾷ à¾×èÍ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡à¹×éÍÊѵǏ»‚¡áª‹á¢ç§áÅЪÔé¹Ê‹Ç¹ÊѵǏ»‚¡¨Ò¡ »ÃÐà·Èä·Âä»Âѧ»ÃÐà·È¨Õ¹ ¨¹Ê‹§¼ÅãËŒ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡à¹é×ÍáÅЪÔé¹Ê‹Ç¹ 䡋᪋á¢ç§¨Ò¡ä·ÂÁÒ¨Õ¹àµÔºâµÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧ «Öè§»˜¨¨ØºÑ¹ÁÕ 20 âç§Ò¹ ·ÕèÊÒÁÒöʋ§ÍÍ¡ÁҨչ䴌 â´ÂÂÍ´¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡à¹é×ÍáÅЪÔé¹Ê‹Ç¹ä¡‹ ᪋á¢ç§ä»Âѧ»ÃÐà·È¨Õ¹ÁÕ»ÃÔÁÒ³à¾ÔèÁÁÒ¡¢Öé¹à¡×ͺ 100% 㹪‹Ç§ 5 à´×͹áá ¢Í§»‚ 2566 àÁ×èÍà·Õº¡Ñºª‹Ç§à´ÕÂǡѹ¢Í§»‚ 2565 ·Õè ¼‹Ò¹ÁÒ ¶×ÍÇ‹Ò໚¹¼Å§Ò¹·ÕèÊíÒ¤Ñޢͧ·Ñé§ 2 ½†Ò ¹Í¡¨Ò¡¹Õé·Ò§ GACC ¨ÐãËŒ¤ÇÒÁËÇÁÁ×͡Ѻ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ 㹡ÒÃà¾ÔèÁª‹Í§·Ò§¡Òà »ÃÐÊÒ¹§Ò¹ãËŒÊдǡÃÇ´àÃçÇ¢Öé¹ à¾×è͵ԴµÒÁã¹Ê‹Ç¹¢Í§âç§Ò¹·ÕèÂѧ ÃÍ¢Öé¹·ÐàºÕ¹ÃѺÃͧÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏʋ§ÍÍ¡ÁÒ¨Õ¹ ¨Ò¡ GACC ÍÕ¡ ËÅÒÂáË‹§ ÃÇÁ¶Ö§»ÃÐà´ç¹âç§Ò¹Ê‹§Í͡䡋·Õè¢Öé¹·ÐàºÕ¹äÇŒáÅŒÇ áµ‹ ¶Ù¡ªÐÅÍ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡ªÑèǤÃÒǨíҹǹ 3 âç§Ò¹ à¾×èͨÐä´ŒÊÒÁÒö ¡ÅѺÁÒÊ‹§ÍÍ¡ãËÁ‹ä´Œâ´ÂàÃçǵ‹Íä» ËÒ¡µÃǨÊͺ¢ŒÍÁÙÅàÃÕºÌÍ áÅÐÁÕ¤ÇÒÁ¶Ù¡µŒÍ§ ÊíÒËÃѺ¡Òýƒ¡ÍºÃÁàÊÃÔÁÊÌҧ¤ÇÒÁࢌÒã¨ã¹¡Òà 㪌§Ò¹Ãкº CIFER ½†Ò GACC äÁ‹¢Ñ´¢ŒÍ§ ¾ÃŒÍÁãËŒ¡ÒÃʹѺʹع ã¹àÃ×èͧ¡Òýƒ¡ÍºÃÁ ÃÇÁ·Ñé§¢ŒÍàʹÍâ¤Ã§¡ÒÃáÅ¡à»ÅÕ蹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ ´Ù§Ò¹´‹Ò¹¡Ñ¡¡Ñ¹ÊѵǏ¢Í§à¨ŒÒ˹ŒÒ·Õè·Ñé§ 2 ½†Ò ¶×ÍÇ‹Ò໚¹àÃ×èͧ·Õè´Õ ·Ò§ GACC ¨Ðä´Œ¹íÒ仾ԨÒóҵ‹Íä» “¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ ÁÑè¹ã¨Ç‹Ò ÊÒ¸ÒóÃѰ»ÃЪҪ¹¨Õ¹ ¨Ð໚¹»ÃÐà·È ¤Ù‹¤ŒÒ·ÕèÊíÒ¤Ñޢͧä·Âã¹´ŒÒ¹¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡ÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏ ·ÕèÁÕâÍ¡ÒÊ㹡Òà àµÔºâµÍ‹ҧµ‹Íà¹×èͧ ´ŒÇ¤ÇÒÁÊÑÁ¾Ñ¹¸Íѹ´Õ¢Í§·Ñé§ 2 »ÃÐà·È áÅÐ ¡ÒáíҡѺ´ÙáÅâ´Â¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ ã¹Ê‹Ç¹¢Í§¡Ãкǹ¡ÒüÅÔµ·Õè¶Ù¡ ÊØ¢ÅѡɳР䴌¤Ø³ÀÒ¾áÅÐÁҵðҹµÒÁÃкº GMP áÅÐ HACCP ·ÕèÁդسÀÒ¾áÅÐÁҵðҹÃдѺâÅ¡ áÅдŒÇ¤ÇÒÁËÇÁÁ×Í·ÕèࢌÁá¢ç§ ¢Í§ÀÒ¤ÃѰáÅÐàÍ¡ª¹ä·Â·Õ赌ͧ¶×Í»¯ÔºÑµÔãËŒ¶Ù¡µŒÍ§Í‹ҧࢌÁ§Ç´ ÀÒÂ㵌¡Ãͺ¾Ô¸ÕÊÒÃÏ ·Ñé§¹ÕéÂѧÁÕ¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡¡ÅØ‹ÁÊÔ¹¤ŒÒ»ÈØÊѵǏÍ×è¹æ ¨Ò¡ä·Â仨չ ÍÒ·Ô ¹éíÒ¼Öé§ Ãѧ¹¡ áÅмÅÔµÀѳ±¹ÁÍÕ¡´ŒÇ” ͸Ժ´Õ ¡ÃÁ»ÈØÊѵǏ¡Å‹ÒÇã¹·ÕèÊØ´… กรมปศุสัตว กระชับความสัมพันธ GACC หนุนสงออกไปจีน สัตวเศรษฐกิจ 33 ผลิตภัณฑ์ของไทยจะไปพิชิตมาตรฐานอวกาศ มาตรฐานความ ปลอดภัยขั้นสุด นอกจากนี้ ภายในงานดังกล่าวมีการจัดเวทีเสวนา Thai food - Mission to Space เชิญกูรูจากไทยและต่างประเทศ มาร่วมเสวนา เพื่อขับเคลื่อนการพลิกโฉมอาหารไทยไปไกลสู่อวกาศ ด้วยความ ปลอดภัยมาตรฐานอวกาศในหลากหลายประเด็น อาทิ ทำาไม มาตรฐานอวกาศถึงได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในมาตรฐานความปลอดภัยสูง ที่สุด!! มาตรฐานอาหารของไทยที่ไปไกลถึงอวกาศมีความสำาคัญ อย่างไรต่อสุขภาพที่ดีขึ้นของคนไทย นวัตกรรมที่ยกระดับวงการ ปศุสัตว์ไทยและโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารในอนาคต ซึ่งในงาน เสวนาประกอบด้วย Mr. Michael Massimino อดีตนักบินอวกาศ NASA, Miss Vickie Kloeris นักวิทยาศาสตร์อาหารที่เคยทำางาน ในห้องวิจัยของ NASA มานาน 34 ปี, รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำานวยการโรงพยาบาลจุÌาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์, ดร.โศรดา วัลภา รองผู้ว่าการ วิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำากัด (มหาชน) หรือ CPF ประกาศภารกิจเตรียมส่งไก่ไทยไปพิชิตอวกาศ ในโครงการ Thai food - Mission to Space โดยดำาเนินโครงการวิจัยร่วมกับสอง พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศจากสหรัฐอเมริกา NANORACKS LLC และ บจก.มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี หรือ MU Space ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศใน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยภารกิจเตรียมส่งไก่ไทยไปพิชิต อวกาศครั้งนี้ ไก่ไทยต้องผ่านการรับรองความปลอดภัยมาตรฐาน อวกาศ ซึ่งก็คือมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงระดับเดียว กับที่นักบินอวกาศทานได้ ความสำาเร็จของภารกิจนี้จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่ามาตรฐาน ความปลอดภัยของเนื้อไก่แบรนด์ CP ของไทย จะก้าวสู่มาตรฐาน ความปลอดภัยที่ไม่ใช่แค่ระดับโลก แต่จะเป็นมาตรฐานความปลอดภัย ระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐาน ตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA ½าก คนไทยเอาใจช่วย และร่วมภาคภูมิไปกับครั้งแรกของคนไทย ที่ ภารกิจระดับโลก CPF พาไกไทยไปอวกาศ ผลิตภัณฑ์ของไทยจะไปพิชิตมาตรฐานอวกาศ มาตรฐานความ ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์


34 สัตว์เศรษฐกิจ และกล้ามเนื้อของนักบินแต่ละคน ดังนั้นอาหารหมวดโปรตีนจึงต้อง มีการจัดเตรียมเป็นพิเศษ และที่ผ่านมาอาหารส่วนใหญ่จะออกมาใน รูปแบบอาหารแห้ง (dehydrate food) ที่ต้องเติมน้ำาบนนั้น หรือ แบบพร้อมทาน (ready-to-eat) ด้วยเทคโนโลยีรีทอร์ต (Retort) ที่ สามารถแกะกินได้ทันที แต่สิ่งที่ต่างกับขณะอยู่บนพื้นโลก คือ ลักษณะ ของอาหารและซอสต่างๆ จะมีความข้นเหนียว เพื่อให้มันติดกับช้อน ให้คุณกินได้สะดวก หรือกินจากแพ็คเกจเลย และอีกสิ่งที่แตกต่าง คือ เรื่องประสาทสัมผัสการรับรสและกลิ่นของอาหารที่ลดลง ทำาให้ เรารับรู้รสชาติอาหารได้น้อยลง อาหารประเภท สไปซี่ฟู้ดจึงเป็นที่ นิยมในหมู่นักบิน “Thaifood Mission to Space เป็นโครงการที่ดีซึ่งไม่เพียง แต่นักบินอวกาศจะได้บริโภคอาหารที่หลากหลายและปลอดภัย ยัง เป็นการยกระดับความปลอดภัยทางอาหารแก่ผู้บริโภคทั่วโลก และ เป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่เนื้อไก่ของไทยด้วย” Michael กล่าว ส่วน Miss Vickie Kloeris นักวิทยาศาสตร์อาหารที่เคยทำางาน ในห้องวิจัยของ NASA มานานกว่า 34 ปี และเป็นผู้จัดการระบบ อาหารสำาหรับเที่ยวบินแรกสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) กล่าวว่า อาหารที่จะถูกส่งขึ้นไปกับนักบินอวกาศนั้น ต้องครบถ้วนทั้งด้าน ความปลอดภัยและโภชนาการ โดยมีเกณฑ์กำาหนดจาก Nasa ที่ เข้มงวดมากกว่าอาหารที่ขายทั่วไป เพราะในอวกาศเป็นสถานที่ ห่างไกลโรงพยาบาลและหมอมากที่สุด นักบินอวกาศจึงต้องปลอดภัย จากเชื้อโรคและสารปนเปื้อนให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องได้รับ สารอาหารที่เหมาะสมอย่างครอบคลุมตรงตามความต้องการของ ร่างกายของนักบินแต่ละบุคคล สำาหรับโครงการ Thai food - Mission to Space นั้น จากการที่ได้ไปดูงานวิจัยที่ห้องแล็บและวิธี การเลี้ยงดูแลไก่ของ CPF ตัวเธอรู้สึกประทับใจในมาตรฐานการผลิต เนื้อสัตว์ที่สูงมากของไทย ที่ทำาให้มั่นใจได้ว่าเนื้อไก่ ซีพี นั้นปลอด สารปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างและเชื้อโรคปนเปื้อนใด ที่จะสามารถพิชิตมาตรฐานอวกาศ ตรงตามมาตรฐานความปลอดภัย ในระดับที่ NASA กำาหนด และแน่นอนว่าอาหารไทยขึ้นชื่อเรื่อง ความอร่อยติดอันดับโลก หากมีการส่งไก่จากไทยในเมนูแบบไทยขึ้น ไปบนสถานีอวกาศเป็นครั้งแรกนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีของนักบิน อวกาศบนนั้นแน่นอน “ขอชื่นชมซีพีเอฟ ที่มีความพยายามในการสร้างความเชื่อมั่น มาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะขึ้นไปในอวกาศ ได้ และในฐานะนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารอวกาศ ก็ตื่นเต้นแทน นักบินที่จะได้ลิ้มลองรสชาติอาหารใหม่ๆ เช่น อาหารไทย” Vickie กล่าว ทั้งนี้ ซีพีเอฟได้รับมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยด้าน อาหารระดับนานาชาติสูงสุดถึง 6 มาตรฐาน โดยล่าสุด ยังเป็นบริษัท รายแรกในอาเซียนที่มีมาตรฐานการผลิตอาหารของตนเอง (CPF Food standard; PS 7818:2018) โดยการสนับสนุนจาก BSI หรือ สถาบันมาตรฐานอังกฤษ ซึงเป็นมาตรฐานที่เกิดจากการบูรณาการ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และ นายอาจวรงค์ จันทมาส นักสื่อสารวิทยาศาสตร์และพิธีกรรายการดัง “ใดๆ ในโลกล้วนฟิสิกส์” นายประสิทธิ์บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารซีพีเอฟ เปิดเผยว่าการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย สู่มาตรฐานอวกาศ ครั้งนี้ เกิดจากความเชื่อมั่นว่าเนื้อไก่ของซีพีเป็นหนึ่งในแบรนด์ เนื้อสัตว์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดแล้วในโลก จึงตั้งเป้าใหญ่ ที่จะพิชิตมาตรฐาน Space Food Safety Standard ให้เป็นอีกหนึ่ง ความภูมิใจของคนไทยในโครงการ Thai food - Mission to Space ซีพีเอฟ ตระหนักและให้ความสำาคัญของความปลอดภัยและ คุณภาพของอาหารอย่างที่สุด เมื่อได้พันธมิตรที่เชี่ยวชาญ อย่าง NANORACKS LLC และ MU Space มาร่วมดำาเนินโครงการ Thai food - Mission to Space ที่จะปฏิบัติภารกิจร่วมกับ “ศูนย์วิจัย ด้านอาหารอวกาศของสหรัฐ” จึงยิ่งมั่นใจว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะพิสูจน์ ว่าไก่ของประเทศไทยมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงถึงระดับอวกาศ ซึ่งจะต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพด้านอาหาร รวม ถึงการตรวจสารตกค้างและเชี้อโรคปนเปื้อนต่างๆ ตามข้อกำาหนด ของ NASA มากมายหลายสิบการตรวจสอบ จึงจะได้รับการอนุมัติ ให้นำาไก่ของเราขึ้นไปบนสถานีอวกาศได้ สิ่งนี้จะเป็นความภาคภูมิใจ ของคนไทยเพราะเป็นครั้งแรกที่อาหารจากประเทศไทยจะได้รับรอง มาตรฐานความปลอดภัยระดับนี้ นับเป็นการแสดงศักยภาพขั้นสูง ของนวัตกรรมเทคโนโลยีและความปลอดภัยการผลิตเนื้อไก่ของไทย และที่สำาคัญคือการยืนยันว่าคนไทยทุกคนได้กินไก่ปลอดภัยในระดับ เดียวกับที่องค์กรระดับโลกยอมรับ ด้าน Mr. Michael James Massimino อดีตนักบินอวกาศ NASA ร่วมบอกเล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในสภาวะไร้น้ำาหนัก และ กล่าวว่า อาหารที่นักบินอวกาศต้องรับประทานนั้น ความปลอดภัย ไร้สารตกค้างเป็นสิ่งสำาคัญที่สุดเพราะจะส่งผลต่อสุขภาพนักบินอวกาศ ในระยะยาว และสารอาหารที่เหมาะสมก็มีผลอย่างมากต่อมวลกระดูก LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


34 สัตว์เศรษฐกิจ และกล้ามเนื้อของนักบินแต่ละคน ดังนั้นอาหารหมวดโปรตีนจึงต้อง มีการจัดเตรียมเป็นพิเศษ และที่ผ่านมาอาหารส่วนใหญ่จะออกมาใน รูปแบบอาหารแห้ง (dehydrate food) ที่ต้องเติมน้ำาบนนั้น หรือ แบบพร้อมทาน (ready-to-eat) ด้วยเทคโนโลยีรีทอร์ต (Retort) ที่ สามารถแกะกินได้ทันที แต่สิ่งที่ต่างกับขณะอยู่บนพื้นโลก คือ ลักษณะ ของอาหารและซอสต่างๆ จะมีความข้นเหนียว เพื่อให้มันติดกับช้อน ให้คุณกินได้สะดวก หรือกินจากแพ็คเกจเลย และอีกสิ่งที่แตกต่าง คือ เรื่องประสาทสัมผัสการรับรสและกลิ่นของอาหารที่ลดลง ทำาให้ เรารับรู้รสชาติอาหารได้น้อยลง อาหารประเภท สไปซี่ฟู้ดจึงเป็นที่ นิยมในหมู่นักบิน “Thaifood Mission to Space เป็นโครงการที่ดีซึ่งไม่เพียง แต่นักบินอวกาศจะได้บริโภคอาหารที่หลากหลายและปลอดภัย ยัง เป็นการยกระดับความปลอดภัยทางอาหารแก่ผู้บริโภคทั่วโลก และ เป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่เนื้อไก่ของไทยด้วย” Michael กล่าว ส่วน Miss Vickie Kloeris นักวิทยาศาสตร์อาหารที่เคยทำางาน ในห้องวิจัยของ NASA มานานกว่า 34 ปี และเป็นผู้จัดการระบบ อาหารสำาหรับเที่ยวบินแรกสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) กล่าวว่า อาหารที่จะถูกส่งขึ้นไปกับนักบินอวกาศนั้น ต้องครบถ้วนทั้งด้าน ความปลอดภัยและโภชนาการ โดยมีเกณฑ์กำาหนดจาก Nasa ที่ เข้มงวดมากกว่าอาหารที่ขายทั่วไป เพราะในอวกาศเป็นสถานที่ ห่างไกลโรงพยาบาลและหมอมากที่สุด นักบินอวกาศจึงต้องปลอดภัย จากเชื้อโรคและสารปนเปื้อนให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องได้รับ สารอาหารที่เหมาะสมอย่างครอบคลุมตรงตามความต้องการของ ร่างกายของนักบินแต่ละบุคคล สำาหรับโครงการ Thai food - Mission to Space นั้น จากการที่ได้ไปดูงานวิจัยที่ห้องแล็บและวิธี การเลี้ยงดูแลไก่ของ CPF ตัวเธอรู้สึกประทับใจในมาตรฐานการผลิต เนื้อสัตว์ที่สูงมากของไทย ที่ทำาให้มั่นใจได้ว่าเนื้อไก่ ซีพี นั้นปลอด สารปลอดภัยจากยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างและเชื้อโรคปนเปื้อนใด ที่จะสามารถพิชิตมาตรฐานอวกาศ ตรงตามมาตรฐานความปลอดภัย ในระดับที่ NASA กำาหนด และแน่นอนว่าอาหารไทยขึ้นชื่อเรื่อง ความอร่อยติดอันดับโลก หากมีการส่งไก่จากไทยในเมนูแบบไทยขึ้น ไปบนสถานีอวกาศเป็นครั้งแรกนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีของนักบิน อวกาศบนนั้นแน่นอน “ขอชื่นชมซีพีเอฟ ที่มีความพยายามในการสร้างความเชื่อมั่น มาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะขึ้นไปในอวกาศ ได้ และในฐานะนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารอวกาศ ก็ตื่นเต้นแทน นักบินที่จะได้ลิ้มลองรสชาติอาหารใหม่ๆ เช่น อาหารไทย” Vickie กล่าว ทั้งนี้ ซีพีเอฟได้รับมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยด้าน อาหารระดับนานาชาติสูงสุดถึง 6 มาตรฐาน โดยล่าสุด ยังเป็นบริษัท รายแรกในอาเซียนที่มีมาตรฐานการผลิตอาหารของตนเอง (CPF Food standard; PS 7818:2018) โดยการสนับสนุนจาก BSI หรือ สถาบันมาตรฐานอังกฤษ ซึงเป็นมาตรฐานที่เกิดจากการบูรณาการ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และ นายอาจวรงค์ จันทมาส นักสื่อสารวิทยาศาสตร์และพิธีกรรายการดัง “ใดๆ ในโลกล้วนฟิสิกส์” นายประสิทธิ์บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารซีพีเอฟ เปิดเผยว่าการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย สู่มาตรฐานอวกาศ ครั้งนี้ เกิดจากความเชื่อมั่นว่าเนื้อไก่ของซีพีเป็นหนึ่งในแบรนด์ เนื้อสัตว์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดแล้วในโลก จึงตั้งเป้าใหญ่ ที่จะพิชิตมาตรฐาน Space Food Safety Standard ให้เป็นอีกหนึ่ง ความภูมิใจของคนไทยในโครงการ Thai food - Mission to Space ซีพีเอฟ ตระหนักและให้ความสำาคัญของความปลอดภัยและ คุณภาพของอาหารอย่างที่สุด เมื่อได้พันธมิตรที่เชี่ยวชาญ อย่าง NANORACKS LLC และ MU Space มาร่วมดำาเนินโครงการ Thai food - Mission to Space ที่จะปฏิบัติภารกิจร่วมกับ “ศูนย์วิจัย ด้านอาหารอวกาศของสหรัฐ” จึงยิ่งมั่นใจว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะพิสูจน์ ว่าไก่ของประเทศไทยมีมาตรฐานความปลอดภัยสูงถึงระดับอวกาศ ซึ่งจะต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพด้านอาหาร รวม ถึงการตรวจสารตกค้างและเชี้อโรคปนเปื้อนต่างๆ ตามข้อกำาหนด ของ NASA มากมายหลายสิบการตรวจสอบ จึงจะได้รับการอนุมัติ ให้นำาไก่ของเราขึ้นไปบนสถานีอวกาศได้ สิ่งนี้จะเป็นความภาคภูมิใจ ของคนไทยเพราะเป็นครั้งแรกที่อาหารจากประเทศไทยจะได้รับรอง มาตรฐานความปลอดภัยระดับนี้ นับเป็นการแสดงศักยภาพขั้นสูง ของนวัตกรรมเทคโนโลยีและความปลอดภัยการผลิตเนื้อไก่ของไทย และที่สำาคัญคือการยืนยันว่าคนไทยทุกคนได้กินไก่ปลอดภัยในระดับ เดียวกับที่องค์กรระดับโลกยอมรับ ด้าน Mr. Michael James Massimino อดีตนักบินอวกาศ NASA ร่วมบอกเล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในสภาวะไร้น้ำาหนัก และ กล่าวว่า อาหารที่นักบินอวกาศต้องรับประทานนั้น ความปลอดภัย ไร้สารตกค้างเป็นสิ่งสำาคัญที่สุดเพราะจะส่งผลต่อสุขภาพนักบินอวกาศ ในระยะยาว และสารอาหารที่เหมาะสมก็มีผลอย่างมากต่อมวลกระดูก LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE สัตว์เศรษฐกิจ 35 ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์ มาตรฐานสากลหลายๆ มาตรฐานเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย HACCP (CODEX), ISO 9001, ISO 22000 รวมถึง กฎระเบียบภายใน และต่างประเทศ ตลอดจนมาตรฐานความปลอดภัยอาหารของสมาคม ผู้ค้าปลีกแห่งอังกฤษ (BRC) การปฏิบัติทางสุขลักษณะที่ดี (GHP) ระบบการจัดการสวัสดิภาพสัตว์เพื่อส่งออก และสามารถตรวจสอบ ย้อนกลับตลอดห่วงโซ่การผลิตได้ 100% ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ขณะที่มาตรฐานอวกาศ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจเชื้อโรค สาร ตกค้าง ความปลอดภัย และคุณภาพด้านอาหารต่างๆ ตามหลัก เกณฑ์ของ Space Food Lab อีกถึงมากกว่า 40 การตรวจสอบ ขณะที่สัตวแพทย์ ย้ำา ไก่ไทย ไร้สาร ปราศจากฮอร์โมน ผลิต ตามมาตรฐานสากล เป็นหลักประกันคุณภาพและความปลอดภัยด้าน อาหาร ต่อยอดสู่นวัตกรรมอาหารมาตรฐานอวกาศ สร้างความภาค ภูมิใจให้กับคนไทย ผศ.น.สพ.ดร.เกรียงไกร วิฑูรย์เสถียร อาจารย์ประจำา ภาค วิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กล่าวว่า เนื้อไก่ เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี มีโปรตีนสูง หาซื้อรับประทานได้ง่าย ราคาต่อกิโลกรัมถูกกว่าเนื้อ สุกรและปลา เป็นอาหารที่เหมาะสำาหรับทุกวัย ปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกสัตว์ปีกไปยังต่างประเทศติด อันดับท็อป 5 ของโลก เป็นเครื่องยืนยันว่าต่างประเทศยอมรับใน ระบบ มาตรฐาน และความปลอดภัยของการเลี้ยงและการผลิตสัตว์ ปีกของไทย ด้วยมาตรฐานระดับสากล อยู่ภายใต้การควบคุมและ กำากับดูแลของกรมปศุสัตว์ สร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและความ ปลอดภัยของสินค้า ผู้บริโภคจึงสามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัย ด้านอาหาร ทั้งนี้ บริษัทผู้ผลิตและส่งออกไก่ชั้นนำาของประเทศไทย มีการ พัฒนาเทคโนโลยีการเลี้ยงมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ และส่วนผสมคุณภาพดีเพื่อใช้ผลิตอาหารให้ตรงกับความต้องการของ สัตว์แต่ละช่วงวัย พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีช่วยติดตามและตรวจสอบ พฤติกรรมของสัตว์ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นการป้องกันโรคและตรวจ เช็คสุขภาพสัตว์ เพื่อให้ได้เนื้อสัตว์คุณภาพดีส่งต่อไปยังกระบวนการ ผลิตที่ทันสมัย ที่มีการลดสัมผัสจากมนุษย์และลดการสูญเสียมากที่สุด สร้างหลักประกันอาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภคบนภาคพื้นโลก ต่อยอดเป็นนวัตกรรมอาหารสู่อวกาศ ล่าสุด ผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อไก่ของไทยบางรายการ ได้รับ การพิจารณาให้เป็นอาหารสำาหรับนักบินอวกาศที่ขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่ บนสถานีอวกาศขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐฯ หรือ องค์การนาซา (NASA) สร้างความภาคภูมิใจให้กับ คนไทย ที่ผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อไก่ไทยโชว์ศักยภาพก้าวสู่ นวัตกรรมอาหารระดับอวกาศ สำาหรับภาคอุตสาหกรรมสัตว์ปีกของไทยใช้ระบบการเลี้ยง ภายใต้หลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) จัดเป็นแนวทางปฏิบัติสำาหรับเกษตรกรผู้เลี้ยง ให้มีการเลี้ยง ที่ดี ปราศจากโรค ตลอดจนกระบวนการผลิตต้องปลอดภัยต่อ เกษตรกรและผู้บริโภค ปราศจากการปนเปื้อนของสารเคมี และใช้ ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้ง ไก่เนื้อ หรือไก่ไข่ หากปฏิบัติ ตามแนวทางดังกล่าว จะทำาให้ไก่มีสุขภาพที่ดีส่งต่อมายังผู้บริโภค ผู้บริโภคก็จะได้รับประทานอาหารและผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ ปลอดภัย ปลอดโรค ปัจจุบัน องค์ความรู้ เทคโนโลยี และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการเผยแพร่ข้อมูลและข้อเท็จจริง รวมถึงการเข้าถึงสื่อและ แหล่งข้อมูลที่มากขึ้น ทำาให้ผู้เลี้ยงมีความรู้และความเข้าใจ นำา เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเลี้ยง โดยเฉพาะการปรับปรุงสายพันธุ์ และการดูแลสุขภาพของสัตว์ จึงทำาให้ปัจจุบันการเลี้ยงไก่ใช้เวลา น้อยลง และมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นตามสายพันธุ์ จึงไม่มีความ จำาเป็นต้องใช้ฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโต ที่สำาคัญการใช้ฮอร์โมน เป็นการกระทำาที่ผิดกฎหมาย ใช้ควบคุมกำากับดูแลผู้ประกอบการ จึงมั่นใจได้ว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ไทยไม่มีการใช้ฮอร์โมน แล้ว ผศ.น.สพ.ดร.เกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมต่อข้อสงสัยที่ว่า บริเวณ คอไก่ ปีกไก่ หัวไก่ มีสารพิษสะสมหรือเชื้อโรคตกค้างที่อาจทำาให้ เกิดอันตรายต่อร่างกายนั้น ขอยืนยันว่า ไม่มีโอกาสที่สารพิษจะ ตกค้างในชิ้นส่วนของสัตว์ปีกในอุตสาหกรรม ด้วยมาตรฐานการผลิต ที่สูง ตั้งแต่ต้นทางที่ฟาร์ม ตลอดจนขั้นตอนเข้าสู่โรงเชือด หรือ โรงงานแปรรูป อยู่ภายใต้มาตรฐานของโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งมีการสุ่มเก็บ ตัวอย่างชิ้นเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณ คอ หัว ปีก หรือ ส่วนต่างๆ ของสัตว์ปีก ส่งห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาสารพิษ ซึ่งไก่ที่ปราศจาก สารพิษเท่านั้น ที่จะเข้าสู่ขั้นตอนของการชำาแหละ การแปรรูป จน มาถึงผู้บริโภค ฉะนั้นในทุกขั้นตอนของสายการผลิต (Food Chain) ของสัตว์ปีก ตั้งแต่ต้นน้ำา กลางน้ำา ปลายน้ำา จนเสริ์ฟสู่โต๊ะอาหาร ให้กับผู้บริโภค มีการตรวจสอบทุกขั้นตอน ทำาให้มั่นใจได้ว่าไก่ทุก ชิ้นส่วน ปราศจากเชื้อโรค และสารพิษอย่างแน่นอน...


36 สัตวเศรษฐกิจ Egg Board รับทราบสถานการณ์ไก่ไข่ปัจจุบัน และการดำาเนิน มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ รายใหญ่ผลักดันการส่งออก หรือปลดไก่ไข่ยืนกรงก่อนกำาหนด จำานวน 65 ล้านฟอง นายอภัย สุท¸ิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกร³์ เป็น ประ¸านการประชุมค³ะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภั³±์ (Egg Board) ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ไก่ไข่ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พ.ค. 66) โดยการเลี้ยงปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ (GP) ปี 2566 มีแผนการเลี้ยง จำานวน 3,800 ตัว นำาเข้าเลี้ยงแล้ว 1,970 ตัว (50.90%) การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ (PS) ปี 2566 มีแผนการเลี้ยง จำานวน 440,000 ตัว นำาเข้าเลี้ยงแล้ว 147,746 ตัว (33.58%) จำานวนไก่ไข่ยืนกรงปัจจุบัน 52.08 ล้านตัว ประมาณการผลผลิต 43.21 ล้านฟองต่อวัน การส่งออกไข่ไก่สด ปี 2566 (ม.ค. - เม.ย.) จำานวน 163.53 ล้านฟอง มูลค่า 718.96 ล้านบาท ปริมาณและ มูลค่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 179.97 และ 229.98 ตามลำาดับ โดยส่งออกไปสิงคโปร์ คิดเป็นร้อยละ 66 รองลงมา คือ Î่องกง ร้อยละ 19 (ข้อมูลกรมศุลกากร) ในส่วน เอกบอรด… เดินหนารักษาเสถียรภาพราคาไขไก ราคา ปี 2566 (ข้อมูล ณ วันที่ 14 มิ.ย. 66) ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม ฟองละ 4.00 บาท (ข้อมูล โดยกรมการค้าภายใน) ลูกไก่ไข่ตัวละ 28 บาท ไก่ไข่รุ่นตัวละ 175 บาท (ข้อมูล โดย บมจ.ซีพีเอฟ) ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ในไตรมาส 1/2566 เ©ลี่ยฟองละ 3.67 บาท โดยคาดการณ์ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ในไตรมาส 2/2566 เ©ลี่ยฟองละ 3.70 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนไตรมาส 2/2565 พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.46 เนื่องจากค่าพันธุ์สัตว์ ราคา อาหารสัตว์ วัคซีน ยาป้องกันโรค ค่าน้ำา และค่าไฟปรับตัวสูงขึ้น สำาหรับในปี 2566 มีการดำาเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคา ไข่ไก่ของกรมปศุสัตว์ โดยได้มีการจัดประชุมหารือเพื่อติดตาม สถานการณ์การผลิตไข่ไก่ภายในประเทศ โดยเชิญผู้แทนจาก 4 สมาคมไก่ไข่ 4 สหกรณ์ไก่ไข่ ผู้ประกอบการไก่ไข่พันธุ์ 16 บริษัท และผู้แทนจากสำานักงานปศุสัตว์เขต 1-9 พิจารณากำาหนดมาตรการ ร่วมกัน และกำาหนดมาตรการในปัจจุบัน ได้แก่ 1) มาตรการขอ ความร่วมมือผู้เลี้ยงไก่ไข่ปลดไก่ไข่ตามอายุที่เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยผู้เลี้ยงไก่ไข่ทุกราย ปลดไก่ไข่ยืนกรงที่อายุไม่เกิน 80 สัปดาห์ ยกเว้นรายย่อยที่เลี้ยงต่ำากว่า 30,000 ตัว ที่ไม่ใช่ฟาร์มในระบบ เกษตรพันธสัญญาของผู้ประกอบการรายใหญ่ และผู้เลี้ยงไก่ไข่ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


36 สัตวเศรษฐกิจ Egg Board รับทราบสถานการณ์ไก่ไข่ปัจจุบัน และการดำาเนิน มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาไข่ไก่ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ รายใหญ่ผลักดันการส่งออก หรือปลดไก่ไข่ยืนกรงก่อนกำาหนด จำานวน 65 ล้านฟอง นายอภัย สุท¸ิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกร³์ เป็น ประ¸านการประชุมค³ะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภั³±์ (Egg Board) ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ไก่ไข่ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พ.ค. 66) โดยการเลี้ยงปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ (GP) ปี 2566 มีแผนการเลี้ยง จำานวน 3,800 ตัว นำาเข้าเลี้ยงแล้ว 1,970 ตัว (50.90%) การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ (PS) ปี 2566 มีแผนการเลี้ยง จำานวน 440,000 ตัว นำาเข้าเลี้ยงแล้ว 147,746 ตัว (33.58%) จำานวนไก่ไข่ยืนกรงปัจจุบัน 52.08 ล้านตัว ประมาณการผลผลิต 43.21 ล้านฟองต่อวัน การส่งออกไข่ไก่สด ปี 2566 (ม.ค. - เม.ย.) จำานวน 163.53 ล้านฟอง มูลค่า 718.96 ล้านบาท ปริมาณและ มูลค่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 179.97 และ 229.98 ตามลำาดับ โดยส่งออกไปสิงคโปร์ คิดเป็นร้อยละ 66 รองลงมา คือ Î่องกง ร้อยละ 19 (ข้อมูลกรมศุลกากร) ในส่วน เอกบอรด… เดินหนารักษาเสถียรภาพราคาไขไก ราคา ปี 2566 (ข้อมูล ณ วันที่ 14 มิ.ย. 66) ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม ฟองละ 4.00 บาท (ข้อมูล โดยกรมการค้าภายใน) ลูกไก่ไข่ตัวละ 28 บาท ไก่ไข่รุ่นตัวละ 175 บาท (ข้อมูล โดย บมจ.ซีพีเอฟ) ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ในไตรมาส 1/2566 เ©ลี่ยฟองละ 3.67 บาท โดยคาดการณ์ต้นทุนการผลิตไข่ไก่ในไตรมาส 2/2566 เ©ลี่ยฟองละ 3.70 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนไตรมาส 2/2565 พบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.46 เนื่องจากค่าพันธุ์สัตว์ ราคา อาหารสัตว์ วัคซีน ยาป้องกันโรค ค่าน้ำา และค่าไฟปรับตัวสูงขึ้น สำาหรับในปี 2566 มีการดำาเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคา ไข่ไก่ของกรมปศุสัตว์ โดยได้มีการจัดประชุมหารือเพื่อติดตาม สถานการณ์การผลิตไข่ไก่ภายในประเทศ โดยเชิญผู้แทนจาก 4 สมาคมไก่ไข่ 4 สหกรณ์ไก่ไข่ ผู้ประกอบการไก่ไข่พันธุ์ 16 บริษัท และผู้แทนจากสำานักงานปศุสัตว์เขต 1-9 พิจารณากำาหนดมาตรการ ร่วมกัน และกำาหนดมาตรการในปัจจุบัน ได้แก่ 1) มาตรการขอ ความร่วมมือผู้เลี้ยงไก่ไข่ปลดไก่ไข่ตามอายุที่เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยผู้เลี้ยงไก่ไข่ทุกราย ปลดไก่ไข่ยืนกรงที่อายุไม่เกิน 80 สัปดาห์ ยกเว้นรายย่อยที่เลี้ยงต่ำากว่า 30,000 ตัว ที่ไม่ใช่ฟาร์มในระบบ เกษตรพันธสัญญาของผู้ประกอบการรายใหญ่ และผู้เลี้ยงไก่ไข่ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE สัตว์เศรษฐกิจ 37 (ปลายข้าว และมันเส้น) และปลาป่น ผลการดำาเนินงานของกองทุน พัฒนาอุตสาหกรรมไก่ไข่ การกำาหนดมาตรการสำาหรับฟาร์มไก่ไข่ที่ ปลดไก่ไข่ยืนกรงเกินอายุที่เหมาะสม รวมถึงได้มีการพิจารณาคัดเลือก ผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) เป็นต้น ด้าน นายมงคล พิพัฒสัตยานุวงศ์ นายกสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และส่งออกไข่ไก่ เปิดเผยถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้ต้นทุนการผลิต ไข่ไก่สูงขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ฟองละ 3.75 บาท ขณะที่ราคาขายไข่ไก่ คละหน้าฟาร์มปรับได้เพียงเล็กน้อย โดยปัจจุบันเพิ่มปรับมาเป็น ฟองละ 4.00 บาท หลังจากขายเพียงฟองละ 3.80 บาทมาหลาย สัปดาห์ ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ประสบภาวะขาดทุนจนทยอย เลิกเลี้ยงไปหลายราย ทั้งนี้ ปัจจัยสำาคัญคือวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งมีราคาพุ่งขึ้นอย่าง มากและต่อเนื่องมาตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำาให้วัตถุดิบ ขาดแคลนและการขนส่งยากลำาบาก จนถึงขณะนี้ราคาข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และธัญพืชอื่นๆ ยังอยู่ในเกณฑ์สูง โดย วัตถุดิบอาหารสัตว์นี้ถือเป็นต้นทุนหลักราว 60-70% ของต้นทุน ทั้งหมดทีเดียว ปัจจัยต่อมาได้แก่สภาวะเอลนีโญ หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพ อากาศที่กำาลังส่งผลต่อธัญพืชต่างๆ ทั่วโลก ส่งผลให้ปริมาณผลผลิต ลดลง เกิดการแย่งชิงทรัพยากรกันมากขึ้น และสะท้อนให้เห็น แนวโน้มราคาพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ในอนาคตที่จะอยู่ในเกณฑ์สูง ต่อเนื่องไปตลอดทั้งปีแน่นอน ขณะเดียวกัน ต้นทุนค่าไฟฟ้าก็สูงขึ้นมากจากอัตราค่าไฟที่ สูงขึ้น ยิ่งในช่วงที่ผ่านมาอากาศร้อนอบอ้าวต้องใช้ไฟฟ้าในการเปิด พัดลมระบายความร้อนมากขึ้น ทำาให้ปัจจัยข้อนี้เป็นอีกส่วนสำาคัญ ที่ดันต้นทุนการผลิตไข่ไก่ให้สูงขึ้นไม่น้อย รวมถึง ค่าจ้างแรงงาน ที่ขยับขึ้นจากการหาแรงงานยากขึ้นด้วย “ปัจจัยทั้งหมดทำาให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่อยู่อย่างยากลำาบาก ราคาประกาศไข่คละที่ 3.80 บาท ก็ตอนที่ขายจริงก็ไม่ใช่ว่าจะขาย ทุกฟองได้ในราคาประกาศ จึงกลายเป็นขาดทุนสะสมให้เกษตรกร ทยอยเลิกเลี้ยงไป ทางที่ดีควรปล่อยให้กลไกตลาดทำางาน เมื่อราคา ไข่ไก่ขยับตามอุปสงค์อุปทานที่เกิดขึ้นจะทำาให้ทั้งเกษตรกรและ ผู้บริโภคได้ซื้อ-ขายไข่ไก่ในระดับราคาที่สมดุลเอง” นายมงคลกล่าว สำาหรับ โครงการเชื่อมโยงอาหารสัตว์ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ปี 2566 ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย คนละไม่เกิน 10,000 บาท ที่กรมการค้าภายในดำาเนินการเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ใน ช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 เป็นเวลา 1 เดือนให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยง ไก่ไข่ที่เลี้ยงไก่ไม่เกิน 1 แสนตัวนั้น มองว่ายังไม่สามารถช่วยเหลือ เกษตรกรได้ในวงกว้าง ขอเสนอให้ภาครัฐแก้ปัญหาราคาวัตถุดิบตั้งแต่ ต้นทางโดยตรงจะช่วยเกษตรกรได้ในตรงประเด็นและเกิดประโยชน์ต่อ เกษตรกรในวงกว้างมากกว่า. รายใหญ่ขนาดการเลี้ยงตั้งแต่ 100,000 ตัว ขึ้นไป ปลดไก่ไข่ยืนกรง ไม่ให้อายุเกิน 78 สัปดาห์ จนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2566 2) มาตรการ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการรายใหญ่ ผลักดันการส่งออกหรือปลด ไก่ไข่ยืนกรงก่อนกำาหนด ระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายน 2566 จำานวน 65 ล้านฟอง นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการรับทราบผลการส่งออกตลาด ไข่ไก่สดไปไต้หวัน ซึ่งปัจจุบันมีการส่งออกไข่ไก่สดไปได้หวันแล้ว จำานวน 20,828,229 ฟอง (ข้อมูล ณ วันที่ 12 มิ.ย. 66) และ คาดการณ์ปี 2566 จะมีปริมาณการส่งออกไข่ไก่สดจากประเทศไทย ไปไต้หวันได้มากกว่า 50 ล้านฟอง มูลค่ากว่า 230 ล้านบาท ซึ่ง จะเป็นการสร้างตลาดใหม่ และสร้างเสถียรภาพด้านราคาที่เกษตรกร จำาหน่าย ในประเทศได้ โดยผลสำาเร็จจาการเปิดตลาดและส่งออกไข่ไก่ สดครั้งนี้ มาจากความเชื่อมั่นสินค้าเกษตร และอาหารไทยที่กรม ปศุสัตว์กำากับดูแลการผลิตสินค้าปศุสัตว์ตลอดห่วงโซ่การผลิตให้ได้ คุณภาพมาตรฐาน เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคด้านการปลอดภัย อาหาร ตั้งแต่แหล่งที่มาของสัตว์จากฟาร์มมาตรฐาน GAP จนถึง ศูนย์รวบรวมและแปรรูปสินค้าปศุสัตว์ ที่ได้มาตรฐาน GMP และ HACCP สอดคล้องตามข้อกำาหนดกฎหมายไทย ระเบียบของคู่ค้า และหลักสากล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประชุม ยังได้ติดตามสถานการณ์วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สำาคัญ ได้แก่ ข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี กากถั่วเหลืองนำาเข้า ราคาวัตถุดิบทดแทน ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์


38 สัตวเศรษฐกิจ ที่ผ่านมา ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากหลายปัจจัยทั้ง กำาลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ จึงต้องพึ่งพา การนำาเข้า แต่จากภาวะภัยแล้งกระทบแหล่งผลิตธัญพืชที่สำาคัญ ทั่วโลก ตามด้วยการเกิดสงครามในประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ รายใหญ่ รวมถึงข้อกำาหนดต่างๆ จากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์และผลิต ปศุสัตว์สูงขึ้น จึงเป็นโจทย์สำาคัญของปศุสัตว์ไทยที่ต้องปรับตัวและ พัฒนา เพื่อผลิตอาหารสัตว์ตอบโจทย์ความต้องการในอนาคต อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ไทย ถือเป็นต้นทางของอุตสาหกรรม ปศุสัตว์ จึงต้องผลิตให้มีคุณภาพ ปลอดภัย และสอดคล้องกับข้อ กำาหนดต่างๆ โดยห่วงโซ่การผลิตอาหารสัตว์ไทยมีวัตถุดิบอาหารสัตว์ หลักบางชนิดไม่เพียงพอกับความต้องการ จำาเป็นต้องพึ่งพาการ นำาเข้าจากต่างประเทศ เริ่มจาก ข้าวโพด ถือเป็นวัตถุดิบพลังงาน ที่สำาคัญในการผลิตอาหารสัตว์ และมีความจำาเป็นต้องใช้ในสูตรอาหาร แต่ก็มีวัตถุดิบชนิดอื่นที่ทดแทนได้ ซึ่งไทยมีความต้องการวัตถุดิบ พลังงานประมาณ 12-13 ล้านตัน อาหารสำาเร็จรูปผลิตประมาณ 20 ล้านตัน ที่เหลือเป็นวัตถุดิบโปรตีนและอื่นๆ โดย 12 ล้านตัน มาจากข้าวโพดที่ผลิตในประเทศประมาณ 5 ล้านตัน เหลืออีก 7 ล้านตัน มีข้าวโพดจากชายแดนนำาเข้ามา ประมาณ 1.5 ล้านตัน มีนำาเข้าข้าวสาลีที่ผ่านมามีนำาเข้าประมาณ 1.5 ล้านตัน เหลืออีก 4 ล้านตัน มีการนำาเข้าข้าวบาร์เลย์เข้ามาอีก ประมาณ 7 แสนตัน ซึ่งยังไม่มีมาตรการกำากับดูแล แต่เป็นสินค้า ควบคุมที่ต้องรายงาน ที่เหลือ ก็มี DDGs ที่มีการนำาเข้าลดลง เพราะ มีปัญหาแมลง นำาเข้าจากอเมริกาเกือบทั้งหมด มองไปขางหนา… มองไปขางหนา… อาหารสัตวไทย อาหารสัตวไทย ที่เหลือก็เป็นปลายข้าว จากการคำานวณประเมินว่า 2 ล้านตัน มันเส้น 1 ล้านตัน ซึ่งมาจากหัวมันประมาณ 30 ล้านตัน นำาไปใช้ ผลิตเอทานอล เข้าโรงงานแป้ง และส่งออก แต่สิ่งเหล่านี้ก็มีข้อจำากัด ในการใช้ เช่น มันเส้นก็มีความเสี่ยงจากสารพิษจากเชื้อราหรือ ไซยาไนด์ หากไม่แห้งจริง และยังมีปัญหาการปนเปื้อนวัตถุอื่นๆ ส่วน ปลายข้าวก็มาจากโรงสีข้าว จากข้าวเปลือก 30 ล้านตัน ผ่าน กระบวนการสี เหลือเป็นปลายข้าวประมาณ 2-3 ล้านตัน เหลือเป็น อาหารสัตว์ประมาณ 2 ล้านตัน ก่อนหน้านี้ ไม่มีการนำาเข้าข้าวโพด จากประเทศเพื่อนบ้านอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เกินล้านตัน ซึ่งมีการประมูล ข้าวออกมาทำาอาหารสัตว์ ดังนั้น พืชกลุ่มพลังงานยังจำาเป็นต้องนำาเข้า แม้มีการนำาเข้า ข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านลดลง จึงมีแนวโน้มว่า ความมั่นคง ของวัตถุดิบพลังงานในอาหารสัตว์ และยังมีปัญหาสงครามที่กระทบ การนำาเข้าข้าวสาลี ก็ต้องหาแหล่งอื่นมาทดแทนทั้ง ออสเตรเลีย และ อินเดีย และจากการที่วัตถุดิบพลังงานในอาหารสัตว์ขาดอยู่ประมาณ 3 ล้านตัน ปัญหาสงครามก็ทำาให้ราคาข้าวสาลีขึ้น เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบ การต้องช่วยกันหาทางออกว่า จะทำาอย่างไร เพื่อลดต้นทุนอาหาร สัตว์ ก็ต้องมองหาสิ่งที่ยังพอจัดการได้ภายใต้ต้นทุนที่ไม่กระทบมาก จึงถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนต้องคุยกันทั้ง ผู้นำาเข้า ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ผู้เลี้ยง เพราะราคาวัตถุดิบยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องเกือบทุกตัว ถือเป็นวิกÄตที่ต้องช่วยกันหาทางออก ร่วมกับภาครัฐ ด้านวัตถุดิบโปรตีน ไทยก็มีปัญหาการผลิตเช่นกัน มีความ ต้องการใช้ประมาณ 6 ล้านตัน เริ่มจากปลาป่น ที่เป็นสินค้าพิเศษ ที่มีการกำากับดูแล การนำาเข้าต้องเป็นชั้น 1 เท่านั้น ตามกฎหมาย LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


38 สัตวเศรษฐกิจ ที่ผ่านมา ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากหลายปัจจัยทั้ง กำาลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอ จึงต้องพึ่งพา การนำาเข้า แต่จากภาวะภัยแล้งกระทบแหล่งผลิตธัญพืชที่สำาคัญ ทั่วโลก ตามด้วยการเกิดสงครามในประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ รายใหญ่ รวมถึงข้อกำาหนดต่างๆ จากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์และผลิต ปศุสัตว์สูงขึ้น จึงเป็นโจทย์สำาคัญของปศุสัตว์ไทยที่ต้องปรับตัวและ พัฒนา เพื่อผลิตอาหารสัตว์ตอบโจทย์ความต้องการในอนาคต อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ไทย ถือเป็นต้นทางของอุตสาหกรรม ปศุสัตว์ จึงต้องผลิตให้มีคุณภาพ ปลอดภัย และสอดคล้องกับข้อ กำาหนดต่างๆ โดยห่วงโซ่การผลิตอาหารสัตว์ไทยมีวัตถุดิบอาหารสัตว์ หลักบางชนิดไม่เพียงพอกับความต้องการ จำาเป็นต้องพึ่งพาการ นำาเข้าจากต่างประเทศ เริ่มจาก ข้าวโพด ถือเป็นวัตถุดิบพลังงาน ที่สำาคัญในการผลิตอาหารสัตว์ และมีความจำาเป็นต้องใช้ในสูตรอาหาร แต่ก็มีวัตถุดิบชนิดอื่นที่ทดแทนได้ ซึ่งไทยมีความต้องการวัตถุดิบ พลังงานประมาณ 12-13 ล้านตัน อาหารสำาเร็จรูปผลิตประมาณ 20 ล้านตัน ที่เหลือเป็นวัตถุดิบโปรตีนและอื่นๆ โดย 12 ล้านตัน มาจากข้าวโพดที่ผลิตในประเทศประมาณ 5 ล้านตัน เหลืออีก 7 ล้านตัน มีข้าวโพดจากชายแดนนำาเข้ามา ประมาณ 1.5 ล้านตัน มีนำาเข้าข้าวสาลีที่ผ่านมามีนำาเข้าประมาณ 1.5 ล้านตัน เหลืออีก 4 ล้านตัน มีการนำาเข้าข้าวบาร์เลย์เข้ามาอีก ประมาณ 7 แสนตัน ซึ่งยังไม่มีมาตรการกำากับดูแล แต่เป็นสินค้า ควบคุมที่ต้องรายงาน ที่เหลือ ก็มี DDGs ที่มีการนำาเข้าลดลง เพราะ มีปัญหาแมลง นำาเข้าจากอเมริกาเกือบทั้งหมด มองไปขางหนา… มองไปขางหนา… อาหารสัตวไทย อาหารสัตวไทย ที่เหลือก็เป็นปลายข้าว จากการคำานวณประเมินว่า 2 ล้านตัน มันเส้น 1 ล้านตัน ซึ่งมาจากหัวมันประมาณ 30 ล้านตัน นำาไปใช้ ผลิตเอทานอล เข้าโรงงานแป้ง และส่งออก แต่สิ่งเหล่านี้ก็มีข้อจำากัด ในการใช้ เช่น มันเส้นก็มีความเสี่ยงจากสารพิษจากเชื้อราหรือ ไซยาไนด์ หากไม่แห้งจริง และยังมีปัญหาการปนเปื้อนวัตถุอื่นๆ ส่วน ปลายข้าวก็มาจากโรงสีข้าว จากข้าวเปลือก 30 ล้านตัน ผ่าน กระบวนการสี เหลือเป็นปลายข้าวประมาณ 2-3 ล้านตัน เหลือเป็น อาหารสัตว์ประมาณ 2 ล้านตัน ก่อนหน้านี้ ไม่มีการนำาเข้าข้าวโพด จากประเทศเพื่อนบ้านอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เกินล้านตัน ซึ่งมีการประมูล ข้าวออกมาทำาอาหารสัตว์ ดังนั้น พืชกลุ่มพลังงานยังจำาเป็นต้องนำาเข้า แม้มีการนำาเข้า ข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านลดลง จึงมีแนวโน้มว่า ความมั่นคง ของวัตถุดิบพลังงานในอาหารสัตว์ และยังมีปัญหาสงครามที่กระทบ การนำาเข้าข้าวสาลี ก็ต้องหาแหล่งอื่นมาทดแทนทั้ง ออสเตรเลีย และ อินเดีย และจากการที่วัตถุดิบพลังงานในอาหารสัตว์ขาดอยู่ประมาณ 3 ล้านตัน ปัญหาสงครามก็ทำาให้ราคาข้าวสาลีขึ้น เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบ การต้องช่วยกันหาทางออกว่า จะทำาอย่างไร เพื่อลดต้นทุนอาหาร สัตว์ ก็ต้องมองหาสิ่งที่ยังพอจัดการได้ภายใต้ต้นทุนที่ไม่กระทบมาก จึงถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนต้องคุยกันทั้ง ผู้นำาเข้า ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ผู้เลี้ยง เพราะราคาวัตถุดิบยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องเกือบทุกตัว ถือเป็นวิกÄตที่ต้องช่วยกันหาทางออก ร่วมกับภาครัฐ ด้านวัตถุดิบโปรตีน ไทยก็มีปัญหาการผลิตเช่นกัน มีความ ต้องการใช้ประมาณ 6 ล้านตัน เริ่มจากปลาป่น ที่เป็นสินค้าพิเศษ ที่มีการกำากับดูแล การนำาเข้าต้องเป็นชั้น 1 เท่านั้น ตามกฎหมาย LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE สัตว์เศรษฐกิจ 39 มองทิศทางวัตถุดิบอาหารสัตว์ไทย 1. เริ่มจาก ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ภายในประเทศ เน้นการใช้ให้หมด โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน 2. หาวัตถุดิบทดแทน โดยเฉพาะแหล่งโปรตีนและพลังงาน ทางเลือก เพื่อลดปัญหาโลกร้อน เป็นไปตามนโยบาย BCG ก็ต้อง ช่วยกันคิดและพัฒนา เช่น โปรตีนจากแมลง หรือสิ่งใดที่พอทำาได้ เพื่อลดปัญหาเศษเหลือใช้ทางการเกษตรและอาหาร เพื่อช่วย เกษตรกรทั้งระบบ 3. พัฒนาวัตถุดิบให้นำาไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง วัตถุดิบตัวเดิมๆ แต่ให้นำามาใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการ เติมเอนไซม์กรดอะมิโน และอื่นๆ ถือเป็นสิ่งที่จำาเป็นต้องทำา 4. สำารองวัตถุดิบ ต้องประเมินล่วงหน้าแล้วจัดการวางแผน สำารองวัตถุดิบไว้ แต่ก็ต้องหาวิธีการเก็บรักษา เพื่อให้ใช้ได้นานขึ้น ซึ่งภาครัฐก็ต้องเข้ามาดูแลว่า การกำาหนดอายุการเก็บรักษาเบื้องต้น ไว้ที่ 6 เดือนอาจต้องปรับเปลี่ยน โดยอาจทำารายงานวิจัยมายืนยัน 5. ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบเพิ่มมูลค่าอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น การ เสริมสารสกัดพิเศษต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับอาหารสัตว์เลี้ยงและ 6. วัตถุดิบสีเขียว เพื่อตอบโต้ปศุสัตว์สีเขียว พร้อมกันนี้ต้อง ยกระดับการกำากับดูแลมาตรฐานอาหารสัตว์ เริ่มจากปรับปรุงกฎหมายอาหารสัตว์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ปัจจุบัน เช่น การกำาหนดค่าโปรตีนไม่ต่ำากว่าเท่าใด แต่ตอนนี้ ทุกประเทศพัฒนาอาหารสัตว์โปรตีนต่ำาที่ช่วยลดต้นทุนได้ระดับหนึ่ง เพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือก รวมทั้งอำานวยความสะดวก ลดขั้นตอน เอกสาร และเวลา ในการบริการผ่านช่องทางอิเล็คทรอนิค ซึ่งจาก ที่ใช้งานมา ก็ช่วยลดเวลาได้มาก หากเอกสาร ในอนาคตอาจต้อง ขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านการรับรองการส่งออกไปยัง ประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนด้านทะเบียนก็ช่วยลดเวลาลง จากนั้นตรวจสอบการนำาเข้า ภายหลังการผลิต ภายหลังออก สู่ตลาด อย่างเข้มข้น โดยเน้นการขึ้นทะเบียนก่อนอนุญาตมากกว่า แต่ต่อไปต้องทำาให้เข้มข้นมากขึ้น ส่งเสริมให้เอกชนกำากับดูแลกันเอง ก็ต้องขอความร่วมมือ หรือกำาหนดกฎหมายให้ผู้ได้รับอนุญาตขาย เฉพาะของขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์เท่านั้น สร้างองค์ความรู้ ช่องทางสื่อสาร สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนและผู้ใช้ อาหารสัตว์ สำาหรับ Roadmap เริ่มจากวัตถุดิบอาหารสัตว์สีเขียวก่อน เน้นทำาให้อย่างไร ให้สินค้าปศุสัตว์ในปี 2570 รับรองการเป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อมได้ เพราะในอนาคตอาจมีข้อกำาหนดกฎเกณฑ์ให้ต้อง ปฏิบัติตามในอนาคต โดยเริ่มจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ด้วยการตกลง ร่วมกันระหว่างผู้ปลูกและผู้ใช้ ยกตัวอย่าง โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ร่วมกับผู้ปลูกข้าวโพด ในการทำาตามหลักเกณฑ์ที่กำาหนด ทำา MOU ร่วมกัน ในการปลูกวัตถุดิบ ไม่บุกรุกทำาลายป่า ทำาร่วมกัน โดยภาค รัฐเป็นผู้ประสานแนะนำาให้เป็นไปตามข้อตกลง โดยเริ่มจากวัตถุดิบ ก่อนแล้วไปฟาร์มในลำาดับต่อไป... ของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อปกป้องชาวประมงไทยที่คุณภาพห้ามต่ำา กว่า 60% ไม่งั้นนำาเข้าไม่ได้และมีส่งออก และผลิตสุดท้ายเข้ามา ผลิตอาหารสัตว์ไม่เกิน3แสนตัน ก็มีวัตถุดิบอื่น เช่น ขนสัตว์ปีกป่น หรือผลพลอยได้จากสัตว์ปีก ซึ่งมีน้อยมาก จะเหลือทำาเป็นอาหาร สัตว์ไม่มาก รวมอย่างไรก็ไม่เกิน 1 ล้านตัน ส่วนวัตถุดิบที่สำาคัญ คือ กากถั่วเหลือง ซึ่งไทยผลิตถั่วเหลือง ได้เพียง 30,000 ตัน มีทิศทางลดลงเรื่อยๆ เหลืออีก 5 ล้านตัน ก็ต้องนำาเข้า กากถั่วเหลือง ซึ่งต้องได้รับสิทธิจากกระทรวงพาณิชย์ เสียภาษี 2 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมามีการนำาเข้า 2.8 ล้านกว่าตัน นอกจากนั้นก็มีการนำาเข้าถั่วเหลืองมาผลิตน้ำามันพืช เหลือกาก ถั่วเหลืองเข้าในระบบประมาณ 2 ล้านตัน สุดท้ายที่มาช่วย คือ PAP ซึ่งในบางชนิดสัตว์ก็จำาเป็นต้องใช้โปรตีนจากสัตว์ด้วย ดังนั้น การนำา เข้าเนื้อกระดูกป่นปีละ 3-4 แสนตัน รวมวัตถุดิบโปรตีนที่นำาเข้าเกือบ 5 ล้านตัน แต่ก็ต้องเลือกและตรวจก่อนนำาเข้ามาใช้เพื่อให้ผ่านตาม มาตรฐานและข้อกำาหนดต่างๆ โดยเฉพาะโรคระบาดที่อาจติดมาด้วย จึงต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักว่า จะทำาอย่างไรให้เกิด ความมั่นคงในอาหารสัตว์ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นคงใน อาหารมนุษย์อีกส่วน คือ พรีมิกซ์อาหารเสริม ก็มีการนำาเข้าจาก จีน ยุโรป และอินเดีย ที่มีการนำาเข้าและส่งออก รวมถึงการนำาเข้า มาเพิ่มมูลในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นความจำาเป็นที่ต้องนำาเข้า มาเพิ่มมูลค่าการผลิต สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ขณะที่โรงงานผลิตอาหารสัตว์ไทย มีโรงงาน 880 โรงงาน เป็นโรงงานอาหารสัตว์สำาเร็จรูป 218 โรง บางโรงงานผลิตเฉพาะ อาหารสุกร บางโรงงานผลิตเฉพาะอาหารไก่ แต่บางโรงงานก็ผลิต อาหารสัตว์หลายชนิด แบ่งเป็นโรงงานอาหารสัตว์ผสมยา 75 โรง โรงงานผลิตพรีมิกซ์สารเสริมและวัตถุดิบ 538 โรง เมื่อนับรายเล็ก รายย่อยทั้งหมด และโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยง 87 โรงงาน ซึ่งกรม ปศุสัตว์มีการกำากับดูแล เริ่มตั้งแต่ ใบรับรองอนุญาตผลิต ระบบ รับรองต่างๆ การเก็บตัวอย่าง ติดตามมาตรฐาน นอกจากนั้นก็ยังมีฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ผสมอาหารใช้เอง ที่มองว่า น่าเห็นใจ เพราะโรงงานอาหารสัตว์มีห้องปฏิบัติการตรวจสอบ คุณภาพวัตถุดิบก่อนรับ ต่างจากฟาร์มที่ผสมอาหารเองที่ตรวจสอบ คัดเลือกคุณภาพวัตถุดิบไม่ได้ จึงมักต้องซื้อวัตถุดิบตกเกรดจาก โรงงานอาหารสัตว์สารพิษจากเชื้อราสูง ทำาให้ใช้วัตถุดิบไม่มีคุณภาพ ยกตัวอย่าง กากถั่วเหลืองที่มีการหลอกขายฟาร์มที่มีโรงงานผสม อาหารเองแต่ไม่มีห้องปฏิบัติการตรวจในราคาถูก พบว่า มีการ ปนเปื้อนจำานวนมาก ในขณะที่การส่งออก ตอนนี้ไทยถือเป็นส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง รายใหญ่ ซึ่งมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ และยังมีการส่งออกอาหารปศุสัตว์และสัตว์น้ำาเพิ่มขึ้นเช่นกัน มูลคว่า 2 หมื่นล้านบาท รวมถึงอาหารเสริม พรีมิกซ์ปลาป่น โดย มีตลาดหลัก คือ ไต้หวัน จีน อินเดีย บังคลาเทศ ซึ่งเป็นโอกาส ในการเติบโต โดยเฉพาะปลาป่น หากจัดการกฎระเบียบต่างๆ ได้ ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์


40 สัตวเศรษฐกิจ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์เÎลั่น “กรมการค้าภายใน” คิกออฟ “โครงการเชื่อมโยงอาหารสัตว์ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปี 2566” รายละ ไม่เกิน 10,000 บาท คลิกตรวจสอบสิทธิ feed.dit.go.th เช็ค เงื่อนไข-ขั้นตอนการสมัคร ด่วน จากปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครน และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่มีต่อการผลิต วัตถุดิบอาหารสัตว์ส่งผลให้หลายภูมิภาคทั่วโลกต้องเผชิญกับราคา วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟก รวมถึงไทย ซึ่งต้องนำาเข้าธัญพืช อาทิ ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์สำาคัญในการเลี้ยงสัตว์ได้แก่ “สุกร ไก่ไข่ ไก่เนื้อ” โดยต้นทุนอาหารสัตว์มีสัดส่วนร้อยละ 50-70 ของต้นทุนในการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้น ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ อาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ย่อมส่งผลอย่างมากต่อเกษตรกรผู้เลี้ยง สัตว์ของไทยที่ต้องรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ถึงปัจจุบัน กรมการค้าภายในซึ่งมีพันธกิจในการส่งเสริมพั²นา สร้าง โอกาสและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกษตรกร รวม ถึงกำากับดูแลราคา ปริมาณ และการแข่งขันในสินค้าและบริการให้ อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นธรรม จึงได้จัดทำาโครงการเชื่อมโยงอาหาร กรมการคาภายใน… รุกอุดหนุนอาหารสัตว ใหผูเลี้ยงรายละไมเกิน 10,000 บาท สัตว์ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ปี 2566 ซึ่งเป็นแนวทางในการดูแล เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ในการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ราคา วัตถุดิบอาหารสัตว์ และอาหารสัตว์ผสมสำาเร็จรูปที่ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อส่งเสริมและพั²นาเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะสุกร ไก่ไข่ ไก่เนื้อ โดยผู้ขอรับการสนับสนุนต้องเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในสินค้า กลุ่มเป้าหมายรายย่อย รายเล็ก และรายกลาง ที่ขึ้นทะเบียนผู้เลี้ยง สัตว์กับกรมปศุสัตว์ และได้รับมาตรฐานระบบการป้องกันโรคและ การเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม : Good Farming Management) หรือ มาตรฐานอื่นๆ ที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ โดยมีจำานวนการ เลี้ยงตามเกณฑ์ของกรมปศุสัตว์ ดังนี้ 1. ผู้เลี้ยงสุกร ไม่เกิน 5,000 ตัว 2. ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ไม่เกิน 100,000 ตัว 3. ผู้เลี้ยงไก่เนื้อ ไม่เกิน 100,000 ตัว หลักเกณ±์และเงื่อนไขสนับสนุนค่าบริหารจัดการ การซื้ออาหารสัตว์ผสมสำาเร็จรูปเป็นการซื้อจากผู้ผลิตที่ได้รับ อนุญาตผลิตอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะจากกรมปศุสัตว์ (นิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา) หรือสหกรณ์การเกษตรที่ผลิตอาหารสัตว์ หรือ สหกรณ์ผู้รับจำาหน่ายอาหารสัตว์ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


40 สัตวเศรษฐกิจ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์เÎลั่น “กรมการค้าภายใน” คิกออฟ “โครงการเชื่อมโยงอาหารสัตว์ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปี 2566” รายละ ไม่เกิน 10,000 บาท คลิกตรวจสอบสิทธิ feed.dit.go.th เช็ค เงื่อนไข-ขั้นตอนการสมัคร ด่วน จากปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครน และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่มีต่อการผลิต วัตถุดิบอาหารสัตว์ส่งผลให้หลายภูมิภาคทั่วโลกต้องเผชิญกับราคา วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟก รวมถึงไทย ซึ่งต้องนำาเข้าธัญพืช อาทิ ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์สำาคัญในการเลี้ยงสัตว์ได้แก่ “สุกร ไก่ไข่ ไก่เนื้อ” โดยต้นทุนอาหารสัตว์มีสัดส่วนร้อยละ 50-70 ของต้นทุนในการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้น ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ อาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ย่อมส่งผลอย่างมากต่อเกษตรกรผู้เลี้ยง สัตว์ของไทยที่ต้องรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ถึงปัจจุบัน กรมการค้าภายในซึ่งมีพันธกิจในการส่งเสริมพั²นา สร้าง โอกาสและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกษตรกร รวม ถึงกำากับดูแลราคา ปริมาณ และการแข่งขันในสินค้าและบริการให้ อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นธรรม จึงได้จัดทำาโครงการเชื่อมโยงอาหาร กรมการคาภายใน… รุกอุดหนุนอาหารสัตว ใหผูเลี้ยงรายละไมเกิน 10,000 บาท สัตว์ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ปี 2566 ซึ่งเป็นแนวทางในการดูแล เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ในการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ราคา วัตถุดิบอาหารสัตว์ และอาหารสัตว์ผสมสำาเร็จรูปที่ปรับตัวสูงขึ้น เพื่อส่งเสริมและพั²นาเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะสุกร ไก่ไข่ ไก่เนื้อ โดยผู้ขอรับการสนับสนุนต้องเป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในสินค้า กลุ่มเป้าหมายรายย่อย รายเล็ก และรายกลาง ที่ขึ้นทะเบียนผู้เลี้ยง สัตว์กับกรมปศุสัตว์ และได้รับมาตรฐานระบบการป้องกันโรคและ การเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม : Good Farming Management) หรือ มาตรฐานอื่นๆ ที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ โดยมีจำานวนการ เลี้ยงตามเกณฑ์ของกรมปศุสัตว์ ดังนี้ 1. ผู้เลี้ยงสุกร ไม่เกิน 5,000 ตัว 2. ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ไม่เกิน 100,000 ตัว 3. ผู้เลี้ยงไก่เนื้อ ไม่เกิน 100,000 ตัว หลักเกณ±์และเงื่อนไขสนับสนุนค่าบริหารจัดการ การซื้ออาหารสัตว์ผสมสำาเร็จรูปเป็นการซื้อจากผู้ผลิตที่ได้รับ อนุญาตผลิตอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะจากกรมปศุสัตว์ (นิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา) หรือสหกรณ์การเกษตรที่ผลิตอาหารสัตว์ หรือ สหกรณ์ผู้รับจำาหน่ายอาหารสัตว์ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE สัตว์เศรษฐกิจ 41 จัดการอาหารสัตว์ รวมทั้งส่งเอกสารฉบับจริงดังกล่าวมายังกรมการ ค้าภายใน กรมปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ ร่วมประชาสัมพันธ์โครงการฯ หลักเกณฑ์ฯ และ ขั้นตอนการยื่นขอรับสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ รวมถึงตรวจสอบ และรับรองข้อมูลการเลี้ยงสัตว์ (จำานวนสัตว์ สถานะการเลี้ยง และ มาตรฐานฟาร์มที่ได้รับ) ของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ในแบบคำาขอรับ การสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ (แบบ อส.1) สมาคมผู้เลี้ยงสัตว์ (สุกร ไก่ไข่ ไก่เนื้อ) สมาคมผู้เลี้ยงสัตว์ (สุกร ไก่ไข่ ไก่เนื้อ) ร่วมประชาสัมพันธ์ โครงการฯ หลักเกณฑ์ฯ และขั้นตอนการยื่นของรับสนับสนุนค่า บริหารจัดการฯ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะที่ได้รับใบอนุญาตผลิตอาหาร สัตว์ควบคุมเฉพาะจากกรมปศุสัตว์ (นิติบุคคล หรือ บุคคลธรรมดา) หรือ สหกรณ์การเกษตรที่ผลิตอาหารสัตว์ หรือ สหกรณ์ผู้จำาหน่าย อาหารสัตว์จำาหน่ายอาหารสัตว์ผสมสำาเร็จรูปให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยง สัตว์ และออกใบเสร็จรับเงินเพื่อใช้เป็นเอกสารหลักฐานประกอบการ ยื่นขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ การยื่นขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ที่ประสงค์ขอรับการสนับสนุนค่าบริหาร จัดการฯ ดำาเนินการยื่นคำาขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ พร้อมเอกสารหลักฐานตามที่หลักเกณฑ์กำาหนด ผ่านระบบขอรับการ สนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ รวมทั้งส่งเอกสารฉบับจริง ดังกล่าวมายังกรมการค้าภายใน เอกสารหลักฐานประกอบการยื่นขอรับการสนับสนุน 1. แบบคำาขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ โครงการ เชื่อมโยงอาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ปี 2566 (แบบ อส. 1) 2. สำาเนาบัตรประจำาตัวประชาชนของผู้ยื่นขอรับการสนับสนุน คำาบริหารจัดการฯ สำาหรับกรณีผู้ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ เป็น นิติบุคคลต้องมีหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และสำาเนา บัตรประจำาตัวประชาชนของผู้มีอำานาจ ใบเสร็จรับเงินจากการซื้อ อาหารสัตว์ (1) กรณีซื้อจากผู้ผลิตที่ได้รับใบอนุญาตผลิตอาหารสัตว์ควบคุม เฉพาะจากกรมปศุสัตว์(นิติบุคคล หรือ บุคคลธรรมดา หรือ สหกรณ์ การเกษตรที่ผลิตอาหารสัตว์ ต้องใช้ใบเสร็จฉบับจริง สำาหรับกรณี ซื้อจากบุคคลธรรมดา ต้องมีสำาเนาบัตรประชาชนของผู้ที่รับอนุญาต ผลิตอาหารสัตว์ (2) กรณีซื้อจากสหกรณ์ผู้จำาหน่ายอาหารสัตว์ ต้องใช้ใบเสร็จ ฉบับจริงที่ผู้ยื่นคำาขอได้รับจากสหกรณ์ผู้จำาหน่ายอาหารสัตว์ และ ใบเสร็จฉบับสำาเนาที่สหกรณ์ผู้จำาหน่ายอาหารสัตว์ได้รับจากผู้ผลิต อาหารสัตว์ ระยะเวลาการซื้ออาหารสัตว์ วันที่ 7 กรกฎาคม-6 สิงหาคม 2566 (1 เดือน) ระยะเวลาการยื่นขอรับเงินสนับสนุน วันที่ 13 กรกฎาคม-12 สิงหาคม 2566 (1 เดือน) สนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ ในอัตราไม่เกินกิโลกรัมละ 1 บาท ปริมาณรายละไม่เกิน 10 ตัน วงเงินสนับสนุนรายละไม่เกิน 10,000 บาท และไม่เกินกรอบ วงเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ที่ได้รับอนุมัติไว้ 8 ล้าน บาท วิธีการดำาเนินการ กรมการค้าภายใน 1. ประชาสัมพันธ์โครงการ หลักเกณฑ์ฯ และขั้นตอนการยื่น ขอรับสนับสนุนค่าบริหารจัดการ 2. ตรวจสอบความถูกต้องของแบบคำาขอรับการสนับสนุนค่า บริหารจัดการฯ (แบบ อส.1) และเอกสารของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ก่อนเสนอคณะทำางานขับเคลื่อนโครงการเชื่อมโยงอาหารสัตว์ให้แก่ เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ปี 2566 ให้ความเห็นชอบ และนำาเสนออธิบดี กรมการค้าภายในพิจารณาอนุมัติ และโอนเงินสนับสนุนค่าบริหารจัด การฯ ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการฯ 3. กำากับดูแลให้การดำาเนินโครงการฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย 4. สรุปผลการดำาเนินงานรายเดือน และเมื่อสิ้นสุดการดำาเนิน งานตามโครงการฯ พร้อมทั้งส่งเงินคงเหลือรวมดอกผลทั้งหมดคืน กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ เกษตรกร ที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ต้องซื้ออาหารสัตว์ ผสมสำาเร็จรูปจากผู้ผลิตอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะที่ได้รับใบอนุญาต ผลิตอาหารสัตว์ควบคุมเฉพาะจากกรมปศุสัตว์ (นิติบุคคล หรือ บุคคลธรรมดา) หรือสหกรณ์การเกษตรที่ผลิตอาหารสัตว์ หรือ สหกรณ์ผู้จำาหน่ายอาหารสัตว์ และยื่นแบบคำาขอรับการสนับสนุน ค่าบริหารจัดการฯ (แบบ อส.1) พร้อมทั้งเอกสารหลักฐานประกอบ การยื่นขอรับการสนับสนุนฯผ่านระบบขอรับการสนับสนุนค่าบริหาร ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์


42 สัตว์เศรษฐกิจ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE (3) สำาเนาหน้าบัญชีธนาคาร (Book Bank) ที่ประสงค์ให้โอน เงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯโดยชื่อบัญชีต้องเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อ ผู้ขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ ทั้งนี้ เอกสารทุกฉบับต้อง ลงลายมือชื่อรับรองเอกสาร พร้อมประทับตราสำาคัญของหน่วยงาน (ถ้ามี) ในเอกสารทุกฉบับ ขั้นตอนการยื่นคำาขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ 1. เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ต้องการยื่นคำาขอรับการสนับสนุนค่า บริหารจัดการฯ สามารถดาวน์โหลด แบบคำาขอจาก “ระบบขอรับ การสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์” (feed.dit.go.th) หรือ ขอรับที่สำานักงานพาณิชย์จังหวัด สำานักงานปศุสัตว์จังหวัด สำานักงาน ปศุสัตว์อำาเภอ หรือ สำานักงานสหกรณ์จังหวัด 2. เกษตรกรผู้เลียงสัตว์ที่ต้องการยืนคำาขอรับการสนับสนุน ค่าบริหารจัดการฯ กรอกข้อมูลในระบบฯ ประกอบตัวย ชื่อ-นามสกุล เลขที่บัตรประขาชน หมายเลขโทรศัพท์ ประเภทและจำานวนสัตว์ ที่เลี้ยง มาตรฐานฟาร์มที่ได้รับ ปริมาณอาหารสัตว์ที่ซื้อ (ระบุเป็น กิโลกรัม) สถานที่ซื้ออาหารสัตว์ พร้อมทั้งแนบแบบคำาขอรับการ สนับสนุนฯ (แบบ อส.1) ที่ต้รับการรับรองและลงนามครบถ้วน (ไฟล์ภาพ หรือ ไฟล์ pdf) และเอกสารหลักฐานตามข้อ 6.2 เข้าสู่ ระบบฯ 3. เมื่อยื่นข้อมูลตามข้อ 2 เข้าสู่ระบบครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว จะได้รับ “เลขคำาขอ” ซึ่งผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ ต้องระบุเลข คำาขอที่ได้รับจากระบบ ในแบบคำาขอรับการสนับสนุนฯ ฉบับจริง ภายใน 3 วันทำาการ นับจากวันที่ได้รับแจ้งการโอนเงิน ทั้งนี้ การยื่นคำาขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ จะสมบูรณ์ต่อเมื่อมีการดำาเนินการถูกต้องครบถ้วน โดยฝ่าย เลขานุการคณะทำางานฯ จะพิจารณาตรวจสอบเอกสารหลักฐานของ ผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ หากถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่ กำาหนด จะเสนอคณะทำางานฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบและนำาเสนอ อธิบดีกรมการค้าภายในพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินสนับสนุนค่า บริหารจัดการฯ และโอนเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ แก่ผู้ยื่น คำาขอรับการสนับสนุนฯ ตามลำาดับที่ยื่นจนครบปริมาณเป้าหมาย ตามกรอบปริมาณการสนับสนุน หรือสิ้นสุดระยะเวลาตามโครงการ ทั้งนี้ ให้ถือว่า ผลการพิจารณาของอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นที่สุด การตรวจสอบและการพิจารณา 1. กรมการค้าภายในจะให้การสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหาร สัตว์ ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ และ เอกสารหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ฯ ภายในกรอบ วงเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ไม่เกินจำานวน 8,000,000 บาท (แปดล้านบาทถ้วน) โดยจะพิจารณาสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ ให้แก่ผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ ตามลำาดับก่อนหลัง และจะ พิจารณาจนกว่าจะครบตามกรอบวงเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ ตามโครงการฯ หรือสิ้นสุดระยะเวลาโครงการฯ 2. ฝ่ายเลขานุการคณะทำางานขับเคลื่อนโครงการเชื่อมโยง อาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ปี 2566 ตรวจสอบเอกสาร หลักฐานของผู้ยื่นคำาขอฯ ให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำาหนด ในเบื้องต้น หากไม่ถูกต้อง ให้แจ้งผู้ขอรับการ สนับสนุน ดำาเนินการแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องภายใน 48 ชั่วโมงหาก ถูกต้อง ให้รวบรวมเพื่อนำาเสนอคณะทำางานฯ พิจารณาตามขั้นตอน ต่อไป 3. เจ้าหน้าที่กรมการค้าภายในจะดำาเนินการตรวจสอบข้อมูล และเอกสารที่ได้รับยื่นผ่านระบบฯภายใน 3 วันทำาการ นับจากวันที่ ได้รับข้อมูลในระบบฯ ซึ่งผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ สามารถตรวจ สอบสถานะแบบคำาขอฯ ว่าอยู่ในขั้นตอนใด ได้ตลอดเวลาผ่านระบบฯ โดยใช้เลขคำาขอ คู่กับเลขที่บัตรประจำาประชาชน กรณีที่ข้อมูลและเอกสารถูกต้องครบถ้วน เจ้าหน้าที่กรมการ ค้าภายในจะติดต่อแจ้งผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ ตามหมายเลข โทรศัพท์ที่ได้แจ้งไว้ในระบบฯ เพื่อให้จัดส่งเอกสารฉบับจริงต่อไป กรณีที่ข้อมูล และ/หรือเอกสาร ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน เจ้าหน้าที่กรมการค้าภายในจะติดต่อแจ้งผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ใต้แจ้งไว้ในระบบฯ เพื่อให้ดำาเนินการยื่น เอกสารเพิ่มเติมภายใน 48 ชั่วโมง หากเกินกำาหนดเวลา หรือไม่ ถูกต้อง จะต้องยื่นแบบคำาขอฯ เข้าสู่ระบบใหม่ ผู้ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ ต้องจัดส่งเอกสารฉบับจริง ทาง ไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 5 วันทำาการ นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก กรมการค้าภายใน โดยจัดส่งมาที่ “กองส่งเสริมสินค้าเกษตร 2 (กลุ่ม ปศุสัตว์และสัตว์น้ำา) กรมการค้าภายใน เลขที่ 563 ถนนนทบุรี ตำาบลบางกระสอ อำาเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 เมื่อผู้รับคำายื่นขอรับเงินสนับสนุนฯ ได้รับการโอนเงินสนับสนุน ค่าบริหารจัดการฯ แล้วต้องจัดส่งใบยืนยันการรับเงินที่ลงชื่อแล้ว การติดตามและกำากับดูแล คณะทำางานฯ มีหน้าที่ติดตามกำากับดูแลการดำาเนินกิจกรรม ตามโครงการฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการฯ และหากตรวจสอบพบว่า การยื่นแบบคำาขอของผู้ยื่นคำาขอรับการ สนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขที่คณะทำางานฯ กำาหนด กรมการค้าภายในสงวนสิทธิ์ไม่จ่าย เงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ หรือ เรียกคืนเงินสนับสนุน ค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ที่ได้จ่ายแล้วบางส่วนหรือทั้งหมด และ หากตรวจสอบพบว่า มีการจัดทำาเอกสารเป็นเท็จ กรมการค้าภายใน จะพิจารณาเรียกเงินที่ผู้ยื่นแบบคำาขอได้รับจัดสรรตามโครงการคืน ทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ย และดำาเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ คณะทำางานฯ มีอำานาจเชิญหน่วยงานหรือบุคคลที่ เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความเห็น หรือส่งเอกสารใดๆ ที่ เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการพิจารณาได้ กรณีมีปัญหาในการดำาเนิน การตามโครงการฯ ให้คณะทำางานฯเสนอความเห็นต่ออธิบดีกรมการ ค้าภายในเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด โดยให้คำานึงถึงวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และให้ถือว่าคำาวินิจฉัยของอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นที่สุด


42 สัตว์เศรษฐกิจ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE (3) สำาเนาหน้าบัญชีธนาคาร (Book Bank) ที่ประสงค์ให้โอน เงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯโดยชื่อบัญชีต้องเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อ ผู้ขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ ทั้งนี้ เอกสารทุกฉบับต้อง ลงลายมือชื่อรับรองเอกสาร พร้อมประทับตราสำาคัญของหน่วยงาน (ถ้ามี) ในเอกสารทุกฉบับ ขั้นตอนการยื่นคำาขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ 1. เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ต้องการยื่นคำาขอรับการสนับสนุนค่า บริหารจัดการฯ สามารถดาวน์โหลด แบบคำาขอจาก “ระบบขอรับ การสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์” (feed.dit.go.th) หรือ ขอรับที่สำานักงานพาณิชย์จังหวัด สำานักงานปศุสัตว์จังหวัด สำานักงาน ปศุสัตว์อำาเภอ หรือ สำานักงานสหกรณ์จังหวัด 2. เกษตรกรผู้เลียงสัตว์ที่ต้องการยืนคำาขอรับการสนับสนุน ค่าบริหารจัดการฯ กรอกข้อมูลในระบบฯ ประกอบตัวย ชื่อ-นามสกุล เลขที่บัตรประขาชน หมายเลขโทรศัพท์ ประเภทและจำานวนสัตว์ ที่เลี้ยง มาตรฐานฟาร์มที่ได้รับ ปริมาณอาหารสัตว์ที่ซื้อ (ระบุเป็น กิโลกรัม) สถานที่ซื้ออาหารสัตว์ พร้อมทั้งแนบแบบคำาขอรับการ สนับสนุนฯ (แบบ อส.1) ที่ต้รับการรับรองและลงนามครบถ้วน (ไฟล์ภาพ หรือ ไฟล์ pdf) และเอกสารหลักฐานตามข้อ 6.2 เข้าสู่ ระบบฯ 3. เมื่อยื่นข้อมูลตามข้อ 2 เข้าสู่ระบบครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว จะได้รับ “เลขคำาขอ” ซึ่งผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ ต้องระบุเลข คำาขอที่ได้รับจากระบบ ในแบบคำาขอรับการสนับสนุนฯ ฉบับจริง ภายใน 3 วันทำาการ นับจากวันที่ได้รับแจ้งการโอนเงิน ทั้งนี้ การยื่นคำาขอรับการสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ จะสมบูรณ์ต่อเมื่อมีการดำาเนินการถูกต้องครบถ้วน โดยฝ่าย เลขานุการคณะทำางานฯ จะพิจารณาตรวจสอบเอกสารหลักฐานของ ผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ หากถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่ กำาหนด จะเสนอคณะทำางานฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบและนำาเสนอ อธิบดีกรมการค้าภายในพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินสนับสนุนค่า บริหารจัดการฯ และโอนเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ แก่ผู้ยื่น คำาขอรับการสนับสนุนฯ ตามลำาดับที่ยื่นจนครบปริมาณเป้าหมาย ตามกรอบปริมาณการสนับสนุน หรือสิ้นสุดระยะเวลาตามโครงการ ทั้งนี้ ให้ถือว่า ผลการพิจารณาของอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นที่สุด การตรวจสอบและการพิจารณา 1. กรมการค้าภายในจะให้การสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหาร สัตว์ ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ที่ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ และ เอกสารหลักฐานที่ถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ฯ ภายในกรอบ วงเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ไม่เกินจำานวน 8,000,000 บาท (แปดล้านบาทถ้วน) โดยจะพิจารณาสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ ให้แก่ผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ ตามลำาดับก่อนหลัง และจะ พิจารณาจนกว่าจะครบตามกรอบวงเงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ ตามโครงการฯ หรือสิ้นสุดระยะเวลาโครงการฯ 2. ฝ่ายเลขานุการคณะทำางานขับเคลื่อนโครงการเชื่อมโยง อาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ปี 2566 ตรวจสอบเอกสาร หลักฐานของผู้ยื่นคำาขอฯ ให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำาหนด ในเบื้องต้น หากไม่ถูกต้อง ให้แจ้งผู้ขอรับการ สนับสนุน ดำาเนินการแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องภายใน 48 ชั่วโมงหาก ถูกต้อง ให้รวบรวมเพื่อนำาเสนอคณะทำางานฯ พิจารณาตามขั้นตอน ต่อไป 3. เจ้าหน้าที่กรมการค้าภายในจะดำาเนินการตรวจสอบข้อมูล และเอกสารที่ได้รับยื่นผ่านระบบฯภายใน 3 วันทำาการ นับจากวันที่ ได้รับข้อมูลในระบบฯ ซึ่งผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ สามารถตรวจ สอบสถานะแบบคำาขอฯ ว่าอยู่ในขั้นตอนใด ได้ตลอดเวลาผ่านระบบฯ โดยใช้เลขคำาขอ คู่กับเลขที่บัตรประจำาประชาชน กรณีที่ข้อมูลและเอกสารถูกต้องครบถ้วน เจ้าหน้าที่กรมการ ค้าภายในจะติดต่อแจ้งผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ ตามหมายเลข โทรศัพท์ที่ได้แจ้งไว้ในระบบฯ เพื่อให้จัดส่งเอกสารฉบับจริงต่อไป กรณีที่ข้อมูล และ/หรือเอกสาร ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน เจ้าหน้าที่กรมการค้าภายในจะติดต่อแจ้งผู้ยื่นคำาขอรับการสนับสนุนฯ ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ใต้แจ้งไว้ในระบบฯ เพื่อให้ดำาเนินการยื่น เอกสารเพิ่มเติมภายใน 48 ชั่วโมง หากเกินกำาหนดเวลา หรือไม่ ถูกต้อง จะต้องยื่นแบบคำาขอฯ เข้าสู่ระบบใหม่ ผู้ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ ต้องจัดส่งเอกสารฉบับจริง ทาง ไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 5 วันทำาการ นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก กรมการค้าภายใน โดยจัดส่งมาที่ “กองส่งเสริมสินค้าเกษตร 2 (กลุ่ม ปศุสัตว์และสัตว์น้ำา) กรมการค้าภายใน เลขที่ 563 ถนนนทบุรี ตำาบลบางกระสอ อำาเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 เมื่อผู้รับคำายื่นขอรับเงินสนับสนุนฯ ได้รับการโอนเงินสนับสนุน ค่าบริหารจัดการฯ แล้วต้องจัดส่งใบยืนยันการรับเงินที่ลงชื่อแล้ว การติดตามและกำากับดูแล คณะทำางานฯ มีหน้าที่ติดตามกำากับดูแลการดำาเนินกิจกรรม ตามโครงการฯ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการฯ และหากตรวจสอบพบว่า การยื่นแบบคำาขอของผู้ยื่นคำาขอรับการ สนับสนุนค่าบริหารจัดการฯ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขที่คณะทำางานฯ กำาหนด กรมการค้าภายในสงวนสิทธิ์ไม่จ่าย เงินสนับสนุนค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ หรือ เรียกคืนเงินสนับสนุน ค่าบริหารจัดการอาหารสัตว์ที่ได้จ่ายแล้วบางส่วนหรือทั้งหมด และ หากตรวจสอบพบว่า มีการจัดทำาเอกสารเป็นเท็จ กรมการค้าภายใน จะพิจารณาเรียกเงินที่ผู้ยื่นแบบคำาขอได้รับจัดสรรตามโครงการคืน ทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ย และดำาเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ คณะทำางานฯ มีอำานาจเชิญหน่วยงานหรือบุคคลที่ เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความเห็น หรือส่งเอกสารใดๆ ที่ เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการพิจารณาได้ กรณีมีปัญหาในการดำาเนิน การตามโครงการฯ ให้คณะทำางานฯเสนอความเห็นต่ออธิบดีกรมการ ค้าภายในเพื่อวินิจฉัยชี้ขาด โดยให้คำานึงถึงวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และให้ถือว่าคำาวินิจฉัยของอธิบดีกรมการค้าภายในเป็นที่สุด สัตวเศรษฐกิจ 43 นายสัตวแพทย์โสภัชย์ ชวาลกุล รองอธิบดีและโ¦Éกกรม ปศุสัตว์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่กรมสุขภาพสัตว์ กระทรวง เกษตรและพั²นาชนบท สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเข้าศึกษา ดูงานด้านโคเนื้อภายในประเทศไทยในช่วงปลายปี 2565 เพื่อศึกษา ความเป็นไปได้ในการนำาเข้าโคกระบือมีชีวิตจากไทยไปยังเวียดนาม เป็นเวลากว่า 6 เดือนที่หน่วยงานภาครัฐของไทยและเวียดนาม ได้ มีการหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสุขอนามัยพืชและสัตว์ รวมถึง ขั้นตอนการกักกันสัตว์ การตรวจโรค และการรับรองสุขภาพสัตว์ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล จนกระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2566 กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับแจ้งจาก½†ายเวียดนาม อนุมัติให้ ฟาร์มโคกระบือของไทยที่ได้แจ้งความประสงค์จะส่งออกโคกระบือ มีชีวิตเพื่อการบริโภค สามารถส่งออกจากไทยไปยังเวียดนาม จำานวน ทั้งสิ้น 14 ฟาร์ม คิดเป็นปริมาณจำานวนโคกระบือทั้งสิ้นกว่า 7,000 ตัว ประมาณการมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 295 ล้านบาท โดยประกาศ ดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2566 ถึง 23 กันยายน 2566 ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีต่อเกษตรกรไทยที่สามารถขยายตลาดการส่งออก โคกระบือมีชีวิตไปยังต่างประเทศ และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ให้แก่ประเทศไทยต่อไป ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์ เว�ยดนามไฟเข�ยวรับโคกระบือจากไทย… ตั้งเปารายไดพันลานตอป โดยมีเงื่อนไขประกอบการส่งออกโคและกระบือมีชีวิตไปยัง เวียดนาม ประกอบด้วย 1. ต้องเป็นโคกระบือ ที่เกิด หรือ เลี้ยงในประเทศไทยอย่าง น้อย 2 เดือน เลี้ยงในฟาร์มปลอดโรค ปากและเท้าเปื›อย ที่กรม ปศุสัตว์รับรอง และได้รับวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื›อยอย่าง น้อย 14 วัน ระบุวันฉีดในเอกสารแนบใบรับรองสุขภาพสัตว์ 2. โคกระบือไม่แสดงอาการของโรคลัมปี สกิน และได้รับการ ฉีดวัคซีนป้องกัน ลัมปี สกิน ระหว่าง 2 เดือน ถึง 1 ปีที่คอกกักกัน สัตว์ ระบุวันฉีดในเอกสารแนบใบรับรองสุขภาพสัตว์เอกสารแนบ ใบรับรองสุขภาพสัตว์ 3. ต้องผ่านการสุ่มตรวจสารเร่งเนื้อแดง เบต้าอะโกนิสต์ ด้วย วิธี strip test 2 ครั้ง ในอัตราร้อยละ 5 ต่อการขนส่ง โดยครั้งที่ 1 ตรวจก่อนขึ้นรถบรรทุกที่คอกกักสัตว์ และครั้งที่ 2 ก่อนออกจาก ประเทศไทยที่ด่านกักกันสัตว์ชายแดน ระบุ วันที่ตรวจในเอกสารแนบ ใบรับรองสุขภาพสัตว์ 4. ปลอดโรคแท้งติดต่อและวัณโรค 1 ปี ผ่านการตรวจโรค และ ให้ผลลบ ก่อนส่งออก 5. สัตว์ต้องได้รับการพ่นยา¦่าแมลงด้วยสารไพรีทรอยด์ สังเคราะห์ 7 วันก่อนส่งไปยังเวียดนาม


44 สัตวเศรษฐกิจ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE ส่วนราชการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมปศุสัตว์เข้าร่วม ณ ลุงเชาวน์ฟาร์ม จังหวัดสุพรรณบุรี ว่า ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ อันดีด้านการค้ากับทางสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในการส่งออก สินค้าหลักที่สำาคัญ เช่น ชา กาแฟ เครื่องเทศ น้ำามันสำาเร็จรูป และ สินค้าทางการเกษตรอีกหลายรายการ สำาหรับในรายสินค้าโคเนื้อ ทางสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยคณะกรมสุขภาพสัตว์ (Department of Animal Health: DAH) กระทรวงการเกษตรและ พั²นาชนบทเวียดนาม ได้ส่งหนังสือแจ้งความสนใจที่จะนำาเข้าโค - กระบือจากประเทศไทย พร้อมทั้งได้เดินทางมาดูงานด้านโคเนื้อ ในไทย และล่าสุดได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกำาหนดและระเบียบการส่งออก โค - กระบือของไทยไปยังเวียดนาม รวมถึงแจ้งอนุมัติให้ฟาร์มโค - กระบือ จำานวน 14 ฟาร์มของประเทศไทยส่งออกโคเนื้อไปยัง เวียดนามได้ตามจำานวนที่กำาหนด จำานวน 7,000 ตัว มีผลตั้งแต่ วันที่ 23 มิถุนายน - 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมาประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีความร่วมมือด้านการค้าระหว่างประเทศอย่างดียิ่ง และในวันนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่จะมีการส่งออกโคเนื้อจากประเทศไทยไปยัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยเริ่มต้นการส่งโคเนื้อเป็นจำานวน 180 ตัว ถือเป็นจุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์อันดี โดยผลจากความ สำาเร็จในวันนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนในการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อ ให้แก่พี่น้องเกษตรกรชาวไทยให้มีรายได้ที่มั่นคง ทั้งเป็นขวัญและ กำาลังใจอันดีที่จะทำาให้พี่น้องเกษตรกรยึดถือในอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อ ได้อย่างยั่งยืน และสุดท้ายนี้จะขอความร่วมมือจาก พี่น้องเกษตรกร ผู้เลี้ยงโคเนื้อให้หยุดการใช้สารเร่งเนื้อแดง เพื่อให้เป็นไปตามหลัก เกณฑ์ในการส่งออกโคเนื้อไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามด้วย ทั้งนี้ การส่งออกโคเนื้อไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะต้องทำาการส่งจากประเทศไทยไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว (สปป.ลาว) และจาก สปป.ลาว ไปยังสาธารณรัฐ สังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ส่งหนังสือขอความร่วมมือ สปป.ลาว ในการควบคุมการขนส่งข้ามพรมแดนแล้ว และทาง สปป.ลาว ยินดีที่จะให้การอำานวยความสะดวกขนส่งโค - กระบือ มีชีวิตจากไทย กระทรวงเกษตรÏ โดยกรมปศุสัตว์จึงได้เร่งชี้แจง แนวทางการป¯ิบัติการส่งโคเนื้อไปจำาหน่ายยังเวียดนามให้กับ 6. โคกระบือทุกตัวต้องติดเบอร์หูเพื่อระบุตัวตนและตรวจสอบ ย้อนกลับได้ 7. ต้องได้รับการกักและสังเกตอาการอย่างน้อย 28 วันที่คอก กักกันสัตว์ 8. ขอใบรับรองสุขภาพสัตว์ (Veterinary Health Certifi cate) ของกรมปศุสัตว์ที่ลงนามโดยเจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์และตราประทับ 9. บันทึกการควบคุมการขนส่งระหว่างไทยและลาว (Minute of movement control) โดยระบุจำานวนโคและกระบือ หมายเลข ปิดผนึกของไทยและลาว และทะเบียนรถที่ใช้ในการขนส่งจากลาวไป เวียดนาม 10. อยู่ในรายชื่อฟาร์มปลอดโรคปากและเท้าเปื›อยที่กรม ปศุสัตว์ส่งรายชื่อและกรมสุขภาพสัตว์เวียดนามให้การยอมรับ โดย ระบุที่อยู่และจำานวนสัตว์อย่างชัดเจน 11. ในการส่งออกแต่ละครั้ง ทันทีที่ส่งสัตว์ออก กรมสุขภาพ สัตว์เวียดนามให้ด่านกักกันสัตว์ที่ส่งออกสแกนเอกสารใบรับรอง สุขภาพสัตว์และแจ้งข้อมูลผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยกรม สุขภาพสัตว์เวียดนามจะดำาเนินการให้นำาเข้าเฉพาะสัตว์ที่กรมปศุสัตว์ แจ้งผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิส์เท่านั้น ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงาน ที่รับผิดชอบหลักด้านสุขภาพสัตว์ และความปลอดภัยด้านสินค้า ปศุสัตว์ ได้ดำาเนินงานในการตรวจสอบ ควบคุม และกำากับดูแล กระบวนการผลิตสินค้าปศุสัตว์ ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ ฟาร์มถึงโรงเชือดชำาแหละและแปรรูป เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้ บริโภคสินค้าปศุสัตว์ที่ปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศคู่ค้า ในกระบวนการผลิตสินค้าปศุสัตว์ของประเทศไทย จากการดำาเนิน การอย่างเป็นระบบ ตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสากล ด้วยความ เข้มงวดต่อเนื่องมาโดยตลอดทำาให้ได้รับการยอมรับจากประเทศคู่ค้า หลายประเทศทั่วโลก โดยในส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตโคเนื้อ กรมปศุสัตว์มีการสนับสนุน ควบคุมและกำากับดูแลคุณภาพมาตรฐาน การเลี้ยงโคเนื้อตั้งแต่ต้นน้ำาถึงปลายน้ำา ให้เป็นไปตามมาตรฐานฟาร์ม ปลอดโรค (GFM) มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ (GAP) รวมไปถึง การรับรองฟาร์มปลอดการใช้สารเร่งเนื้อแดง ตลอดจนมาตรฐาน โรง¦่าสัตว์และสินค้าปศุสัตว์ เพื่อสร้างความมั่นใจและดูแลความ ปลอดภัยของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ล่าสุด ได้มีการปล่อยคาราวานโคเนื้อของประเทศไทยไปยัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามครั้งแรก หลังเวียดนามส่งหนังสือแจ้ง ข้อกำาหนดและระเบียบการส่งออกโค - กระบือ และอนุมัติให้ฟาร์ม โค - กระบือ ของประเทศไทย จำานวน 14 ฟาร์ม สามารถส่งออก โคเนื้อไปยังเวียดนามได้ถึง 7,000 ตัว นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกÉตร และสหกร³์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีปล่อยคาราวานโคเนื้อ ไปสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมี นายสัตวแพทย์ประภาส ภิญโญชีพ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ผู้บริหารกรมปศุสัตว์ หัวหน้า นายประภัตร โพธสุธน


44 สัตวเศรษฐกิจ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE ส่วนราชการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมปศุสัตว์เข้าร่วม ณ ลุงเชาวน์ฟาร์ม จังหวัดสุพรรณบุรี ว่า ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ อันดีด้านการค้ากับทางสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในการส่งออก สินค้าหลักที่สำาคัญ เช่น ชา กาแฟ เครื่องเทศ น้ำามันสำาเร็จรูป และ สินค้าทางการเกษตรอีกหลายรายการ สำาหรับในรายสินค้าโคเนื้อ ทางสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยคณะกรมสุขภาพสัตว์ (Department of Animal Health: DAH) กระทรวงการเกษตรและ พั²นาชนบทเวียดนาม ได้ส่งหนังสือแจ้งความสนใจที่จะนำาเข้าโค - กระบือจากประเทศไทย พร้อมทั้งได้เดินทางมาดูงานด้านโคเนื้อ ในไทย และล่าสุดได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกำาหนดและระเบียบการส่งออก โค - กระบือของไทยไปยังเวียดนาม รวมถึงแจ้งอนุมัติให้ฟาร์มโค - กระบือ จำานวน 14 ฟาร์มของประเทศไทยส่งออกโคเนื้อไปยัง เวียดนามได้ตามจำานวนที่กำาหนด จำานวน 7,000 ตัว มีผลตั้งแต่ วันที่ 23 มิถุนายน - 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมาประเทศไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีความร่วมมือด้านการค้าระหว่างประเทศอย่างดียิ่ง และในวันนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่จะมีการส่งออกโคเนื้อจากประเทศไทยไปยัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยเริ่มต้นการส่งโคเนื้อเป็นจำานวน 180 ตัว ถือเป็นจุดเชื่อมโยงความสัมพันธ์อันดี โดยผลจากความ สำาเร็จในวันนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนในการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อ ให้แก่พี่น้องเกษตรกรชาวไทยให้มีรายได้ที่มั่นคง ทั้งเป็นขวัญและ กำาลังใจอันดีที่จะทำาให้พี่น้องเกษตรกรยึดถือในอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อ ได้อย่างยั่งยืน และสุดท้ายนี้จะขอความร่วมมือจาก พี่น้องเกษตรกร ผู้เลี้ยงโคเนื้อให้หยุดการใช้สารเร่งเนื้อแดง เพื่อให้เป็นไปตามหลัก เกณฑ์ในการส่งออกโคเนื้อไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามด้วย ทั้งนี้ การส่งออกโคเนื้อไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะต้องทำาการส่งจากประเทศไทยไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว (สปป.ลาว) และจาก สปป.ลาว ไปยังสาธารณรัฐ สังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ส่งหนังสือขอความร่วมมือ สปป.ลาว ในการควบคุมการขนส่งข้ามพรมแดนแล้ว และทาง สปป.ลาว ยินดีที่จะให้การอำานวยความสะดวกขนส่งโค - กระบือ มีชีวิตจากไทย กระทรวงเกษตรÏ โดยกรมปศุสัตว์จึงได้เร่งชี้แจง แนวทางการป¯ิบัติการส่งโคเนื้อไปจำาหน่ายยังเวียดนามให้กับ 6. โคกระบือทุกตัวต้องติดเบอร์หูเพื่อระบุตัวตนและตรวจสอบ ย้อนกลับได้ 7. ต้องได้รับการกักและสังเกตอาการอย่างน้อย 28 วันที่คอก กักกันสัตว์ 8. ขอใบรับรองสุขภาพสัตว์ (Veterinary Health Certifi cate) ของกรมปศุสัตว์ที่ลงนามโดยเจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์และตราประทับ 9. บันทึกการควบคุมการขนส่งระหว่างไทยและลาว (Minute of movement control) โดยระบุจำานวนโคและกระบือ หมายเลข ปิดผนึกของไทยและลาว และทะเบียนรถที่ใช้ในการขนส่งจากลาวไป เวียดนาม 10. อยู่ในรายชื่อฟาร์มปลอดโรคปากและเท้าเปื›อยที่กรม ปศุสัตว์ส่งรายชื่อและกรมสุขภาพสัตว์เวียดนามให้การยอมรับ โดย ระบุที่อยู่และจำานวนสัตว์อย่างชัดเจน 11. ในการส่งออกแต่ละครั้ง ทันทีที่ส่งสัตว์ออก กรมสุขภาพ สัตว์เวียดนามให้ด่านกักกันสัตว์ที่ส่งออกสแกนเอกสารใบรับรอง สุขภาพสัตว์และแจ้งข้อมูลผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยกรม สุขภาพสัตว์เวียดนามจะดำาเนินการให้นำาเข้าเฉพาะสัตว์ที่กรมปศุสัตว์ แจ้งผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิส์เท่านั้น ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงาน ที่รับผิดชอบหลักด้านสุขภาพสัตว์ และความปลอดภัยด้านสินค้า ปศุสัตว์ ได้ดำาเนินงานในการตรวจสอบ ควบคุม และกำากับดูแล กระบวนการผลิตสินค้าปศุสัตว์ ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ ฟาร์มถึงโรงเชือดชำาแหละและแปรรูป เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้ บริโภคสินค้าปศุสัตว์ที่ปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศคู่ค้า ในกระบวนการผลิตสินค้าปศุสัตว์ของประเทศไทย จากการดำาเนิน การอย่างเป็นระบบ ตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสากล ด้วยความ เข้มงวดต่อเนื่องมาโดยตลอดทำาให้ได้รับการยอมรับจากประเทศคู่ค้า หลายประเทศทั่วโลก โดยในส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตโคเนื้อ กรมปศุสัตว์มีการสนับสนุน ควบคุมและกำากับดูแลคุณภาพมาตรฐาน การเลี้ยงโคเนื้อตั้งแต่ต้นน้ำาถึงปลายน้ำา ให้เป็นไปตามมาตรฐานฟาร์ม ปลอดโรค (GFM) มาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ (GAP) รวมไปถึง การรับรองฟาร์มปลอดการใช้สารเร่งเนื้อแดง ตลอดจนมาตรฐาน โรง¦่าสัตว์และสินค้าปศุสัตว์ เพื่อสร้างความมั่นใจและดูแลความ ปลอดภัยของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ล่าสุด ได้มีการปล่อยคาราวานโคเนื้อของประเทศไทยไปยัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามครั้งแรก หลังเวียดนามส่งหนังสือแจ้ง ข้อกำาหนดและระเบียบการส่งออกโค - กระบือ และอนุมัติให้ฟาร์ม โค - กระบือ ของประเทศไทย จำานวน 14 ฟาร์ม สามารถส่งออก โคเนื้อไปยังเวียดนามได้ถึง 7,000 ตัว นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกÉตร และสหกร³์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีปล่อยคาราวานโคเนื้อ ไปสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมี นายสัตวแพทย์ประภาส ภิญโญชีพ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ผู้บริหารกรมปศุสัตว์ หัวหน้า นายประภัตร โพธสุธน สัตว์เศรษฐกิจ 45 ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์ ผู้ประกอบการ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเวียดนามแล้ว เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ขณะที่ นายสัตวแพทย์ประภาส ภิญโญชีพ รองอธิบดีกรม ปศุสัตว์ พร้อมด้วย นายสัตวแพทย์วีระสันติ ประทุมพล ปศุสัตว์ เขต 4 นายสัตวแพทย์สามารถ อ่อนสองชั้น ปศุสัตว์จังหวัดนครพนม นายสัตวแพทย์ต่อพงศ์ ประเสริฐสังข์ ปศุสัตว์จังหวัดมุกดาหาร นายไพศาล พัฒนเดชกุล หัวหน้าด่านกักกันสัตว์นครพนม และ เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบคัดกรองโคเนื้อ สายพันธุ์ชาโรเล่ กว่า 180 ตัว คิดมูลค่ารวมเป็นเงินเกือบ 20 ล้านบาท เพื่อนำาโค ทั้งหมดส่งออกผ่านด่านชายแดน จ.นครพนม ส่งต่อไปยังปลายทาง คือประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นโคเนื้อพันธุ์ชาโรเล่ที่ผ่านมาตรฐานการ เลี้ยงของเกษตรกร จากฟาร์มในจังหวัดสุพรรณบุรี ควบคุมโดยกรม ปศุสัตว์ ที่กำากับดูแล ส่งเสริมให้เกษตรกรไทย เลี้ยงโคเนื้อส่งออก ร่วมกับพ่อค้าเอกชนที่เข้าร่วมโครงการส่งออกโคเนื้อกระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า เพิ่มมูลค่าการส่งออก สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเลี้ยงโคเนื้อ มากยิ่งขึ้น ในครั้งนี้ถือเป็นการส่งออกล็อตแรกในรอบปี เนื่องจากอดีตผ่าน มาทางประเทศเวียดนาม ขึ้นแบล็คลิสต์สั่งแบนโคเนื้อจากไทย เพราะ มีการตรวจสอบพบสารเร่งเนื้อแดง ทำาให้การส่งออกชะงักไปนาน หลายเดือน ภายหลังกรมปศุสัตว์ ได้กำาชับเกษตรกร ส่งเสริมให้เลี้ยง โคเนื้อภายใต้มาตรฐานที่กำากับไว้ สร้างความเชื่อมั่นกับประเทศ ปลายทาง เพื่อให้เป็นสินค้าส่งออก เพิ่มมูลค่ารายได้ต่อเกษตรกร ผู้เลี้ยง และประสบความสำาเร็จ โคทุกตัวผ่านการตรวจสอบคัดกรอง ไม่มีสารเร่งเนื้อแดง และปลอดโรคติดต่อ ทำาให้สามารถส่งออกได้อีก ครั้ง ในล็อตแรกนี้คิดมูลค่าเป็นเงินเกือบ 20 ล้านบาท พร้อมเดิน หน้าส่งเสริมเลี้ยงโคเนื้อเพื่อส่งออก ตั้งเป้าเงินสะพัดปีละกว่า 1,000 ล้านบาท โดยโคพันธุ์ชาโรเล่ ได้รับการส่งเสริมเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี และได้มีการตรวจสอบคัดกรองโรคทุก ขั้นตอน ผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำาหนดไว้ ก่อนที่จะส่งข้าม ชายแดน จ.นครพนม ผ่านประเทศลาวไปยังเวียดนามต่อไป นายสัตวแพทย์ประภาส ภิญโญชีพ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิด เผยว่า ที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงประเทศเวียดนาม มีความ ต้องการโคเนื้อ จากเกษตรกรไทยสูงมาก เดือนละไม่ต่ำากว่า 1,000 ตัวที่นำาส่งออกผ่านจังหวัดชายแดนอีสาน ไปยังประเทศเวียดนาม เพราะถือว่าเป็นโคเนื้อที่มี คุณภาพมาตรฐานสูง ภายหลังเมื่อช่วงปี ที่ผ่านมาประสบปัญหา การส่งออกชะงัก เพราะโคเนื้อถูกแบนจาก เวียดนาม หลังมีการตรวจสอบพบมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยง ทำาให้กระทบเศรษฐกิจ รายได้ของเกษตรกรเลี้ยงโคเนื้อของไทยลดลง จึงขายได้เพียงในประเทศเท่านั้น ทางกรมปศุสัตว์ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มอบนโยบายให้หน่วยงาน ปศุสัตว์ทั่วประเทศ ลงพื้นที่ไปตรวจสอบดูแลเกษตรกร สร้างความ รู้ความเข้าใจในการเลี้ยง แก้ปัญหาสารปนเปื้อนเร่งเนื้อแดง ด้วย การนำาอาหารที่ผ่านการรับรองคุณภาพปลอดสารพิษไปเลี้ยงโคขุน จนเกษตรกรเกิดความรู้ความเข้าใจ พร้อมสร้างความร่วมมือกับกลุ่ม นายทุนเอกชน ที่เข้าร่วมโครงการรับซื้อโคเนื้อส่งออก ปัจจุบันมี นายทุนเอกชนทั่วประเทศ จำานวน 14 ราย ที่มาขอร่วมส่งออก โคเนื้อผ่านกรมปศุสัตว์รับรองมาตรฐาน ก่อนส่งออกมีการกักโคเนื้อ เป็นเวลาประมาณ 30 วัน และตรวจคัดกรองโรค รวมถึงตรวจสาร ปนเปื้อนเร่งเนื้อแดง จากปัสสาวะของโคเนื้อ ที่สาสามารถตรวจสอบ ได้ทันที เมื่อตรวจผ่านมาตรฐาน พอถึงกำาหนดจึงทำาการส่งออก ก่อนหน้านี้ได้มีการเจรจากับทางผู้รับซื้อทางประเทศเวียดนาม อีกครั้ง โดยให้ความมั่นใจว่าโคเนื้อเมื่อถึงมือผู้บริโภคปลอดสารเร่ง เนื้อแดง 100 เปอร์เซ็นต์ การเจรจาถือว่าประสบผลสำาเร็จสำาเร็จ สามารถส่งออกได้อีกครั้ง ถือเป็นล็อตแรกที่ชายแดน จ.นครพนม จำานวน 180 ตัว ที่นำามาจากกลุ่มโคเนื้อ จ.สุพรรณบุรี และเมื่อมา ถึงนครพนมประตูส่งออกได้นำาปัสสาวะโคมาตรวจสอบคัดกรองอีกครั้ง ตามกระบวนการ ก่อนที่จะนำาเอกสารยืนยันต่อศุลกากร อนุญาต ให้รถบรรทุกโคผ่านสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 3 (นครพนมคำาม่วน) ไปยังประเทศเวียดนามตามลำาดับ สำาหรับโคเนื้อส่วนใหญ่ ผู้ส่งออกจะมีการคัดเลือกโคเนื้อพร้อม ขุน น้ำาหนักประมาณ 300-400 กิโลกรัม ก่อนที่จะนำาไปเลี้ยงขุน ใน ระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน ให้ได้น้ำาหนักประมาณ 600-700 กิโลกรัม เฉลี่ยราคากิโลกรัมละ 100-150 บาท รวมมูลค่าประมาณ ตัวละ 70,000-80,000 บาท ในล็อตแรกของปีนี้ได้เจรจาส่งออก จำานวน 180 ตัว มูลค่าเกือบ 20 ล้านบาท เป็นการสร้างความ มั่นใจให้กับผู้รับซื้อของประเทศเวียดนาม ยืนยันโคเนื้อไทย ได้ มาตรฐานเนื้อปลอดภัย พร้อมมีการประชาสัมพันธ์ให้กับพี่น้อง เกษตรกร ทำาความเข้าใจดูแลเลี้ยงให้มีมาตรฐาน ตามคำาแนะนำาของ กรมปศุสัตว์ เป็นการเพิ่มมูลค่า สร้างอาชีพสร้างรายได้ เนื่องจาก ประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเวียดนามมีความต้องการโคเนื้อไทยจำานวน ไม่อั้น ทางกรมปศุสัตว์ตั้งเป้าจะต้องส่งออกโคเนื้อสร้างเงินสะพัดปีละ ไม่ต่ำากว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประเทศคู่ค้า ในด้านมาตรฐานและคุณภาพของโคเนื้อไทย ภายใต้สโลแกนโคเนื้อ ไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก...


46 สัตวเศรษฐกิจ เบทาโกร… ชู Intelligent Business Solutions เพ�่อความสําเร็จรวมกับคูคา ºÃÔÉÑ· ືÒâ¡Ã ¨íÒ¡Ñ´ (ÁËÒª¹) ËÃ×Í “BTG” à´Ô¹Ë¹ŒÒ ʹѺʹع¼ÙŒ»ÃСͺ¡ÒÃÍÒËÒà ªÙ¨Ø´à´‹¹ “Intelligent Business Solutions” ครบวงจร ตั้งแต่การส่งมอบผลิตภัณฑ์โปรตีนคุณภาพที่ เหมาะกับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ พร้อมให้คำาแนะนำาด้านการบริหารจัดการ ธุรกิจ การขยายธุรกิจ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่าง มีประสิทธิภาพ ตอกย้ำาจุดยืนเบทาโกรพร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดทางธุรกิจ เพื่อความสำาเร็จและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน นายäตรรัตน์ ทอง»ลอด »รиานเจ้าหน้าที่»¯ิบัติการ กลØ‹ม ¸Øรกิจโ»รตีน เบทาโกร เปิดเผยว่า เบทาโกรมีความมุ่งมั่นที่จะส่ง มอบอาหารที่มีคุณภาพมากกว่า ปลอดภัยสูงกว่า ในราคาที่เป็นธรรม และเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างผ่านช่องทางต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ การส่งมอบผ่านผู้ประกอบการอาหาร ที่เบทาโกรพร้อมเป็น “เพื่อน คู่คิดธุรกิจ” ด้วยการนำาเสนอ “Intelligent Business Solutions” โดยทีม BETAGRO CRM เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการอาหาร เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยนำาองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และ บริการของเบทาโกร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ 1) การให้คำาแนะนำาพร้อม ส่งมอบวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์โปรตีนและอาหารคุณภาพ หลากหลาย (Smart Product Solutions) เพื่อสร้างสรรค์เมนูอาหารที่โดดเด่น แตกต่าง พร้อมความอร่อย 2) การให้คำาแนะนำาด้านการบริหาร จัดการ การดำาเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความ สามารถในการดำาเนินธุรกิจ (Smart Operation Solutions) และ 3) การให้คำาแนะนำา พร้อมเป็นที่ปรึกษาด้านการขยายธุรกิจอย่างมี ประสิทธิภาพ สร้างโอกาสการต่อยอดธุรกิจอย่างยั่งยืน (Business Expansion Solutions) ป˜จจุบันเบทาโกรมีคู่ค้าในกลุ่มธุรกิจ B2B มากกว่า 60,000 ราย และผู้ประกอบการอาหารมีโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน ออกไป โดยการทำางานเริ่มต้นจากการวางแผน และคัดเลือกลูกค้า ที่มีจุดประสงค์ในการดำาเนินธุรกิจเช่นเดียวกันกับเบทาโกร คือ ต้องการช่วยให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพมากขึ้น ปลอดภัย มากขึ้น ในราคาที่เป็นธรรม โดยจะร่วมรับฟ˜งแนวทางธุรกิจ ป˜ญหา หรือโอกาส และร่วมกันพัฒนาพร้อมกับการทำางานร่วมกันอย่างเป็น หนึ่งเดียว ´ŒÒ¹ นายÀเดช กันตจินดา กรรมการบริหาร ร้านนิตยา äก‹ย‹าง เผยว่า “เบทาโกรนอกจากจะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพ แล้ว ยังเป็นเพื่อนคู่คิดธุรกิจในทุกมิติอย่างแท้จริง ทีม BRTAGRO LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


46 สัตวเศรษฐกิจ เบทาโกร… ชู Intelligent Business Solutions เพ�่อความสําเร็จรวมกับคูคา ºÃÔÉÑ· ືÒâ¡Ã ¨íÒ¡Ñ´ (ÁËÒª¹) ËÃ×Í “BTG” à´Ô¹Ë¹ŒÒ ʹѺʹع¼ÙŒ»ÃСͺ¡ÒÃÍÒËÒà ªÙ¨Ø´à´‹¹ “Intelligent Business Solutions” ครบวงจร ตั้งแต่การส่งมอบผลิตภัณฑ์โปรตีนคุณภาพที่ เหมาะกับกลุ่มลูกค้าธุรกิจ พร้อมให้คำาแนะนำาด้านการบริหารจัดการ ธุรกิจ การขยายธุรกิจ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่าง มีประสิทธิภาพ ตอกย้ำาจุดยืนเบทาโกรพร้อมเป็นเพื่อนคู่คิดทางธุรกิจ เพื่อความสำาเร็จและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน นายäตรรัตน์ ทอง»ลอด »รиานเจ้าหน้าที่»¯ิบัติการ กลØ‹ม ¸Øรกิจโ»รตีน เบทาโกร เปิดเผยว่า เบทาโกรมีความมุ่งมั่นที่จะส่ง มอบอาหารที่มีคุณภาพมากกว่า ปลอดภัยสูงกว่า ในราคาที่เป็นธรรม และเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างผ่านช่องทางต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ การส่งมอบผ่านผู้ประกอบการอาหาร ที่เบทาโกรพร้อมเป็น “เพื่อน คู่คิดธุรกิจ” ด้วยการนำาเสนอ “Intelligent Business Solutions” โดยทีม BETAGRO CRM เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการอาหาร เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยนำาองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และ บริการของเบทาโกร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ 1) การให้คำาแนะนำาพร้อม ส่งมอบวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์โปรตีนและอาหารคุณภาพ หลากหลาย (Smart Product Solutions) เพื่อสร้างสรรค์เมนูอาหารที่โดดเด่น แตกต่าง พร้อมความอร่อย 2) การให้คำาแนะนำาด้านการบริหาร จัดการ การดำาเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มขีดความ สามารถในการดำาเนินธุรกิจ (Smart Operation Solutions) และ 3) การให้คำาแนะนำา พร้อมเป็นที่ปรึกษาด้านการขยายธุรกิจอย่างมี ประสิทธิภาพ สร้างโอกาสการต่อยอดธุรกิจอย่างยั่งยืน (Business Expansion Solutions) ป˜จจุบันเบทาโกรมีคู่ค้าในกลุ่มธุรกิจ B2B มากกว่า 60,000 ราย และผู้ประกอบการอาหารมีโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน ออกไป โดยการทำางานเริ่มต้นจากการวางแผน และคัดเลือกลูกค้า ที่มีจุดประสงค์ในการดำาเนินธุรกิจเช่นเดียวกันกับเบทาโกร คือ ต้องการช่วยให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพมากขึ้น ปลอดภัย มากขึ้น ในราคาที่เป็นธรรม โดยจะร่วมรับฟ˜งแนวทางธุรกิจ ป˜ญหา หรือโอกาส และร่วมกันพัฒนาพร้อมกับการทำางานร่วมกันอย่างเป็น หนึ่งเดียว ´ŒÒ¹ นายÀเดช กันตจินดา กรรมการบริหาร ร้านนิตยา äก‹ย‹าง เผยว่า “เบทาโกรนอกจากจะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพ แล้ว ยังเป็นเพื่อนคู่คิดธุรกิจในทุกมิติอย่างแท้จริง ทีม BRTAGRO LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE สัตว์เศรษฐกิจ 47 ด้วยกันอย่างยั่งยืน และยังตอกย้ำาจุดประสงค์และความเชื่อของเบทา โกรในการยกระดับอุตสาหกรรมอาหารเพื่อชีวิตที่ยั่งยืนสำาหรับทุกคน เกี่ยวกับบริษัท เบทาโกร จำากัด (มหาชน) เบทาโกร ผู้ประกอบธุรกิจอาหารและเกษตรอุตสาหกรรม ชั้นนำาระดับสากล ดำาเนินธุรกิจเพื่อส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพมากกว่า ความปลอดภัยสูงกว่า ในราคาที่เป็นธรรม เพื่อชีวิตที่ยั่งยืน ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตและจำาหน่ายอาหารสัตว์ เวชภัณฑ์และ สารเสริมสำาหรับสัตว์ ปศุสัตว์ ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่ อาหารแปรรูปที่เกี่ยวข้อง และอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงการจัด จำาหน่ายอุปกรณ์ฟาร์ม และการดำาเนินงานด้านการค้นคว้าวิจัยและ พัฒนาที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งสู่การเติบโตภายใต้ ‘World-Class Branded Food Company’ ที่มีผลิตภัณฑ์และบริการครอบคลุม ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเพาะเลี้ยงและ จำาหน่ายพ่อแม่พันธุ์สัตว์ การทำาฟาร์มเชิงพาณิชย์ การชำาแหละและ แปรรูปเนื้อสัตว์ ไปจนถึงการขาย โรงงานผลิตและแปรรูปอาหารที่ มีมาตรฐานสูงและมีประสิทธิภาพ รวมถึงการวิจัยและพัฒนา อีกทั้ง ยังเน้นการติดตามและควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ ภายใต้ระบบการจัดการคุณภาพเบทาโกร (Betagro Quality Management - BQM) รวมถึงมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ขั้นสูงที่ได้การรับรองและเป็นที่ยอมรับ ตามมาตรฐาน สากล CRM ได้เข้ามาช่วยวางแผนพัฒนา และยกระดับการจัดการครัวกลาง ให้เป็นระบบ มีมาตรฐาน โดยเปิดมุมมองเพื่อให้ร้านนิตยาไก่ย่างมอง เห็นโอกาสการเติบโตที่เพิ่มขึ้น ด้วยการให้เราจัดลำาดับในการปรับปรุง และพัฒนาร้านได้อย่างตรงจุดสอดคล้องทิศทางการเติบโต พร้อมกับ แนะนำาให้ผู้บริหารตั้งโจทย์และเป้าหมายในการปรับปรุงระบบการ ทำางาน” ขณะที่ นายวรวิทย์ เกียรติพงษ์เลิศ เจ้าของร้านหมูแดง แสงทอง กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของร้านหมูแดงแสงทอง มีหน้าร้าน อยู่ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยเมนูซิกเนเจอร์ ได้แก่ หมูกรอบ หมูแดง และการเข้าร่วมเป็นคู่ค้าพันธมิตรกับเบทาโกร เพราะมอง ว่าหัวใจของความอร่อยคือ การใช้วัตถุดิบหรือเนื้อหมูที่มีคุณภาพดี ที่สุด นอกจากนี้ เบทาโกรยังมีโซลูชันต่างๆ ที่สนับสนุนให้ธุรกิจ เติบโต ล่าสุดทีม BETAGRO CRM และทีมขาย ต่อยอดธุรกิจโดย การให้คำาแนะนำาการขยายช่องทางจัดจำาหน่ายผ่านระบบแฟรนไชส์ (Master Franchise Development) เริ่มตั้งแต่การขยายช่องทางจัด จำาหน่ายผ่านระบบตู้กับข้าวชุมชน การสร้างช่องทางจัดจำาหน่ายรูป แบบคีออส การขยายสู่ช่องทางแคนทีน และการจัดจำาหน่ายผ่านร้าน หมูแดงแสงทองขนาดกลาง-ใหญ่ อีกทั้งยังช่วยแนะนำาและสนับสนุน ลูกค้าด้วยการนำาสินค้ามากระจายผ่านช่องทางของเบทาโกร ได้แก่ ร้าน BETAGRO SHOP และ BETAGRO Deli ทำาให้ร้านหมูแดง แสงทองสามารถขยายช่องทางจัดจำาหน่ายใหม่ได้อย่างครอบคลุม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เบทาโกรพร้อมยืนหยัดเป็นเพื่อน คู่คิดธุรกิจของผู้ประกอบการอาหาร เพื่อความสำาเร็จและเติบโตไป ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์


48 สัตวเศรษฐกิจ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ของสหประชาชาติ ประมาณการว่ามีโอกาส 60% ที่จะเกิดปราก¯การณ์ ‘เอลนีโญ’ ภายในสิ้นเดือนกรก®าคม และมีโอกาสถึง 80% ที่จะเกิดในช่วง สิ้นเดือนกันยายน ทำาให้ปีนี้ความรุนแรงของวิกฤติแล้งและฝนแล้ง อาจเพิ่มขึ้น ‘เอลนีโญ’ เป็นปราก®การณ์ที่ชี้วัดถึงความแห้งแล้ง เพราะจะ ทำาให้ปริมาณน้ำาฝนมีแนวโน้มว่าจะต่ำากว่าปกติ ขณะเดียวกัน อากาÈ จะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ พูดง่ายæ คือ “ทั้งแล้งและร้อน” สำาหรับ ประเทÈไทย กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าฤดูฝนของไทยปีนี้จะมาช้า กว่าปกติ โดยปริมาณฝนรวมของทั้งประเทÈในช่วงฤดูฝนปีนี้ จะน้อย กว่าค่าเฉลี่ยปกติ ประมาณ 5% และน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เรื่องนี้ จำาเป็นอย่างยิ่งที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่รั°บาล องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นไปจนถึงเกษตรกร ต้องเร่งวางแผนรับมือโดยเร็ว ที่สุด หนึ่งในตัวอย่างของเกษตรกรที่มีการบริหารจัดการในเรื่องนี้ อย่างมีประสิทธิภาพ ทำาให้ผ่านพ้นวิกฤติแล้งมาโดยตลอด คือ »ÃÕªÒ เÈรษ°โภคิน อายุ 77 ปี เจ้าของ “สวนส้มโอสระแก้ว” ที่ได้เริ่มต้น อาชีพการปลูกส้มโอ บนพื้นที่ 200 ไร่ ที่ ต.บ้านแก้ง อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว พร้อมกับเริ่มใช้น้ำาปุ๋ยจากฟาร์มสุกรปราจีนบุรี 2 ใน โครงการ “ปันน้ำาปุ๋ยสู่เกษตรกร” ของบริษัท เจริญโภคภัณ±์อาหาร จำากัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มาตั้งแต่ปี 2548 หรือเมื่อ 18 ปีที่ แล้ว นับจากเริ่มปลูกส้มโอต้นแรก เรียกได้ว่าเป็นเกษตรกรต้นแบบ ที่เข้าร่วมโครงการปันน้ำาปุ๋ยฯ เป็นรุ่นแรกæ ปรีชา เล่าว่า ส้มโอทองดี เป็นส้มโอไร้เมล็ดที่ได้รับการพั²นา พันธุ์โดยเครือเจริญโภคภัณ±์ ส้มโอก็เหมือนพืชชนิดอื่นæ ที่ต้องการ น้ำา เพราะน้ำาเป็นปัจจัยสำาคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสง และเป็น ตัวละลายให้ธาตุอาหารพืชในดินอยู่ในรูปที่พืชสามารถใช้ประโยชน์ ดังนั้นเกษตรกรต้องให้ความสำาคัญในการจัดเตรียมน้ำา ให้เพียงพอกับ ความต้องการของต้นพืช อย่างเช่นที่สวนนี้ส้มโอสระแก้วใช้แนวทาง เกษตรทฤษ®ีใหม่ โดยจัดสรรพื้นที่กักเก็บน้ำา 24 ไร่ เก็บน้ำาได้ ประมาณ 2 แสนตัน สำาหรับใช้รวมกับน้ำาปุ๋ยจากฟาร์มหมู ซึ่งเพียง พอกับการให้น้ำา 6 เดือน ช่วงไหนที่เกิดฝนทิ้งช่วงก็สามารถดึงน้ำา ส่วนนี้มาใช้ได้ เป็นการลดความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้ง พร้อมทั้งมี การเก็บสถิติตัวเลขน้ำาฝนทุกปีเพื่อวางแผนการใช้น้ำาที่เหมาะสม “ฟาร์มหมูคือโรงปุ๋ยของสวนส้มโอ เพราะหมูที่เลี้ยงในฟาร์มกิน อาหารเหมือนคน มีทั้งข้าวโพด ปลาป†น กากถั่ว แร่ธาตุ วิตามิน ตามไปดูเกษตรกร ได “นํ้าปุย” จากซีพ�เอฟ ชวยกาวผานว�กฤติแลงตลอด 20 ป LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE


48 สัตวเศรษฐกิจ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ของสหประชาชาติ ประมาณการว่ามีโอกาส 60% ที่จะเกิดปราก¯การณ์ ‘เอลนีโญ’ ภายในสิ้นเดือนกรก®าคม และมีโอกาสถึง 80% ที่จะเกิดในช่วง สิ้นเดือนกันยายน ทำาให้ปีนี้ความรุนแรงของวิกฤติแล้งและฝนแล้ง อาจเพิ่มขึ้น ‘เอลนีโญ’ เป็นปราก®การณ์ที่ชี้วัดถึงความแห้งแล้ง เพราะจะ ทำาให้ปริมาณน้ำาฝนมีแนวโน้มว่าจะต่ำากว่าปกติ ขณะเดียวกัน อากาÈ จะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ พูดง่ายæ คือ “ทั้งแล้งและร้อน” สำาหรับ ประเทÈไทย กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าฤดูฝนของไทยปีนี้จะมาช้า กว่าปกติ โดยปริมาณฝนรวมของทั้งประเทÈในช่วงฤดูฝนปีนี้ จะน้อย กว่าค่าเฉลี่ยปกติ ประมาณ 5% และน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เรื่องนี้ จำาเป็นอย่างยิ่งที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่รั°บาล องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นไปจนถึงเกษตรกร ต้องเร่งวางแผนรับมือโดยเร็ว ที่สุด หนึ่งในตัวอย่างของเกษตรกรที่มีการบริหารจัดการในเรื่องนี้ อย่างมีประสิทธิภาพ ทำาให้ผ่านพ้นวิกฤติแล้งมาโดยตลอด คือ »ÃÕªÒ เÈรษ°โภคิน อายุ 77 ปี เจ้าของ “สวนส้มโอสระแก้ว” ที่ได้เริ่มต้น อาชีพการปลูกส้มโอ บนพื้นที่ 200 ไร่ ที่ ต.บ้านแก้ง อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว พร้อมกับเริ่มใช้น้ำาปุ๋ยจากฟาร์มสุกรปราจีนบุรี 2 ใน โครงการ “ปันน้ำาปุ๋ยสู่เกษตรกร” ของบริษัท เจริญโภคภัณ±์อาหาร จำากัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มาตั้งแต่ปี 2548 หรือเมื่อ 18 ปีที่ แล้ว นับจากเริ่มปลูกส้มโอต้นแรก เรียกได้ว่าเป็นเกษตรกรต้นแบบ ที่เข้าร่วมโครงการปันน้ำาปุ๋ยฯ เป็นรุ่นแรกæ ปรีชา เล่าว่า ส้มโอทองดี เป็นส้มโอไร้เมล็ดที่ได้รับการพั²นา พันธุ์โดยเครือเจริญโภคภัณ±์ ส้มโอก็เหมือนพืชชนิดอื่นæ ที่ต้องการ น้ำา เพราะน้ำาเป็นปัจจัยสำาคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสง และเป็น ตัวละลายให้ธาตุอาหารพืชในดินอยู่ในรูปที่พืชสามารถใช้ประโยชน์ ดังนั้นเกษตรกรต้องให้ความสำาคัญในการจัดเตรียมน้ำา ให้เพียงพอกับ ความต้องการของต้นพืช อย่างเช่นที่สวนนี้ส้มโอสระแก้วใช้แนวทาง เกษตรทฤษ®ีใหม่ โดยจัดสรรพื้นที่กักเก็บน้ำา 24 ไร่ เก็บน้ำาได้ ประมาณ 2 แสนตัน สำาหรับใช้รวมกับน้ำาปุ๋ยจากฟาร์มหมู ซึ่งเพียง พอกับการให้น้ำา 6 เดือน ช่วงไหนที่เกิดฝนทิ้งช่วงก็สามารถดึงน้ำา ส่วนนี้มาใช้ได้ เป็นการลดความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้ง พร้อมทั้งมี การเก็บสถิติตัวเลขน้ำาฝนทุกปีเพื่อวางแผนการใช้น้ำาที่เหมาะสม “ฟาร์มหมูคือโรงปุ๋ยของสวนส้มโอ เพราะหมูที่เลี้ยงในฟาร์มกิน อาหารเหมือนคน มีทั้งข้าวโพด ปลาป†น กากถั่ว แร่ธาตุ วิตามิน ตามไปดูเกษตรกร ได “นํ้าปุย” จากซีพ�เอฟ ชวยกาวผานว�กฤติแลงตลอด 20 ป LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE สัตว์เศรษฐกิจ 49 ลิตรต่อต้น เท่ากับใช้น้ำาปุ๋ยทั้งหมด 4,000 ลิตรต่อต้นต่อปี เมื่อถึง ฤดูฝนก็ให้น้ำาฝนเลี้ยงต้นไม้ ต้นไม้ได้ทั้งน้ำาและปุ๋ยที่เพียงพอ จึง สมบูรณ์และให้ลูกดก ผลผลิตดี ปัจจุบันที่สวนส้มโอให้ผลผลิต ประมาณ 250 ลูกต่อต้นต่อปี ถือว่าดีมาก และยังเคยได้ผลผลิตมาก ถึง 316 ลูกต่อต้นต่อปี เกษตรกรอีกรายที่บอกว่า ส่วนหนึ่งของความสำาเร็จในอาชีพ ต้องยกให้น้ำาปุ๋ยจากซีพีเอฟ คือ วรวิท แก้วสุนทร อายุ 56 ปี เกษตรกรผู้เพาะปลูกอ้อย 150 ไร่ ในอ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว ที่ได้รับการสนับสนุนน้ำาปุ๋ย จากโรงชำาแหละสุกรสระแก้ว มาตั้งแต่ ปี 2561 จากจุดเริ่มต้นเพราะมีปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ จึงปรึกษากับ ทางซีพีเอฟ เพื่อขอนำาน้ำาปุ๋ยในบ่อบำาบัดสุดท้ายมาใช้ เมื่อก่อนต้อง ใช้น้ำาสระในพื้นที่ โดยใช้เครื่องสูบน้ำาดึงน้ำามาใช้ เสียค่าใช้จ่ายซื้อ น้ำามันประมาณ 18 ลิตร สำาหรับปั่นเครื่องสูบน้ำา 2 วัน เฉลี่ยแล้ว ใช้เงินประมาณ 600 บาท เมื่อได้เข้าร่วมโครงการปันน้ำาปุ๋ยฯ ทาง บริษัทฯต่อท่อน้ำาออกมาเพื่อให้เกษตรกรสามารถเปิดใช้น้ำาได้ทันที จึงหมดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำาเลย ขณะเดียวกัน การน้ำาปุ๋ยมาใช้กับ ไร่อ้อย หลังจากตัดอ้อย และรถไถเกลาร่องเสร็จ ก็ปล่อยน้ำาปุ๋ยเข้าไป ขังเพื่อเตรียมดินให้ชุ่มชื้น ช่วยให้อ้อยแตกกอดี ลำาอ้อยโต เพิ่ม ผลผลิต จากปกติไร่ละ 10 ตัน เพิ่มเป็นไร่ละ 12 ตัน และยังช่วย ลดต้นทุนค่าปุ๋ย จากเดิมต้องใส่ปุ๋ยเคมีถึง 3 กระสอบต่อไร่ ตอนนี้ ลดการใช้เคมีเหลือเพียง 1 กระสอบต่อไร่เท่านั “ปีนี้แล้งมาก แต่เราได้น้ำาจากซีพีเอฟมาช่วย ในขณะที่พื้นที่ อื่นต้องเจอกับภัยแล้งแต่เราผ่านมาได้ตลอดทุกปีผลผลิตยังเพิ่มขึ้น ด้วย โครงการนี้จึงช่วยเกษตรกรให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก ทั้ง ต้นทุนค่าน้ำามันและค่าปุ๋ยเคมีเมื่อลงทุนน้อยลงกำาไรก็มากขึ้นตามไป ด้วย ขอบคุณซีพีเอฟที่จัดโครงการดีๆแบบนี้มาช่วยเหลือพี่น้อง เกษตรกร ที่ผ่านมามีคนมาขอคำาแนะนำามากมาย บอกว่าอยากได้น้ำา บ้าง ซึ่งบริษัทฯก็ยินดีปันน้ำาปุ๋ยให้ อยากให้ทำาโครงการนี้ต่อเนื่อง ตลอดไป” วรวิท กล่าว โครงการ “ปันน้ำาปุ๋ยสู่เกษตรกร” ช่วยสร้างประโยชน์แก่ เกษตรกรรอบฟาร์มและโรงงานของซีพีเอฟ ทั้งในแง่การแก้ปัญหา ภัยแล้งมานานกว่า 20 ปี และยังช่วยลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งร่วม ดูแลสิ่งแวดล้อมจากการที่เกษตรกรลดใช้ปุ๋ยเคมี และถือเป็นตัวอย่าง ความสำาเร็จของการบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำาในองค์กรของ ซีพีเอฟ ภายใต้หลักการ 3Rs ด้วยการลดปริมาณการใช้น้ำาดิบจาก ธรรมชาติ (reduce) นำาน้ำาที่ผ่านกระบวนการบำาบัดแล้วกลับมาใช้ ซ้ำา (reuse) และนำาน้ำากลับมาใช้ใหม่ (recycle) สะท้อนกระบวนการ ผลิตอาหารอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่าง แท้จริง... ซึ่งย่อยไม่ได้ทั้ง 100% ส่วนที่เหลือเข้าระบบไบโอแก๊ส หมักได้ก๊าซ มีเทน นำามาใช้ปั่นไฟสำาหรับฟาร์มหมู แต่ในน้ำาหลังการบำาบัดก็ยัง เหลือแร่ธาตุอยู่อีก 10-20% เราก็นำามาเลี้ยงส้มโอ ช่วยลดการใช้ปุ๋ย เคมีได้ถึง 30-40% ค่าปุ๋ยลดลงได้มาก และคุณภาพดินก็ดีขึ้น จาก แรกเริ่มดินมีสภาพเป็นกรด PH 3.5-4.5 ใช้เวลาปรับสภาพดินให้มี PH 5.5-6.5 ภายในระยะเวลา 4 ปีต้นพืชก็แข็งแรง โรคในพืชก็ น้อยลง นี่คือบทพิสูจน์ว่า พืชกับสัตว์ไปด้วยกันได้” ปรีชา กล่าวและ อธิบายว่า ฟาร์มมีบ่อพักน้ำา บริเวณหลังบ่อไบโอแก๊ส น้ำาที่ถูกหมักในระบบ ใช้เวลาประมาณเดือนครึ่งถึง 2 เดือน จะล้นออกมาทางท่อ ล้นเข้า บ่อพักน้ำา แล้วจึงใช้ปั๊มสูบน้ำาปุ๋ยมาเจือจางกับน้ำาฝนหรือน้ำาผิวดิน ทำาให้น้ำาปุ๋ยเจือจาง คล้ายกับการทำาน้ำาแกงให้ส้มโอ โดยใช้น้ำาปุ๋ย ประมาณ 20% ต่อการรดน้ำาช่วง 200 วันต่อปี ใช้น้ำาปุ๋ยวันละ 20 ข่าวสารและสาระสำาหรับวงการเลี้ยงสัตว์


50 สัตวเศรษฐกิจ Healthy Food Asia กระตุนลงทุนธุรกิจอาหารเพ�่อสุขภาพ LIVESTOCK PRODUCTION MAGAZINE ÊíÒËÃѺ¡ÒèѴ§Ò¹¤ÃÑé§áá¢Í§ Healthy Food Asia 2023 »ÃÐʺ¤ÇÒÁÊíÒàÃç¨ã¹°Ò¹Ð¡ÒÃÊÌҧàÇ·Õà¨Ã¨Ò¸ØÃ¡Ô¨ÊíÒËÃѺ ÍØµÊÒ¡ÃÃÁÍÒËÒÃà¾×èÍÊØ¢ÀÒ¾â´Â੾ÒзÑé§ã¹á§‹¢Í§¸ØÃ¡Ô¨áÅСÒà ẋ§»˜¹¢‹ÒÇÊÒâŒÍÁÙŨҡ¼ÙŒàªÕèÂǪÒÞã¹ÍصÊÒË¡ÃÃÁ ÀÒÂã¹§Ò¹ÁÕ ¼ÙŒ»ÃСͺ¡ÒÃÁÒ¡¡Ç‹Ò 50 áºÃ¹´ªÑé¹¹íÒ ¹íÒàʹͼÅÔµÀѳ±ãËÁ‹ Å‹ÒÊØ´ ÊíÒËÃѺ¼ÙŒ«×éÍ ¼ÙŒ¹íÒà¢ŒÒ ¼ÙŒ¤ŒÒÊ‹§ ¼ÙŒ¤ŒÒ»ÅÕ¡ ¼ÙŒ»ÃСͺ¡Ô¨¡Òà ÌҹÍÒËÒà âçáÃÁ ˌҧÊÃþÊÔ¹¤ŒÒ ʶҹÈÖ¡ÉÒ ÊÁÒ¤Á·Õèà¡ÕèÂÇ¢ŒÍ§ µÅÍ´¨¹ SME áÅÐ Startup ·Õèʹ㨡ŒÒÇࢌÒÁÒŧ·Ø¹ã¹¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒà â´Â์¹¡ÒÃà¾ÔèÁÁÙŤ‹Ò¨Ò¡Çѵ¶Ø´Ôºà¾×èÍÊØ¢ÀÒ¾·Õè¨Ò¡¼ÙŒ¼ÅÔµ¢Í§àÃÒ ÀÒÂã¹§Ò¹ ¾ÃŒÍÁ¡Ñº¡Ñº 22 ËÑÇ¢ŒÍÊÑÁÁ¹ÒµÅÍ´·Ñé§ÊͧÇѹ ¨Ò¡ 33 ÇÔ·Âҡ÷Ñ駪ÒÇä·ÂáÅе‹Ò§»ÃÐà·È ¾ÃŒÍÁ·Ñé§ÂѧÁÕ¡ÒÃÊÒ¸Ôµ ¡Ò÷íÒÍÒËÒÃà¾×èÍÊØ¢ÀÒ¾ Food Testing ¡ÒÃᢋ§¢Ñ¹ Start-up Pitching áÅÐ ¡Ô¨¡ÃÃÁ¨Ñº¤Ù‹à¨Ã¨Ò¸ØÃ¡Ô¨ (Business Matching) à¾×èͤŒ¹ËÒ¤Ù‹¤ŒÒãËÁ‹ áÅШش»ÃСÒÂäÍà´Õ·ҧ¸ØÃ¡Ô¨´ŒÇÂÇѵ¶Ø´Ôºà¾×èÍ ÊØ¢ÀÒ¾ ´ŒÇ¤íÒ»ÃÖ¡ÉÒ¨Ò¡¼ÙŒàªÕèÂǪÒÞ´ŒÒ¹ÍÒËÒÃẺà¨ÒÐÅÖ¡ ¡Ò÷‹Í§à·ÕèÂÇáË‹§»ÃÐà·Èä·Â ËÃ×Í ···. ¡Ãе،¹¡Òà ·‹Í§à·ÕèÂÇ ªÙ¤ÇÒÁÍØ´ÁÊÁºÙó¢Í§ÇѲ¹¸ÃÃÁ·Ò§ÍÒËÒÃä·Â ¼‹Ò¹ ¡Ò÷‹Í§à·ÕèÂÇàªÔ§ÍÒËÒÃãˌ໚¹ Soft Power ´Ö§´Ù´¹Ñ¡·‹Í§à·ÕèÂÇãËŒ ÁÒªÔÁ ¹ÒÂ¹Ô¸Õ ÊÕá¾Ã Ãͧ¼ÙŒÇ‹Ò¡ÒôŒÒ¹´Ô¨Ô·ÑÅ ÇԨѠáÅоѲ¹Ò ¡Ò÷‹Í§à·ÕèÂÇáË‹§»ÃÐà·Èä·Â ¡Å‹ÒÇÇ‹Ò “â¤Ã§¡Òà Soft Power Tourism Booster Shot ä´ŒÃǺÃÇÁËÅÒ¡Ԩ¡ÃÃÁ à¾×èÍ¡Ãе،¹¡Òà ·‹Í§à·ÕèÂǪ‹Ç§âūիѹ áÅÐ˹Öè§ã¹¹Ñé¹ ¤×Í ¡ÒêÙÍÒËÒÃä·Â ·ÕèÁÕ Çѵ¶Ø´Ôº ÃÊªÒµÔ áÅСÃкǹ¡ÒüÅÔµ·Õèâ´´à´‹¹¢Í§áµ‹ÅÐÀÙÁÔÀÒ¤ ª‹Ç¡ÃдѺ·‹Í§à·ÕèÂÇä·Â ãËŒ¹‹ÒÁÒàÂ×͹ª‹Ç§Ä´Ù½¹ ¾ÃŒÍÁªÔÁ ÍÒËÒÃä·ÂÃʪҵԶ١»Ò¡ ·Õ輋ҹÁÒ ÍÒËÒÃä·Â¢Ö鹪×èÍ áÅеԴÍѹ´Ñº âÅ¡ËÅÒÂàÁ¹Ù¨¹à»š¹·Õè¾Ù´¶Ö§ áÅÐÁչѡ·‹Í§à·ÕèÂÇËÅÒ¤¹äÁ‹¾ÅÒ´ÁÒ ÅÔéÁÅͧ” ã¹Ê‹Ç¹¢Í§ÀÒ¾¡Ò÷‹Í§à·ÕèÂÇÂѧÁÕ¡ÒÃÁØ‹§à¹Œ¹¡ÒâѺà¤Å×è͹ ¡ÒþѲ¹Ò»ÃÐà·Èä·Â´ŒÇÂâÁà´ÅàÈÃɰ¡Ô¨ BCG (BCG Model*) «Öè§»ÃСͺ´ŒÇ¡ÒþѲ¹ÒàÈÃɰ¡Ô¨ 3 ʋǹ·ÕèÁÕ¤ÇÒÁàª×èÍÁ⧡ѹ ¤×Í àÈÃɰ¡Ô¨ªÕÇÀÒ¾ (Bio Economy) - àÈÃɰ¡Ô¨ËÁعàÇÕ¹ (Circular Economy) - àÈÃɰ¡Ô¨ÊÕà¢ÕÂÇ (Green Economy) â´Â ¹íҨشá¢ç§¢Í§»ÃÐà·Èä·Â·ÕèÁÕ¤ÇÒÁËÅÒ¡ËÅÒ·ҧªÕÇÀÒ¾áÅÐ ÇѲ¹¸ÃÃÁÁÒµ‹ÍÂÍ´áÅСÃдѺÁÙŤ‹ÒÊÔ¹¤ŒÒáÅкÃÔ¡Òõ‹Íä» «Öè§ ¡ÒÃÊ¹ÑºÊ¹Ø¹ÍØµÊÒË¡ÃÃÁÍÒËÒÃ໚¹Íա˹Öè§¡ÅäÅÊíÒ¤ÑÞ·Õ誋Ç ¾Ñ²¹Ò¡Ò÷‹Í§à·ÕèÂǢͧ»ÃÐà·È ÃÒÂÅÐàÍÕ´à¾ÔèÁàµÔÁ µÔ´µÒÁä´Œ·Õè https://healthyfoodasia. com/ ËÃ×Íâ·Ã. 02-1116611 (ÇÕàÍç¹ÂÙ àÍàªÕ ừԿ¤) ແ´§Ò¹Í‹ҧ໚¹·Ò§¡ÒÃÊíÒËÃѺ Healthy Food Asia (àÎÅ·µÕé ¿Ù‡´ àÍàªÕÂ) §Ò¹ÊÑÁÁ¹ÒáÅЧҹà¨Ã¨Ò¸ØÃ¡Ô¨¤Ãͺ¤ÅØÁ ÍÒËÒÃà¾×èÍÊØ¢ÀÒ¾ ÍÒËÒÃÍÍÏ᡹ԡ ÍÒËÒÃÇÕ᡹ ÍÒËÒÃÁѧÊÇÔÃÑµÔ â»ÃµÕ¹·Ò§àÅ×Í¡ ÍÒËÒà Functional ÍÒËÒûÃÒȨҡÊÒÃ»ÃØ§áµ‹§ áÅкÃèØÀѳ± ¨Ñ´â´Â¤ÇÒÁËÇÁÁ×ÍÃÐËNjҧ ÇÕàÍç¹ÂÙ àÍàªÕ ừԿ¤ (¼ÙŒ¨Ñ´§Ò¹áÊ´§ÊÔ¹¤ŒÒã¹àÍàªÕÂ) ËÇÁ¡Ñº EBC Expo (¼ÙŒ¨Ñ´§Ò¹áÊ´§ ÊÔ¹¤ŒÒ´ŒÒ¹¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒÃà¾×èÍÊØ¢ÀÒ¾¨Ò¡ÂØâû) ¼ÊÒ¹¤ÇÒÁËÇÁÁ×Í ´Ñ¹§Ò¹ÊÑÁÁ¹Ò·Õèà¨ÒÐÅÖ¡¶Ö§ÀÒ¾ÃÇÁáÅÐá¹Ç⹌Á¢Í§¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒÃ㹠͹Ҥµ µÅÍ´¨¹à¼Â§Ò¹ÇÔ¨ÑÂãËÁ‹æ à¾×è͹íÒÁÒÊÙ‹¡ÒûÃѺÃٻẺ¸ØÃ¡Ô¨ ãËŒàËÁÒСѺäÅ¿ŠÊäµÅ¢Í§¤¹ã¹Âؤ»˜¨¨ØºÑ¹ Healthy Food Asia ä´ŒÃѺ¡ÒÃʹѺʹعÍ‹ҧ໚¹·Ò§¡Òà ¨Ò¡ ¡Ò÷‹Í§à·ÕèÂÇáË‹§»ÃÐà·Èä·Â áÅÐ àÍ¡ÃÒª·Ùµà¹à¸ÍÏᏴ »ÃШíÒ»ÃÐà·Èä·Â 㹰ҹлÃÐà·È¾Ñ¹¸ÁԵà â´Â¨Ñ´¢Öé¹ ÃÐËNjҧ Çѹ·Õè 5-6 ¡Ã¡®Ò¤Á 2566 ³ ÊÒÁ‹ҹÁԵ÷Òǹ ÎÍÅŏ ªÑé¹ 5 ÊÒÁ‹ҹÁԵ÷Òǹ ·Ñé§¹Õé ¹ÒÂ¹Ô¸Õ ÊÕá¾Ã Ãͧ¼ÙŒÇ‹Ò¡ÒôŒÒ¹´Ô¨Ô·ÑÅ ÇԨѠáÅоѲ¹Ò ¡Ò÷‹Í§à·ÕèÂÇáË‹§»ÃÐà·Èä·Â ãËŒà¡ÕÂõÔ໚¹ »Ãиҹແ´§Ò¹ “¤Ò´¡ÒóÇ‹Ò µÅÒ´¡ÒÃŧ·Ø¹¢Í§ÍÒËÒÃà¾×èÍÊØ¢ÀҾ㹷ÇÕ» ÂØâû㹻‚ 2024-2028 ¨ÐÁÕÍѵÃÒàµÔºâµÊÙ§¢Öé¹¶Ö§ 9.5% áÅШҡ¡Òà ÊíÒÃǨµÅÒ´¢Í§¼ÙŒ¼ÅÔµ¾ºÇ‹Ò àÍàªÕ¡íÒÅѧ໚¹ÀÙÁÔÀÒ¤·Õè¶Ù¡¨ÑºµÒÁͧ ¨Ò¡¹Ñ¡Å§·Ø¹¹Ò¹ÒªÒµÔ㹰ҹеÅÒ´ãËÁ‹·ÕèÁÕ¡íÒÅѧ«×éÍáÅФÇÒÁ µŒÍ§¡ÒÃÊÙ§ ¾ÄµÔ¡ÃÃÁ¡ÒÃ㪌ªÕÇÔµ¢Í§¤¹àÍàªÕ ÁÕÃٻẺ¡ÒúÃÔâÀ¤ ÍÒËÒ÷Õè¤ÅŒÒ¤ÅÖ§¡ÑºÍÒËÒÃÇÕ᡹ áÅÐÁѧÊÇÔÃѵԷÕèÁվת໚¹Ê‹Ç¹ »ÃСͺËÅÑ¡áÅÐ໚¹¼ÙŒ¼ÅÔµ·Ò§ÀÒ¤à¡ÉµÃªÑé¹á¹Ç˹ŒÒ¢Í§âÅ¡ àÍàªÕ¨֧໚¹µÅÒ´·ÕèÁÕÈÑ¡ÂÀÒ¾ÊÙ§ «Öè§§Ò¹ Healthy Food Asia ÊÒÁÒöàª×èÍÁâ§¼ÙŒ¼ÅÔµáÅмٌ«×éÍ䴌͋ҧŧµÑÇ” Mr.Ronald N.F. Holman, Expo Business Communications BV. ¡Å‹ÒÇ ¨Ò¡§Ò¹ÇԨѢͧ IMARC Group (2023) ¾ºÇ‹Ò á¹Ç⹌Á µÅÒ´ÍÒËÒÃ͹Ҥµ ËÃ×ÍÍÒËÒèҡ¾×ª·ÑèÇâÅ¡¨ÐÁÕÍѵÃÒ¡ÒÃàµÔºâµ 12.11% 㹪‹Ç§»‚ 2566-2571 (2023-2028) ã¹¢³Ð·Õè Forbes ¤Ò´¡ÒóÇ‹ÒµÅÒ´ Future Food ¢Í§âÅ¡¨ÐÁÕÁÙŤ‹Ò¶Ö§ 3.1 áʹ Ōҹ´ÍÅÅÒÏÊËÃѰ ã¹»‚ 2568 «Öè§ÁÕ¡ÒâÂÒµÑÇà¾ÔèÁ¢Öé¹¡Ç‹Ò 51% àÁ×èÍà·Õº¡Ñº»‚ 2563 ÊíÒËÃѺÁÙŤ‹Ò¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡ Future Food ¢Í§ä·Â »‚ 2564 ÁÕÁÙŤ‹Ò 115,490 ŌҹºÒ· à¾ÔèÁ¢Ö鹨ҡ»‚¡‹Í¹ 7% ¤Ô´à»š¹ÊѴʋǹ 10% ¢Í§¡ÒÃÊ‹§ÍÍ¡ÍÒËÒÃã¹ÀÒ¾ÃÇÁ áÅÐ àµÔºâµµ‹Íà¹×èͧ·Ø¡»‚” ÍÔ¡ÍÏ à¾Ò¡ŒÒ ¡ÃÃÁ¡Òüٌ¨Ñ´¡Òà ºÃÔÉÑ· ÇÕàÍç¹ÂÙ àÍàªÕ ừԿ¤ ¡Å‹ÒÇ “·Ò§¤³Ð¼ÙŒ¨Ñ´Ï ÁÕ¤ÇÒÁÂÔ¹´Õ Í‹ҧÂÔè§·Õèä´ŒÊÌҧàÇ·Õà¨Ã¨Ò¡ÒäŒÒÊíÒËÃѺ¸ØÃ¡Ô¨ÍÒËÒÃà¾×èÍÊØ¢ÀÒ¾ â´Â੾ÒÐ áÅÐ㹡ÒèѴ§Ò¹¤ÃÑé§áá ÁÕ¼ÙŒ«×é͡NjÒ˹Ö觾ѹÃÒ ŧ·ÐàºÕ¹ࢌÒËÇÁà¨Ã¨Ò¸ØÃ¡Ô¨ÀÒÂã¹§Ò¹


Click to View FlipBook Version