ประวัติดนตรตี ะวนั ตก
ยุคสมยั ในดนตรีตะวันตก
❖ Ancient Greek
❖ Roman
❖ Middle Age
❖ Renaissance
❖ Baroque
❖ Classic
❖ Romantic
❖ 20th century
❖ Contemporary Music
Ancient Greek (8th-6th B.C)
Ancient Greek หรอื ยุคกรกี โบราณเริ่มขึน้ ในประมาณยุคสมัย 800ปี-600ปี กอ่ นครศิ ตกาล
ประเพณวี ัฒนธรรมและวัฒนธรม โดยเฉพาะหลักปรัชชาของกรกี โบราณมีอิทธพิ ลมากตอ่ ชาวโรมัน ผู้
ซงึ่ นำเอาหลักปรัชชาไปเผยแพรใ่ นพืน้ ท่ี เมดเิ ตอรร์ ิเน่ียนและยโุ รป นั้นเปน็ เหตุผลหลกั วา่ ทำไม
หลักปรัชชา ประเพณี วฒั นธรรรมของกรีชโบราณจงึ ถอื ว่าเป็นรากฐานของวฒั นธรรมตะวันตกใน
ปัจจบุ ัน
นกั ปรชั ญาคนสำคัญของกรชี โบราณ
Socrates (469 B.C. - 399 B.C.)
Plato (428 B.C. - 348B.C.)
Aristotle ( 384 B.C. 322 B.C.)
มุมมองตอ่ ดนตรีของชาวกรชี โบราณ แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 ส่วน
- เปน็ วิทยาศาสตร์ในเชิงทฤษฏเี ปน็ สาขาของคณิตศาสตร์
- เปน็ ส่งิ ท่มี ีอิทธิพลตอ่ ผูค้ นสว่ นมาก
- เปน็ ศิลปะทีผ่ คู้ นสามารถเข้าใจ และ สนุกสนานไปด้วยได้
- เปน็ กจิ กรรมศันทนาการ ใช้ผอ่ นคลาย
-นกั ดนตรที ้ังหมดเป็นมอื สมัครเลน่ ยังไม่มีอาชีพนกั ดนตรี
Greek Music Theory
- ทฤษฏีพืน้ ฐานของดนตรกี รีก
- Tetrachord - กลุม่ ของโนต๊ 4 ตัวที่ไลล่ งจากเสียงสูงมาเสยี งต
-Tetrachord ในดนตรีกรกี แบง่ ได้เปน็ 3 ประเภท
-Diatonic , Chromatic , Enharmonic
Diatonic Tetrachord
-เป็นแบบ Normal Arrangement ของโนต้ 4 ตัว
-โนต้ ตัวแรกหรือตัวท่เี สียงสงู ทสี่ ุดจะสุงกวา่ โน้ตตวั ถดั ไป 2 semitone ตอ่ ด้วยโน้ต
ตวั ถัดไปทตี่ ่ำกวา่ อกี 2 semitone สว่ นโน้ตตวั สุดทา้ ยทเี่ สียงตำ่ ที่สดุ จะตำ่ กว่าโน๊
ตก่อนหนา้ 1 semitone ( T - T - S )
ถา้ นำโครงสร้างดังกล่าวมาสรา้ งเปน็ กลุ่มตวั โนต้ 4 ตัว กจ็ ะได้เป็นกล่มุ ตวั โน้ตดงั น้ี : E - D - C
-B
Chromatic Tetrachord
-คล้ายกบั แบบ Diatonic แต่ในแบบ Chromatic
คู่เสยี งระหวา่ งโนต้ ทีส่ งู ที่สดุ กบั โน๊ตถดั มาจะกว้างกว่าในแบบ Diatonic คือ
-คู่เสียงระหว่างโน้ต 2 ตวั แรกในแบบ Chromatic จะห่างกัน 3 semitone
ส่วนโน๊ตท่ีเหลือจะหา่ งกันแค่ 1 semitone
กลมุ่ โน๊ตในแบบ Chromatic จะเป็น E - C# - C – B
Enharmonic Tetrachord
-คเู่ สยี งสูงสุดในแบบ Enharmonic จะกว้างกว่าในแบบ Chromatic คือเป็น 4
semitone ตามดว้ ย 2 Quarter Tones และ 1 semitone เปน็ E - C - B# - B
- แต่ว่าในการแสดงโน๊ต C และ B# จะเลน่ ออกมาเปน็ เสยี งท่ไี ม่เทา่ กนั จงึ ทำใหอ้ อก
มาเปน็ เสียงแบบ Microtone
-ในทฤษฏีดนตรีกรกี เสยี ง C และ B# จงึ ไมใ่ ช้เสียงเดยี วกนั
Greater Perfect System
- ถ้าเราเอา Diatonic Tetrachord 2 อนั มาต่อกัน จะทำใหเ้ กิดเป็นฟอรม์ ของ scale
-E - D - C - B - A - G - F - E
- และถา้ เอา Scale 2 อันมาต่อกัน ก็จะไดเ้ ป็น Greater Perfect System
- A - G - F - E - D - C - B - A - G - F - E - D - C - B -A
Musical Instrument (เคร่อื งดนตร)ี
- ในสมัยกรีกโบราณจะนยิ มดนตรีทเ่ี ปน็ ดนตรีรอ้ งเป็นส่วนมาก
- เครอ่ื งดนตรที ่ีเปน็ เคร่อื ง Solo จะไม่ได้รบั ความนยิ ม
- แตถ่ ึงอยา่ งนนั้ เคร่อื งดนตรใี นสมยั นั้นกย็ งั ถกู มาใช้ประโยชน์ มเี ครอื่ งดนตรีอยู่
2 - 3 ชนิดทถี่ กู ใช้ในดนตรีกรกี
String : เครอ่ื งสาย
- เครอ่ื งดนตรีประเภทเครื่องสายในสมัยกรีกมอี ยู่ 2 ประเภท
- Lyra นิยมใชใ้ นหมนู่ ักดนตรีสมัครเล่น
- Kithara นยิ มใช้ในหมูม่ อื อาชีพ
- เคร่ืองดนตรที ั้งสองชนิดถกู ยมื มาจากชาวสุเมเรีย่ น
Wind Instrument
- เครอ่ื งเป่าท่สี ำคัญท่สี ุดในสมัยน้ันคือ Aulos
-เป็นเครื่องดนตรีลมไม้ (Woodwind) ประเภท ลิ้นคู่ (Double Reed)
- สว่ นเครื่องทองเหลอื ง (Brass) จะถกู ใช้ในพธิ ีการทางทหารและไมน่ ิยมเทา่ Aulos
- เครื่องดนตรที องเหลอื งในกรกี โบราณมี
- Salpinx มีลักษณะคล้าย straight trumpet
-Keras มีลกั ษณะคลา้ ย curved brass horn
- ในราว 300 ปีกอ่ นศริสตกาล Hydraulos (Hydor = Water, Autos = Pipe) ได้ถูก
ประดษิ ฐข์ ้นึ
- เปน็ Organ ในยคุ แรกๆ ลมจะถกู ควบคุมด้วยระดบั ของน้ำที่ถูกเตมิ ลงไป
- ส่วนเคร่ือง Percussion หรือ เคร่อื งกระทบ ก็มหี ลายชนดิ ท่ีใชใ้ นสมยั น้นั เช่น
Tympanon, Kymbala
ดนตรใี นยคุ กรชี โบราณ
- มีผลงานทางดนตรเี พียงประมาณ 15 ช้นิ ทีถ่ ูกคน้ พบและยังคงอยูถ่ ึงสมยั ปัจจบุ นั
- ผลงานทงั้ หมดทถ่ี ูกค้นพบเป็นชว่ งทา้ ยๆของยคุ กรีชโบราณ
First Delphic Hymns to Apollo (130 B.C.) by Anonymous
- เป็นผลงานท่ีไมส่ มบูรณเ์ พราะแผ่นหนิ จารึกผลงานไดถ้ ูกทำลายไปบางส่วนตาม
กาลเวลา
- เปน็ หลักฐานช้นิ สำคัญเพราะมีการบนั ทกึ โน๊ต (Notation) สำหรบั ร้องในสมัยน้นั
- น่าจะร้องโดยนกั บวช
Epitaph of Seikilos (2nd century B.C. or Later) by Anonymous
- ถูกคน้ พบบนหลมุ ฟังศพ ใกล้ Tralles ใน Asia Minor ในปี 1883
- เปน็ ผลงานเดยี วท่ียงั คงสมบรู ณค์ รบถ้วน ทกุ พยางค์
- เนอื้ หาเป็นการกลา่ วไว้อาลยั ใหผ้ ตู้ าย- ดนตรอี ยู่ในโหมด Phrygian
THE MIDDLE AGES 500-1400
ROME EMPIRE
Rome Empire หรืออณาจกั ร โรมนั ในช่วงเวลาประมาณ 200 ปีกอ่ นการประสตู ขิ อง
พระเยซูอณาจักรโรมนั ไดเ้ ตบิ โตขึ้นมากจนไดเ้ ขา้ มา ปกครองแทนทวี่ ฒั นธรรมกรีก โบราณ โดยการนำ
ของ อณาจกั รโรมนั มอี ทิ ธิพลหลายดา้ นแก่คนรุ่นหลัง เชน่ การทหาร, ทักษะด้านวิศวกรรม, และ
ระบบการปกครองสถาปตั ยกรรมของชาวโรมันถือ1ในสงิ่ มหัศจรรยข์ อง วฒั นธรรมตะวนั ตกบทละคร
หลายๆเรื่องจากยคุ โรมนั ยังคงถกู นำมาจัดการ แสดงในโรงเรยี นหลายๆโรงเรียนท่วั ทวปี ยโุ รปรวมถงึ
บทกลอนหรอื บทกวีละตนิ ยังคงถูกใช้สอนในวิชา ภาษาละตินในปัจจุบัน แตถ่ ้าพูดจากหลักฐานแลว้ ว่า
ดนตรขี องชาวโรมันเปน็ อยา่ งไร มีลักษณะเป็นแบบไหน น้นั คอ่ ยข้างพดู ยาก เพราะว่า ไมม่ ผี ลงาน
ทางดนตรี จากสมัยโรมันคงเหลอื อยู่จนถึงปัจจุบันนั้นอาจจะเปน็ เพราะดนตรีของชาวโรมนั ถกู
ถ่ายทอดตอ่ ๆกัน ไปแบบปากตอ่ ปาก ไมม่ กี ารบนั ทึกในรูปแบบทเ่ี ป็นการเขยี นนักประวัติศาสตรโ์ รมัน
ไดก้ ลา่ วดนตรใี นพิธกี รรมทางศาสนา การเฉลิมฉลองของชาวเมือง และ การแขง่ ขนั ทางด้านกีฬา
รวมถงึ เครื่องดนตรใี นสมัยนน้ั แต่ว่าเปน็ เครอื่ งดนตรที ีถ่ ูก เล่นอย่แู ล้วโดยชาวกรีก ไมว่ า่ จะเป็น Lyre
หรือ Kithara เครื่องดนตรชี นดิ เดียวทเ่ี รียกได้วา่ ถูกประดษิ ฐข์ น้ึ โดยชาวโรมนั คือ Trumpet ที่ชาว
โรมนั เรยี กว่า Tuba
นักเขียนหลายๆคนเช่ือวา่ ต้นกำเนิดของ Tuba มาจากชาวโรมนั ทอี่ าศัยอยู่ท่ที างตอนเหนือของ
อติ าลีลกั ษณะของ Tuba เปน็ เครื่องดนตรที ่ตี รงและยาว โดยมลี ำโพง อ ย่ตู รงปลาย ทำจากทองแดง
และเหลก็ จะถกู เลน่ ดว้ ย Mouthpiece ทีท่ ำจากกระดกู Tuba ถูกใช้ในหลายๆกรณี เช่น ใช้ส่ง
สัญญาณในสนามรบ เพราะเสยี งท่ดี ังฟังชัดของมัน จากน้ัน Tuba ไดถ้ กู พัฒนาเปน็ Trumpet และ
เป็นตน้ กำเนดิ ของ Trombone ในศตวรรษท่ี 14 Roman Tuba ท่ีถูกจัดแสดงอยูใ่ นคอแลคชัน่
เครอื ดนตรที ี่ Museum of Fine Arts, Boston
JERUSALEM AND THE RISE OF EARLY CHRISTEN MUSIC
พระเยซูและเหลา่ สาวกเป็นชาวยิว จงึ ไม่แปลกท่ีพธิ ีสวดในโบสถ์ ครสิ เตยี น จงึ คลา้ ยคลึงกบั โบสถข์ อง
ชาวยวิ ในเยลูซาเลม Liturgy เป็นคอลเลคช่นั หรือการจดั รวบรวมของบทสวดมนต์, Chants,
เรือ่ งเลา่ , และ พธิ ีกรรมทางศาสนา ที่ถกู จดั ทำขนึ้ โดยนัก เทววิทยา
Chant กค็ ือ ดนตรีแบบ Monophonic ท่ถี ูกรอ้ งในสถานท่ี ประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนา
Monophonic : คือดนตรีทมี่ แี นวเดียว เชน่ มแี ต่ทำนองหรอื เมโลด้ี โดยไมม่ แี นวประสาน หรือ
Harmony เล่นประกอบ
พิธีกรรมหรอื พิธีสวดแรกท่เี กดิ ข้ึนในโบสถ์คริสเตียนในเยรูซาเลมคือ พธิ ี เฉลมิ ฉลองและระลึกถงึ
“อาหารมอื้ สุดทา้ ย” หรือ “the Last Supper” เปน็ ประเพณกี ารทานอาหารเปน็ กลุ่มเล็กๆทม่ี ี
ขน้ึ ทวั่ ท้ังเมืองเฉลิมฉลองดว้ ยการดมื่ ไวน์ซ้งึ เปน็ ตัวแทนของเลอื ดของพระเยซู และ ขนมปงั เปน็
ตวั แทนของรา่ งกายของพระเยซูผู้นำในแตล่ ะกลุ่มจะทำหน้าทีใ่ นฐานะนกั บวช และจะเป็นผู้นำร้อง
เพลงpsalms และ จะอ่านบทความจากคมั ภรี ์ใบเบิล
Psalms คือ บทเพลงหรือบทกวีทเ่ี กย่ี วกบั ศาสนา ถกู รวบรวมไว้เป็นหนังสือ ทีเรยี กว่า Book of
Psalms แต่วา่ ในชว่ งแรกๆโบสถค์ ริสเตียนไมไ่ ดน้ ำบทเพลงมาจากโบสถข์ องชาวยวิ โดยตรง ถึงแมว้ ่า
พิธีกรรมต่างๆ ไมว่ า่ จะเป็น นกั บวช, การอ่านคมั ภีร์ไบเบิล, และ การร้องเพลง Psalm จะ
เหมือนกัน แต่ดนตรีของชาวยวิ และชาว คริสเตียนไดถ้ ูกพฒั นาแตต่ ่างกนั ไปนเี้ ป็นปัญหาท่คี อ่ นขา้ ง
ซบั ซอ้ นเพราะไมบ่ ันทึกขอ้ ความด้านดนตรจี ากยุคสมัย นหี้ ลงเหลอื จนถึงปญั จุบัน ไมว่ ่าจะเป็นดนตรี
ของชาวยิว หรือ ชาวครสิ เตรยี นข้อเทจ็ จรงิ คอื ไม่มีการค้นพบดนตรีของชาวยิวท่ีมกี ารบันทกึ เพลงที่มี
ระดับ เสียงทแี่ นน่ อนจนเม่ือปี 1700ดนตรีของชาวยิวไดถ้ กู ถา่ ยทอดต่อๆกนั ไปในแบบปากตอ่ ปาก
พธิ ีกรรมในชว่ งแรกๆของชาวครสิ เตยี นจะไม่ค่อยเปน็ ทางการ ไม่มลี ำดับพิธีการที่แน่นอนภาษาทใ่ี ช้
เปน็ ภาษากรีกซ่งึ ถือว่าเปน็ ภาษาราชการในสมัยนน้ั ดนตรีส่วนมากจะถกู เล่นในรูปแบบ Improvised
หรือ ถกู แสดงออกมาใหร้ ูปแบบทต่ี ่างกันไปตามสถานการณ์สำคญั นั้น ๆหมายความว่าในราวๆปี
ศตรวรรษท่ี 4 นกั บวชชาวครสิ เตียน รวมตวั กนั วนั ละ 3-4 ครงั้ เพอื่ ทำพิธีกรรมต่างๆการร้องใน
พิธีกรรมเหล่านจ้ี ะมีผู้ทีถ่ ูกเรยี กว่า“Cantor”บุคคลที่ไดฝ้ กึ ฝนมาเพ่ือเปน็ ผูน้ ำดา้ นดนตรขี องชุมชน
ในปี 312 Constantine จกั รพรรดโิ รมนั ได้เปล่ีนความเช่ือมา นบั ถอื ศาสนาคริสต์ จงึ ทำให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย รวมไปถงึ การส้นิ สุดการไลล่ ่าสังหารผูค้ นทนี่ บั ถือศาสนาคริสตน์ กั
ประวัตศิ าสตรไ์ ด้ประมาณวา่ มเี พียง10%ของประชาชนใน โรมนั ทีเ่ ปน็ คริสตศาสนิกชนในปี 300 แต่
ภายในปี
400 จำนวนคริสตศาสนิกชนไดเ้ พ่ิมเป็น 50%ถึงตอนนีศ้ าสนาคริสตไ์ ดเ้ ผยแพร่ไปอยา่ งกวา้ งขวางทว่ั
ทุกเมอื ง จะมีโบสถ์ครสิ เตียนตง้ั อยใู่ นแต่ละโบสถใ์ นแตล่ ะพ้ืนทก่ี ็จะพัฒนาบทสวดของตัวเองขนึ้ มา
เปน็ ของตวั เอง และจะมีชอ่ื เรียกตา่ งกันไปตามแตล่ ะพ้นื ที่ เชน่ Coptic Chant, Byzantine
Chant, Roman Chant, Gallican Chant
Gallican Chant มคี วามสำคัญอย่างมากในประวัติศาสตร์ ดนตรตี ะวนั ตกเพราะวา่ เป็นส่วนผสม
สำคญั ในการเกดิ รปู แบบของ Gregorian Chantในชว่ งศตรรรษท่ี 9 ถงึ 10 Chant ทางตอน
เหนอื จากโรมได้ ถูกผสมผสานกับ Gallican Chant จงึ ทำใหเ้ กดิ Grgorian Chant ซึ่งเปน็
Chant สำคญั ที่สดุ ในประวัตศิ าสตร์
GALLICAN CHANT
The Pontiffs Gathered จาก The Offertory of the Mass Collegerunt Ponifices
Medieval Music
Early Polyphony
ดนตรตี ะวันตกมีลักษณะท่โี ดดเดน่ อยา่ งหนง่ึ คอื “Polyphony” ดนตรีท่ีมมี ากกว่าหน่งึ
แนวถ้าจะเปรยี บเทยี บกบั ดนตรีของจนี อินเดยี หรอื ญป่ี ุ่น ดนตรีเหล่านี้มีความซับซอ้ นของเมโลดี้ มี
การใชเ้ ทคนคิ ทเ่ี รยี กว่า “Microtone” ซง่ึ จะไมม่ ใี นเมโลดี้ของดนตรตี ะวนั ตก หรือ ไม่ว่าจะ เป็น
จังหวะหรอื Rhythm ของดนตรีแอฟรกิ าที่มีความซับซ้อนอยา่ งมากแตถ่ า้ พดู ถงึ ดนตรที ี่ให้
ความสำคญั ของแนวเสียงหลายๆแนวทถี่ กู เล่นออกมาพร้อมๆกันแล้ว (Polyphony) ก็ต้องยกให้
ดนตรตี ะวันตก (Expressed ท้ังใน Harmony และ Counterpoint)
หลกั ฐานช้ินแรก Polyphony อย่ใู นโบสถ์ Benedictine ทางตะวันตก
เฉียงเหนอื ของเยอรมันนี ระบปุ ที ี่ 890 ปรากฏอยูใ่ นหนงั สอื ทฏษดีดนตรที ี่ช่ือวา่ Musica
Enchiriadis (Music Handbook) ทีไ่ ด้บรรยายลักษณะของเพลงแบบ Polyphony ทเ่ี รยี กว่า
Organum ไว้ วตั ถุประสงคข์ องผูเ้ ขียน Abbot Hoger (d. 906) คือไวใ้ ชส้ อนและพฒั นาการ
ร้องเพลงแบบ Gregorian Chant โดยการเพม่ิ หรือเติมโน๊ตรอบๆโนต๊ ที่มอี ยู่ในทำนองเดมิ
เพอื่ ท่ีจะทำให้ เกิดความงดงามมากข้นึ
Organum เกอื บทั้งหมดที่พบไดใ้ นหนังสอื Musica Enchiriadis เป็น Organum
แบบ Parallel Organum (Organum คู่เสียงชองแนวเสยี งทัง้ หมดเคลื่อนทข่ี น้ึ หรอื ลงไป
ทศิ ทางเดียวกนั และเปน็ ขั้นคเู่ สยี งเดยี วกันเสมอ) โดยจะมีแนวเสียงเพียงแคส่ องแนว เทา่ นั้นแนวเสียง
หนง่ึ จะถกู เรียกว่า Vox Principalis (Principal Voice) หรือ ทำนองที่มีอยู่แลว้ จาก Chant
อกี แนวเสยี งหน่ึงเรยี กว่า Vox Organalis (Organal Voice) เปน็ ทถี่ กู สร้างขนึ้ มา
ใหม่ เพิ่มท่ีจะเพิ่มเข้าไปใน Chant เดมิ
เสยี งระหว่างเสยี งสองแนวน้นั อยหู่ า่ งกนั คู่ Consonance เชน่ คู่ Octave, Fifth, และ Fourthใน
บางกรณแี นวเสยี งท้ังสองอาจจะถกู Double ในคู่ Octave ทส่ี งู กว่าหรือต่ำกวา่ ก็ได้
แต่ว่าการร้องแบบ parallel น้ันบอ่ ยครั้งจะทำใหเ้ กิดคู่เสยี งที่เป็น Dissonance Tri-Tone เชน่
เมื่อรอ้ งเสยี ง B และ F พรอ้ มกัน ผูเ้ ขยี นจึงใหแ้ นวเสียง Vox Organalis ร้องอยู่ทีโ่ นต๊ เดิมเพอ่ื
หลีกเล่ยี งการเกิด Dissonance Tri-Tone
Music in the Cathedral Close and University: Conductus and Motet
ดนตรี Polyphony รูปแบบใหม่ได้ถือกำเนิดข้ึน ดนตรีชนิดนีไ้ มไ่ ดย้ ึดติดอยูก่ บั
โบสถ์อีกต่อ ไป ใชเ้ ลน่ ในภายนอกโบสถ์ ที่โบสถห์ รอื วหิ ารทสี่ ำคญั ๆ (Cathedral) ทีบ่ ้าน หรอื
มหาวทิ ยาลยั ในปี 1215 พระสันตะปาปาไดร้ ับส่งั ให้มกี ารก่อตัง้ มหาวิทยาลัยขึ้น คือ เปน็ การรวบรวม
โรงเรียนทมี่ กี ารเปิดสอนวิชาของสาขาต่างๆให้มาอยู่ภายาใตก้ ารปกครองและจัดการดูแล ของผ้ดู ูแล
เพยี งผเู้ ดียว ในช่วงเวลานั้นมีจำนวนนักศกึ ษาเป็นจำนวนหนึ่งหมน่ื คนศกึ ษาอยู่ที่ university of
Paris ซงึ่ นับเป็นจำนวนหนงึ่ ในห้าของประชากรท้ังหมดในเมอื ง Paris มหาวทิ ยาลัยในสมัย
Medieval น้นั ต่างจากมหาวิทยาลยั ในสมยั นี้มาก นักศกึ ษาทง้ั หมด เปน็ ชาย ช่วงอายุประมาณ 14
- 22 ปี ผหู้ ญิงจะถกู จำกดั ใหศ้ กึ ษาได้เพียงแคท่ ี่บา้ น นกั ศึกษาต้องจ่ายเงนิ โดยตรงต่ออาจารยผ์ ้สู อน
ดงั นัน้ รายได้ของอาจารย์จึงขึ้นอยกู่ ับจำนวน นกั เรียนที่เรยี นสาขาวชิ านนั้ ๆการเรยี นการสอนน้ันจะใช้
เพียงเปน็ การบรรยายปากเปลา่ เท่านั้นโดยต้องอาศยั การท่องจำ เพยี งอย่างเดยี วหลังจากศกึ ษาครบ6
ปีนน้ั รวมไปถึง1เทอมที่จะตอ้ งเรียนวิชาพ้นื ฐานดนตรี นักเรียน สามารถเข้าทดสอบทีเ่ พือ่ ทีจ่ ะขอใบ
อนุญาติเปน็ ผู้สอนไดเ้ ลย ถา้ สอบผ่าน
Conductus เปน็ คำจากภาษาละตนิ แปลว่า to lead หรอื Elevate ซ่งึ แปลวา่ เพื่อ เป็นการนำ
หรือ ยกระดับข้ึน อาจจะแปลได้อีกอย่างว่า “Educate” Conductus จะถกู ต้องโดยนกั บวชผู้
เผยแพร่ศาสนาทจี่ ะตอ้ งเดินทางจากท่หี นึง่ ไปยังอีกท่ี หนึ่งเพลงประเภทนี้จะใช้ร้องเมอื่ มกี ารรวมตวั
กันของนักบวชเพื่อเป็นการเฉลมิ ฉลอง ไม่ได้เปน็ สว่ นหนึ่งของพธิ ีกรรมทางศาสนา Conductus ถกู
เขียนเปน็ ไดท้ ั้ง หน่งึ , สอง, สาม, หรอื สี่เสียงในบางกรณีน้ำเสยี งของเพลงจะค่อนขา้ งจรงิ จัง
เนื่อหาจะเกย่ี วข้องกบั ศีลธรรมแต่อยา่ งไรกต็ ามConductus ก็มคี วามเก่ยี วข้องกับ
วันครสิ มาส และ ฤดูกาลปีใหม่ตัวอย่างบทเพลงประเภทConductus
“Orientis paribus”เนื่อเพลงถกู เซ็ตใหเ้ ปน็ แบบ หน่ึงโนต๊ ตอ่ หนึง่ พยางค์ ทุกแนวเสยี งจะ
เปล่ียนทำรอ้ งไปพร้อมๆกนั ทำนองหลกั อยทู่ ีแ่ นว Tenor ถา้ จะเปรียบเทียบกับเพลงประเภท
Polyphony อื่นๆในยคุ Medieval แลว้ แนว Tenor น้ันจะเปน็ ทำนองมาจาก Chant ทีม่ ีอยู่
ก่อนแลว้ แตว่ ่าใน Conductus นัน้ แนว Tenor จะเปน็ เมโลดห้ี รือทำนองที่ถกู แต่งข้ึนมาใหม่
ทงั้ หมด Conductus ยังเป็น polyphonic music แบบแรกท่ี Composer หรือ ผปู้ ระพนั ธ์มอี ิสระ
ทจี่ ะ สร้างสรรค์แนวเสียงทุกๆแนวดว้ ยตัวเอง
สไตลข์ องConductus:ทกุ แนวเสยี งจะเคลอื่ นทีไ่ ปในระดับเสียงท่พี อๆกนั และจะสร้างconsonance
ในจงั หวะหนัก หรือ strong beat Orientis Partibus ได้รับความนิยมมากเพราะวา่ แนว Tenor
มที ำนองทีใ่ หเ้ สยี งแบบ Tonalมีศนู ยก์ ลางของเพลงหรือท่ีเราเรยี กว่า “คีย”์ หรือ “Key Center”
และอาจจะเป็นเพราะคณุ สมบตั ขิ องแนวTenorทีม่ ที ำนองเป็นแบบ Tonal ทำให้เพลงน้ยี งั คง
ปรากฏอย่ใู นหนงั สือหลายๆเล่มท่ีเกี่ยวข้องกับวนั คริสมาส ถายใตช้ อื่ “The Friendly Beast
Motet เกิดขึน้ ในสมยั Medieval ในกรุงปารสี ประมาณปี 1200 โดยใชว้ ธิ ีการ
เพิ่มหรอื เติม เน่ือรอ้ งใหม่เขา้ ไปในเน้อื ร้อง ทำนอง เดมิ ของ Chantแทนทท่ี กุ แนวเสยี งจะรอ้ งเนอ่ื
ร้องเดียวกนั ไปพรอ้ มๆกัน แนวเสียงบนจะถกู เติมด้วยเน่อื รอ้ งใหม่ Motet ในช่วงแรกๆนั้นจะใชภ้ าษา
ละตนิ อยา่ งน้อยสองแนว และ สามถึงสแ่ี นว ในกรณีที่ เปน็ Three- or Four- Voice Motet
ตอ่ มาภาษาฟรงั่ เศสไดถ้ กู เตมิ เข้ามาร้องไปพร้อมกบั ภาษาละติน Motetได้เขา้ มาแทนท่ี
Organum และ Conductus ในฐานะบทเพลงทไ่ี ดร้ บั ความนิยม จากผู้ประพนั ธ์
ถายในปี 1300 Motet ได้ถูกแตง่ ข้นึ ใหมป่ ระมาณหนงึ่ พันบท ในหนงั สอื รวบรวม Motet เพียงเลม่
เดียวก็บรรจุ motet ไวถ้ ึง 3
MUSIC THEORY OF THE ARE ANTIQUA AND ARS NOVA
ในยคุ กลางหรือ Middle Ages ผคู้ นไมไ่ ดม้ แี นวคิดหรือมุมมองเหมอื นคนในสมยั
นี้ พวกเขาเชื่อว่าดวงอาทิตยโ์ คจรรอบโลก, เยรซู าเลมเปน็ ศนู ย์กลางของโลก, และ โลกเพม่ิ มอี ายุ
เพยี งแค่ 7000 ปเี ทา่ น้นั ความเปน็ จริงของโลกถกู อธิบายโดยคมั ภรี ์ ไบเบิล ไมใ่ ช้วทิ ยาศาสตร์ วนั ปี
ใหมอ่ าจจะเปน็ ได้ทง้ั วันท่ี 1 มกราคม 25 พฤษภาคมหรอื วันอสี เตอร์ แล้วแต่ความเช่อื ของแต่ละ
ทอ้ งถ่นิ การคำนวนเวลา กย็ ังไม่แมน่ ยำ ไม่แน่นอน การคำนวนเวลาในสมยั นั้นถูกกำหนดโดย
ช่วงเวลาของ พิธกี รรมของทางโบสถ์ และถกู ประกาศไปยังผ้คู นด้วยวธิ กี ารส่ันระฆงั
ในราวปี 1300 สิง่ เหล่านไี้ ดเ้ ร่ิมเกิดการเปลยี่ นแปลง เมื่อได้มีการประดษิ ฐ์นาฬิกา,
ปนื ใหญ่, และ สิ่งประดิษฐอ์ ีกมากมายที่ต้องอาศยั การวัด การคำนวนที่แมน่ ยำของ เวลา, ความยาว
, พืน้ ท่ี, และ การวดั ระดบั นาฬิกา และ ออร์แกน จะถูกติดตงั้ อยู่ในโบสถ์ เพอ่ื ท่จี ะให้ผ้คู นได้เหน็
และได้ยิน สง่ิ ประดษิ ฐท์ ี่นา่ ประหลาดใจนี้ในสว่ นของเสยี งประสาน หรือ Harmony นนั้ ไมว่ ่าจะ
เป็นเสียงร้อง หรือ เสียงของ เคร่อื งดนตรี น้นั กส็ ามารถวดั คำนวน และ ปรับแตง่ ได้อย่างแม่นยำ
เพ่ือท่ีจะได้ เสยี งที่ไพเราะและสมบรู ณ์แบบ นกั ทฤษฏดี นตรีในสมัยศตวรรษท่ี 13 นัน้ คอ่ นขา้ งกงั วล
เกีย่ วกบั การวดั การคำนวน และ การแบง่ เวลา และ ในช่วงท้ายศตวรรษที่ 13 ท้ัง ระดับของฮาร์โมน้ี
(Harmonic Interval) และ Musical Time ถกู จดั แบง่ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและลงตัว อีกครั้งที่
ศูนย์กลางการพฒั นาทฤษฏีทางด้านตนตรีไดเ้ กิดข้นึ ที่ University of Paris นักทฤษฏีเกือบ
ทั้งหมดเปน็ อาจารย์อยทู่ ่ีมหาวทิ ยาลัยแหง่ น้ี เหล่าอาจารยใ์ ห้ความ สำคัญเก่ียวกับการวดั และคำนวน
เรือ่ งของระดบั เสยี ง แต่กย็ งั คงให้ความสำคัญ มากกว่าในเรอื่ งของจังหวะหรือ Rhythm ตอ่ มาพวก
เขาไดน้ ำทฤษฏเี หลา่ นี้ ถา่ ยทอดตอ่ ไปยังเหล่านักเรียน ตำราท่ีบรรยายเกีย่ วกบั ทฤษฏีในศตรวรรษที่
13 ท่ีชดั เจนทีส่ ดุ ได้ถูกค้นพบใน Franco of Cologne’s Ars cantus mensurabilis(Art of
Measured Song) Franco of Cologne หรอื อีกชื่อหนึง่ คอื Franco of Paris เปน็ ชาว
เยอรมันทเี่ ดินทางมาสอนหนงั สอื ที่เมอื ง ปารสี ในราวปี 1280
ตำราของ Franco ไดบ้ รรยายถงึ ระบบการแบ่งแยกและจัดกลมุ่ ของ Harmonic Interval ไวเ้ ป็น
เล่มแรก โดยหน่งึ ในนั้นคือการจัดกลุ่มของ Interval เป็นแบบ Consonance และ Dissonance
การวดั หรอื การคำนวน ของดนตรนี ัน้ ยงั รวมไปถงึ Time หรอื จังหวะ
จังหวะในดนตรีไดถ้ ูกคำนวนและถกู แบ่งยอ่ ยออกเปน็ หลาย ๆ ส่วนFranco ได้จดั ระบบของกลมุ่ ตวั
โนต้ พ้นื ฐานไดเ้ ป็น 3 ตัวโน้ต
The Long
The Breve
The Semibreve
โน้ตแตล่ ะตวั มีความสัมพนั ธเ์ ปน็ แบบ triple (3) กบั โนต๊ ตัวถัดไป เพือ่ เปน็ การ สรรเสรญิ The
Holy Trinity รากฐานจงั หวะของดนตรี (Fundamental Meter)ในสมยั น้นั ทัง้ หมดถูกเขียนเปน็
แบบ Triple
เพลงท่ีเป็นเร่อื งเล่า นทิ านเก่ยี วกบั การสลายไปของอำนาจทางการเมือง
เน้ือเพลงกล่าวถึง Enguerran de Marigny และเหลา่ เพอื่ นๆ ได้ร่วมกันทำการ ทุจรติ อยา่ งโง่เขลา
Fauvel ถกู ใช้เปน็ ชอื่ ของสัตวใ์ นเร่ือง ชึ่งชือ่ ของมนั ได้ถูกตัง้ จากอักษรตัวแรกของ บาปท้ังหก (Six
Worldly Sins) Flattery = การประจบสอพอ, Avarice = ความโลภ, Villainy =
ความชวั่ ชา้ ,Variete (Fickleness) = ความเปล่ียนแปลง, Envy = ความ อิจฉาริษยา,
Loose morals = การสญู เสยี หลกั ศลี ธรรม รวมกนั ทง้ั หมดจงึ เปน็ FAUVEl
บทกลอนหรอื บทกวเี กือบทัง้ หมดถกู เขียนขึ้นในปี 1314 โดย Gerves de Bus ตอ่
จากบทประพนั ธ์ของ Chaillou de Pesstain และอกี ประมาณ 2-3 ปตี อ่ มาดนตรไี ด้ถกู เตมิ เข้า
ไปโดย Philippe de Vitry ทงั้ สามคนนี้เปน็ เพียงพนกั งานเอกสารใน French Royal Court แต่
พวกเขาสามารถ เขา้ ได้ถึงขา่ ววงในของพระราชา Philip IV พวกเขามีความต้ังใจทจี่ ะสร้างสรรค์
ผล งานท่คี ้อนข้างแดกดนั เพอ่ื ท่ีจะเป็นการเตอื นไปถึงพระราชาองค์ตอ่ ไป ถ้าพระราชา ได้เรยี นรู้และ
ทำตามเน่ือหาของบทกวีแลว้ ละก็พระราชาองค์ต่อไปจะกลายเปน็ ผูน้ ำ ท่ยี อดเยย่ี ม ในโลกของ
Fauvel น้นั Lady Fortune ได้ทำให้ทกุ อย่างกลบั ตาลปตั ร, ทนายความใช้ กฏหมายไปในทางที่
ผดิ , ผู้บรสิ ุทธไ์ิ มไ่ ด้รับความยุทติธรรม, ทั้งพระราชาและพระ สันตะปาปาตอ้ งกม้ ลงกราบตอ่ หนา้
Fauvel
บทกลอนเกอื บทัง้ หมดจะถกู ร้องโดย Narrator หรอื ผู้เล่าเร่ือง และจะมีเครื่องดนตรี เลน่ ประกอบ
โดยวิธี Improviseดนตรจี ะถกู สอดแทรกลงไประหว่างบทกลอน ขณะท่ผี ู้เล่าเรือ่ งกล่าวถงึ เหตุการณ์
ต่าง ๆ
เครอื่ งดนตรีท่ีถกู เล่นสำหรับดนตรเี ต้นรำ (Dance Music) ในศตรวรรษท่ี 13 -14 คอื Vielle
Vielle เปน็ เครื่องดนตรปี ระเภทเคร่อื งสาย มสี าย 5 สายผู้เล่นโดยสว่ นมากจะเล่นคนเดยี ว แต่ในบาง
โอกาสจะเลน่ เป็นกล่มุ สคี่ น
Harp, Psaltery, และ Gittern (เคร่ืองดนตรที ่ีมีลักษณะคล้าย Lute)
ถกู เลน่ ในวัง แต่ เพราะว่าเสียงทค่ี ่อนข้างเบาทำให้เป็นการยากทีจ่ ะเลน่ ประกอบงานเตน้ รำงานใหญ่
เครื่องดนตรที ่ีให้เสียงที่ดังจงึ เปน็ ทีต่ อ้ งการถ้าเป็นงานเตน้ รำกลางแจง้ เคร่ืองดนตรี ประเภทกลองจงึ
ได้ถกู นำมาใช้ Shawm (เครอื่ งดนตรีตน้ แบบของ Oboe ในปัจจุบนั ) เป็นเครอ่ื งดนตรปี ระเภทลนิ้ คู่
ท่ใี หเ้ สยี งทีด่ ังฟงั ชดั โดยในศตรวรรษจะมอี ยู่สองขนาดคือ Treble และ Tenor ซง่ึ เสียงจะตา่ งกนั
อย่หู ้าคู่เสียง
Trumpet กไ็ ดถ้ ูกนำมาใชใ้ นยคุ สมยั นีแ้ ต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้สำหรับงานเต้นรำ แต่จะ
ถูกใช้สำหรับการประโคมเดยี่ วรบั บุคคลสำคัญกอ่ นปี 1300 เครือ่ งดนตรีประเภท Keyboard ชนิด
เดยี วท่มี ีคือ Organ แต่กค็ อ่ นข้างที่ จะหายากการประดษิ ฐแ์ ละพัฒนาเคร่ืองดนตรปี ระเภท
Keyboard นั้นไดถ้ กู ทำให้เป็นจรงิ โดย เทคโนโลยกี ารประดษิ ฐใ์ นสมัยศตรวรรษที่ 14
The Portative Organ เปน็ ออร์แกนที่คอ่ นขา้ งเล็กสามารถเคลอื่ นท่ไี ด้ ถกู ใช้
เพอื่ ความ บนั เทิงภายในวัง สว่ นมากจะถูกใช้เล่นประกอบกับนักรอ้ ง ไมใ่ ชส่ ำหรับงานเตน้ รำผเู้ ล่นจะ
เลน่ มือเดียวในขณะที่อกี มือจะต้องใช้ป้มั ทีส่ บู ลม หรือ อาจจะมีผู้ชว่ ยๆสบู ลมให้The Positive
Organ เป็นเครอ่ื งดนตรขี นาดใหญท่ ี่ไดร้ บั ความนิยมอย่างมากหลังจากปี 1300 และเพราะว่า
Positive Organ ถอื ว่าเป็นเครือ่ งดนตรที ล่ี ้ำสมยั อยา่ งมากในยุคนน้ั Positive Organ จงึ นยิ มถกู
นำมาตดิ ต้ังท่ศี นู ยก์ ลางของกำแพงในโบสถ์ เพอื่ ทจี่ ะใหท้ ุก ๆคนได้เห็นและไดย้ ิน Organ ไดถ้ กู
เรียกว่าเป็น “The King of Instruments” หรือ ราชาแห่งเครื่องดนตรีมา ตงั้ แตส่ มัยนั้น และยัง
เปน็ เคร่ืองดนตรชี นิดเดียวทไี่ ดร้ บั อนญุ าตอย่างเปน็ ทางการ โดยนกั บวชให้ถกู ติดตง้ั ในโบสถ์สำคญั ๆ
ในขณะที่เครอ่ื งดนตรีชนดิ อ่ืนถกู มองวา่ จะทำให้พืน่ ท่ีศกั สิทธิต์ ้องเสื่อมเสยี ทา้ ยท่ีสดุ ในศตรวรรษที่
14 ได้มีการประดิษฐ์และพฒั นาเครื่องดนตรี Clavichord (Key - String) เคร่อื งดนตรี
ประเภท Keyboard ทเี่ มอ่ื ผเู้ ล่นกดคียแ์ ลว้ จะมีโลหะรปู ตัว T ชนิ้ เล็กๆ ไปเกี่ยวกับสายเพื่อทำให้
เกดิ เสียง
Clavichord ถูกกล่าวถึงในประวัตศิ าสตรค์ รงั้ แรกเมือ่ มนั ได้ถูกมอบเป็น
ของขวัญจากKing Edward III พระราชาองั กฤษ ถึง King john II พระราชาฝร่ังเศสและ
จากภายในวังของพระราชาฝรั่งเศสในยคุ นี้ได้มกี ารค้นพบยคุ แรกๆของ Collection of Keyboard
Music ทเ่ี รยี กวา่ Robertsbridge CodexManuscript (หนงั สอื ท่ถี ูกเขียนดว้ ยลายมือ) เลม่ นี้
ไดบ้ ันทึก 3 Motet จาก the Roman de Fauvelดนตรีเหลา่ น้จี ะถกู เล่นท่ี French royal
court ในระหว่างชว่ งกลางศตรวรรษที่ 14 ดนตรใี ห้ เสียงทีแ่ ปลกใหม่ มีจังหวะท่รี า่ เรงิ สดใส แตเ่ ต็ม
ไปด้วย Parallel Octave ด้วยเหมอื นกัน Estampie : เปน็ ดนตรีที่มีจังหวะเตน็ รำในยคุ
Medieval แบบ Instrumental Style
(ใช้ เคร่อื งดนตรีเล่น) ในระหว่างศตวรรษท่ี 13 -14
Renaissance 1400-1650
เรเนอรซ์ องค์
เปน็ ยุคที่มีสงคราม เกยี่ วกับศาสนาการกอ่ สร้างตวั ในพื้นที่ มกี ารสู้รบกันในศาสนาคริส อิสลามใน
สงครามครูเสด เรเนอร์ซองค์ เรียกได้อีกอยา่ งวา่ ยคุ ฟนื้ ฟูของศิลปะและวทิ ยาการต่างๆ แนวคดิ แบบนี้
เข้ามาฟื้นฟทู กุ แขนงในงานเขยี น ศิลปะ ดนตรี การเมอื งการปกครอง วทิ ยาศาสตร์ ศาสนา แนวคิด
แบบเรเนอรซ์ องค์ ค้นหาความเป็นจรงิ มากขึน้ ทำให้มอี ิทธิพลอยา่ งมากในศิลปินสมัยนัน้ เชน่ ลีโอนา
โด้ ดาวนิ ช้ี ไมเคลิ เองเจโรและอกี หลายคน วา่ กันว่าในสมยั นน้ั เมอื งฟรอเรนตม์ ีระบอบประชาธปิ ไตย
ตัวอย่างผลงาน แบบ Humanismของดาวนิ ชี้ เป็นการศกึ ษาของโครงรา่ งมนุษย์ ผลงานแกะสลักของ
เดวิด เปน็ ผลงานการแกพสลกั ของชายทีก่ ำลงั เปลอื ยกาย
ดนตรีในยุคเรเนอรซ์ องค์เน้นความหรูหรา หลักฐานท่ีถูกคน้ พบคือ
Squarcialupi codex ในหนังสือ Manuscript ทบ่ี นั ทึกไว้ 354 บทเพลง หนังสอื มีขนาดใหญ่
สสี นั งดงาม บทเพลงใน squarcialupi codex มีอย3ู่ ประเภท คือ Madrigal Cacia และ
Ballata
Madrigal เปน็ เพลงแนว secular Music เปน็ เพลงที่ไม่มสี ่วนของบทสว่ น มีเน้ือหากับศาสนา
เป็นบทกวีเกี่ยวกับบทกลอนแตเ่ ดมิ ใช้ภาษาละตนิ และพฒั นาเปน็ ภาษาของแตล่ ะประเทศและใสด่ นตรี
เข้าไปเพื่อเสรมิ ความไพเราะ ตวั บทกลอนกจ็ ะเกยี่ วกับอารมณข์ องมนุษย์ นกั ประพันธ์ทท่ี ำให้เพลง
ประเภทน้เี ปน็ ที่นิยมคือ Petrarch และนกั ประพนั ธ์ดนตรคี อื Jacopo da Bologna
Jacopo da Bologna ได้นำบทกวี ของ Petrarch มาดัดแปลง ชอ่ื เพลง Not
to her lover ให้อยใู่ นฟร์อม2แนว 3บรรทดั ต่อ1โครง3 เรยี กแบบฟรอ์ มนว้ี ่า AAB จงั หวะ
คอ่ นข้างเรียบงา่ ย แตเ่ นือ้ ร้องถกู ทำใหม้ คี วามหรูหรา และจบดว้ ยวิธรี ้องแบบ Melisma ซ่ึงเป็นวธิ ี
รอ้ งแบบเอนื้ เสยี งหลายเสียงบทคำรอ้ งพยางคเ์ ดียว
นกั ประพันธท์ ี่เปน็ บุคคลสำคญั ในยุค คือ Francesco Landini (1325-
1397) ตอนเด็กพกิ ารทางสายตาเพราะไขท้ รพษิ และได้พัฒนานาดนตรดี า้ นสตรงิ เครอื่ งว๊ดู วินด
และยังได้รบั การนบั ถอื ดา้ น การเมืองการปกครอง ดาราศาสตร์ และปี1360ไดถ้ ูกแตง่ ต้งั ใหเ้ ป็นนักกวี
ประจำราชสำนัก
Claudio Monteverdi (1567-1643) เร่ิมอาชีพนกั ดนตรคี อื เปน็ ครูสอนเครอ่ื งสายและ
ไดร้ ับการยอมรบั ใหเ้ ปน็ ผ้คู วบคุมวงั ได้ประพันธเ์ พลงนบั พนั ให้กบั ครอบครวั Gonzagaผ้ปู กครองเมือง
Mantuaในอิตาลี และแต่งเพลงข้ึนมาใหม่ในทกุ ๆงาน เป็นคนแรกๆทีเ่ ริ่มประพนั ธ์เพลงแบบโอเปร่า
นกั ทฤษฎีในสมัยนั้นกว่าววา่ ดนตรมี ีความแหวกแนวทำให้ไมถ่ ูกใจนกั ดนตรีหัวสมัยเก่า Monteverdi
ใหค้ วาทสำคญั ทั้งบทเพลงและคำรอ้ ง เนือ้ หาสำคัญของการถกเถยี งกนั คือ unprepared
Dissonance ซึง่ นกั ประพนั ธ์อยากให้ผูฟ้ ังรู้สึกแปลก แต่เนือ้ หาอาจจะความหมายไม่ได้ดมี ากเลยใช้
ตัวโน้ตที่เข้ากนั กบั เน้ือเพลง เสยี งdissonance ทำใหร้ สู้ ึกเจ็บปวดมากขนึ้
ผลงานท่มี ีชื่อเสยี งคอื L’orfeoเปน็ เพลงโอเปร่าทส่ี ร้างขึ้นจากเรอื่ งราวของกรกี โบราณ ของ โอเฟ
อสุ ถูกแต่งเมือ่ 1607 เพ่อื การเฉลิมฉลองคารน์ ิเวลของเมอื งMantua และเป็นโอเปร่ายุคแรกที่ถกู
จัดแสดงจนถึงปจั จุบัน