The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปเนื้อหา สาระสำคัญตาม Test Blueprint ระดับม.ต้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Sumontha8911, 2024-06-12 12:57:48

สรุปเนื้อหา สาระสำคัญตาม Test Blueprint ระดับม.ต้น

สรุปเนื้อหา สาระสำคัญตาม Test Blueprint ระดับม.ต้น

สรุปเนื้อหาสาระสำคัญ ตามแนวข้อสอบและTest Blueprint ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สาระทักษะการเรียนรู้ เรื่องที่ 1 ทักษะพื้นฐานทางการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ทักษะพื้นฐานทางการศึกษาหาความรู้ดวยตนเอง เป็นสิ่งสำคัญและจำเปนอยางมาก สำหรับการ ดำรงชีวิตในปจจุบัน เพราะสภาพสังคมมีการเปลี่ยนแปลง การที่บุคคลจะเรียนรูดวย ตนเองได้นั้น ตองมี ลักษณะความพรอมเพื่อเป็นพื้นฐานทางการเรียนรูดวยตนเอง ดังนี้ ๑. การฟง เปนการรับรูเรื่องราวตางๆจากแหล่งของเสียงหรือเหตุการณซึ่งอาจจะหมายถึงการฟงจาก ผู้พูดโดยตรง หรือฟงผ่านอุปกรณ การบันทึกเสียง วีดิทัศน หรือสื่อวิทยุ โทรทัศน หรืออินเทอรเน็ตผ่าน คอมพิวเตอร์อวัยวะที่ใชในการฟง คือ หู การฟงเป้นกระบวนการ ทำงานของสมอง อีกหลายขั้นตอนต่อเนื่อง จากการได้ยินเป็นความสามารถที่จะได้รับรูสิ่งที่ได้ยิน ตีความหมาย และจับความสิ่งที่รับรูนั้น เขาใจและจดจํา ไว ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญา 2. การพูด เป็นการถายทอด หรือสื่อความหมายของมนุษย์โดยการใชเสียง ซึ่งมีคําพูดน้ำเสียง และ กริยาทาทางเป้นเครื่องถายทอดความรูความคิด และความรูสึกจากผู้พูดไปสู่ผู้ฟง 3. การอ่าน เป็นการรับรูความหมายจากถอยคำ การอานตามหนังสือ หรือการสังเกตพิจารณาดู เพื่อ ใหเขาใจจากข้อความที่ปรากฏในหนังสือ จับประเด็นสาระสำคัญของการอนได้และสามารถสรุปเรื่องที่อ่านได้ 4. การเขียนเป้นการถ่ายทอดความรูสึกนึกคิด และความตองการของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ คือ ตัวอักษร เพื่อสื่อความหมายใหผู้อื่นเขาใจ ทำใหมองเห็นความหมายของการเขียนวามีความจำเป้นอย่างยิ่งต่อ การสื่อสารในชีวิตประจำวัน เชน ใหผู้เรียนเขียนบันทึกความรูทำแบบฝกหัด เป้นตน 5. การสังเกตและการจำ การสังเกตเปนกระบวนการหนึ่งของการศึกษาคนหาความจริงตามวิธีการทาง วิทยาศาสตร ในแต่ละวันเราตองผ่านเหตุการณ ผ่านสิ่งต่าง ๆ หลายอย่างฉะนั้นจึงตองรูจักสังเกตและจดจําสิ่ง ที่พบเห็น การเรียนรูด้วยตนเองก็จะเกิดขึ้นจากการสังเกตและการจำ 6. การจดบันทึก วิธีการจดบันทึกนั้นเป็นแบบอย่างที่ดีและเป้นประโยชนอย่างยิ่ง คือจะตองทำการ บันทึกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อจดบันทึกแลวควรนํามาเรียบเรียง การจดบันทึกเปนวิธีการหนึ่งของการเรียนด้วย ตนเอง การประเมินผลด้วยแฟ้มสะสมงานที่ตองใชกับการเรียนรูด้วยตนเอง ก็ตองอาศัยการจดบันทึกเป็น สำคัญ


เรื่องที่ 2 ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills) นี้คือ ทักษะพื้นฐานที่มนุษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑ ทุกคนต้องเรียน เพราะโลกจะยิ่งเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน มากขึ้น คนที่อ่อนแอในทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมจะเป็นคนที่ ตามโลกไม่ทัน เป็นคนอ่อนแอ ชีวิตก็ จะยากลำบากครูเพื่อศิษย์จึงต้องเอาใจใส่ พัฒนาขีดความสามารถของตนเองใน ด้านนี้ ให้สามารถออกแบบ การเรียนรู้เพื่อให้ศิษย์เรียนรู้และพัฒนาทักษะ ของตนเองในด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมได้ตลอดชีวิตวิธี ออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์มีทักษะนี้ ใช้หลักการว่า ต้องมีการ เรียนรู้แบบที่เด็กร่วมกันสร้างความรู้เองคือ เรียนรู้โดยการสร้างความรู้ และ เรียนรู้เป็นทีม การเรียนรู้ทักษะในการเรียนรู้ (learning how to learn หรือ learningskills) และเรียนรู้ทักษะในการสร้าง การเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้น (นวัตกรรม) ประกอบด้วยทักษะย่อย ๆ ดังต่อไปนี้ ๑. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) และการแก้ปัญหา (problem solving) ซึ่ง หมายถึง การคิดอย่างผู้เชี่ยวชาญ (expert thinking) ๒. การสื่อสาร (communication) และความร่วมมือ (collaboration) ซึ่งหมายถึง การสื่อสารอย่าง ซับซ้อน (complex communicating) ๓. ความริเริ่มสร้างสรรค์ (creativity) และนวัตกรรม (innovation) ซึ่งหมายถึง การประยุกต์ใช้ จินตนาการและการประดิษฐ์ เคล็ดลับอย่างหนึ่งของการบ่มเพาะทักษะทั้ง ๓ คือ การฝึกตั้งคำถาม การตั้งคำถามที่ถูกต้องสำคัญกว่าการหา คำตอบ ครูเพื่อศิษย์จึงต้องชวน ศิษย์หรือเปิดโอกาสให้ศิษย์ตั้งคำถามแปลก ๆ และชวนกันหาทางทดลอง หรือ ค้นคว้าเพื่อตอบคำถามนั้น ทุกโอกาสของทุกกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ควรชวนกันตั้งคำถาม ศิษย์ควร ได้เรียนรู้ ว่าคำถามที่ถูกต้องเป็นอย่างไร และนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ อย่างไร ที่จริงเรื่องนี้ไม่ยากหากครูฝืนใจตัวเอง ไม่ยึดถูกผิดตามทฤษฎี แต่ชักชวนเด็กร่วมกันหาคำตอบที่นำไปสู่การเรียนรู้หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หัวใจของ เรื่องนี้คือ จิตวิญญาณของความไม่รู้ หรือไม่รู้จริง หรือไม่เชื่อง่าย แล้วหาทางพิสูจน์เพื่อท้าทายความรู้เดิม ๆ ทั้ง ของตนเองและ ของโลก ทฤษฎีใหม่คัดค้านทฤษฎีเก่าโดยสิ้นเชิงว่า การเรียนรู้ไม่ได้มีลักษณะ เรียงเป็นแถว จากเรียนรู้ทักษะ หรือความรู้พื้นฐานไปสู่การเรียนรู้ทักษะที่ ซับซ้อน (จากความรู้ (knowledge) ไปสู่ความเข้าใจ (comprehension) การประยุกต์ใช้ (application) การวิเคราะห์ (analysis) การสังเคราะห์ (synthesis) และ การประเมิน (evaluation) ตามลำดับ) แต่ในความเป็นจริง การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน และการ เรียนรู้จริงต้องเลย (beyond) การรู้เนื้อหาไปสู่ความเข้าใจแท้จริงในระดับที่เอาไปใช้ได้ในสถานการณ์จริง การ เรียนรู้เนื้อหาไปพร้อม ๆ กับการใช้ประโยชน์ในสถานการณ์จริง หรือ เรียนทุกขั้นตอนในวงเล็บข้างบนไปพร้อม ๆ กันในสถานการณ์จริง จึงให้ ผลการเรียนรู้ที่ลึกและเชื่อมโยงกว่าคือ รู้จริง ขั้นตอนการเรียนรู้จากผลการวิจัยในยุคปัจจุบันคือ จำได้ (remember) เข้าใจ (understand) ประยุกต์ใช้ (apply) วิเคราะห์ (analyze) ประเมิน (evaluate) และสร้างสรรค์ (create) โดยที่ขั้นตอนเหล่านี้เกิดพร้อม ๆ กันได้ หรืออะไรเกิดก่อนเกิดหลังได้ทั้งสิ้น รวมทั้งเกิดเรียงลำดับจากหลัง ไปหน้าก็ได้ เรื่องที่ 2 แหล่งเรียนรู้ในชุมชน


เรื่องที่3 แหล่งเรียนรู้ หองสมุดประชาชน ความหมายของการใชหองสมุดประชาชน หองสมุดประชาชนเป็นสถานที่รวบรวมหนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ นิตยสารและสื่อโสตวัสดุ ทุกประเภท สำหรับการอ่านและศึกษาคนควาทุกชนิด เพื่อบริการแกนักศึกษาและประชาชนทั่วไป โดยไม่ จํากัดเพศ วัย ความรูเชื้อชาติ ศาสนา รวมทั้งการจัดกิจกรรมสงเสริมการอ่าน มีบุคลากรที่มีความรูทาง บรรณารักษศาสตรเป้นผู้ใหบริการ ความสำคัญของการใชหองสมุดประชาชน หองสมุดประชาชนเป็นแหล่งเรียนรูสำคัญในชุมชน ที่ใกลชิดผูเรียนมากที่สุด แทบทุกอำเภอจะ มีหองสมุดประชาชนใหบริการ เชน หองสมุดประชาชนจังหวัด หองสมุดประชาชน"เฉลิมราชกุมารี" และหอง สมุดประชาชนอำเภอ เป้นตน ซึ่งมีความสำคัญมากตอการเรียนรูของผูเรียนและประชาชนทั่วไป ดังนี้ 1. เป้นแหล่งรวมทรัพยากรสารสนเทศต่างๆ ที่ผู้ใชบริการสามารถคนควาในทุกสาขาวิชา ตามที่ตองการ 2. เป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถเลือกอ่านหนังสือ และคนควาหาความรูต่าง ๆ ได้อย่าง อิสระ ตามความสนใจของแต่ละบุคคล 3. เป็นที่รวมความหลากหลายของหนังสือ ทำใหผูใชบริการเกิดความเพลิดเพลินอยาง มีสาระ จัดเปนการปลูกฝงการสรางนิสัยรักการอานไดเปนอยางดี 4. ผูที่ใชบริการหองสมุดประชาชนอยูเสมอ จะเปนผูที่มีองคความรูที่ทันสมัยอยูเสมอ และเปนการใชเวลาวางใหเกิดประโยชน 5. การใชหองสมุดประชาชนอยางสม่ำเสมอ ทำใหเกิดนิสัยการใชสาธารณสมบัติอยาง ระมัดระวัง และบํารุงรักษาอยางถูกตอง หอสมุดแหงชาติ หอสมุดแหงชาติถือเปนหองสมุดที่ใหญที่สุดเปนแหลงเรียนรูที่สําคัญที่สุดแหงหนึ่งในประเทศเปน แหลงรวบรวมหนังสือ สิ่งพิมพ และสื่อความรูทุกอยางที่ผลิตขึ้นในประเทศ และทุกอยางที่เกี่ยวกับประเทศ ไม วาจะพิมพในประเทศใด ภาษาใด เปนการอนุรักษสื่อความรูที่เปนทรัพยสินทางปญญาของชาติไมใหสูญไป และมีไวใชในอนาคต นอกจากรวบรวมสิ่งพิมพในประเทศแลว ยังมีหนาที่รวบรวมหนังสือ ที่มีคุณคา ซึ่งพิมพใน ประเทศอื่นไวเพื่อการศึกษาคนควา อางอิง ตลอดจนทําหนาที่เปนศูนยรวมบรรณานุกรมแหงชาติ และเผยแพร ใหทราบโดยทั่วกัน หอสมุดแหงชาติจึงเปนแหลงใหบริการความรูแกคนทั้งประเทศ ชวยเหลือการคนควา วิจัย ตอบคําถาม ใหคําปรึกษา และแนะนําเกี่ยวกับหนังสือ หอสมุดแหงชาติ นอกจากที่ตั้งอยูที่ทาวาสุกรี กรุงเทพฯ แลว ยังมีหอสมุดแหงชาติสาขา


หองสมุดโรงเรียน หองสมุดโรงเรียน เปนหองสมุดที่จัดตั้งขึ้นในโรงเรียน หรือสถานที่จัดการศึกษาต่ำกวา ระดับอุดมศึกษา มีวัตถุประสงคสําคัญ เพื่อเปนศูนยกลางการเรียนของนักเรียนและการสอนของครูและเป นการปลูกฝงนิสัยรักการอานของนักเรียน บทบาทหนาที่ของหองสมุดโรงเรียนมี 3 ประการ ดังนี้ 1. เปนศูนยกลางของการศึกษา คนควาของการเรียน 2. เปนศูนยกลางฝกวิจารณญาณในการอาน มีบรรณารักษทำหนาที่แนะนําการอาน 3. เปนศูนยกลางอุปกรณการสอน สงเสริมการเรียนของนักเรียนและการสอนของครู เรื่องที่ 4 การใชอินเทอรเน็ต การเขาถึงขอมูลสารสนเทศที่ตองการและสนใจ อินเทอรเน็ต (Internet) คืออะไร อินเทอรเน็ต เปนระบบเครือขายเชื่อมโยงทั่วโลกเขาดวยกัน เหมือนใยแมงมุม หรือworld wide web (www.) จึงเปนแหลงขอมูลขนาดใหญที่มีขอมูลทุกๆดาน ทั้งภาพ เสียงและภาพเคลื่อนไหว ใหผูสนใจเขาไป ศึกษาคนควาไดสะดวก รวดเร็วและงาย มีคอมพิวเตอรเปนเครื่องมือ ผูที่ใชเครือขายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได หลาย ๆ ทาง เชน อีเมล (E-mail) เว็บบอรด(webboard) แชทรูม (Chat room) การสืบคนขอมูลและ ขาวสารตาง ๆ รวมทั้งคัดลอกแฟมขอมูลและโปรแกรมมาใชงานได ความสำคัญของอินเทอรเน็ต อินเทอรเน็ตเปนแหลงรวบรวมขอมูลแหลงใหญที่สุดของโลกเปนทั้งชองทางการเรียนรูและเปนแหลง เรียนรูเองดวย เราสามารถใชชองทางนี้ทําอะไรไดมากมาย เหตุผลสําคัญที่ทําใหอินเทอรเน็ตเปนแหลงเรียนรูที่ ไดรับความนิยมแพรหลาย คือ 1. การสื่อสารบนอินเทอรเน็ตไมจํากัดระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร 2. อินเทอรเน็ตไมมีขอจํากัดในเรื่องระยะทาง 3. อินเทอรเน็ตไมจํากัดรูปแบบของขอมูล การสืบคนขอมูลทางอินเทอรเน็ต ในการสืบคนหาขอมูลผานเครือขายอินเทอรเน็ต มีเครื่องมือที่ชวยในการสืบคนที่สะดวกเรียกวาโปรแกรมค นหา (Search Engine) ซึ่งโปรแกรมคนหานี้สามารถใชไดหลายภาษา เชน ไทย จีน อังกฤษ โปรแกรมคนหาที่ นิยม และสามารถใชภาษาไทยสืบคนได คือ เว็บไซตกูเกิล (Google) ขั้นตอนในการใชโปรแกรมคนหา 1. เปดเขาระบบอินเทอรเน็ต โดยคลิกที่ Chrome หรือ Internet Explorer 2. พิมพชื่อเว็บไซต www.google.com ลงในชอง แอ็ดเดรส (Address) แลวกดปุม Go หรือกด เอ็น เทอร (Enter) รอจนหนาตางของเว็บไซตกูเกิล (Google) ขึ้น 3. มีบริการที่สามารถเขาถึงไดสะดวกในการคนหา 6 รายการ คือ รูปภาพ กลุมขาวบล็อก สารบัญ เว็บ Gmail 4. พิมพคําสําคัญ หรือสิ่งที่ตองการคนหาในชองคนหา แลวกดปุม คนหาโดย google 5. เมื่อกดปุม คนหาโดย Google แลว ก็จะขึ้นรายละเอียดของเว็บไซตที่เกี่ยวของกับคําสําคัญหรือ สิ่งที่ตองการคนหา 6. คลิกขอความที่ขีดเสนใตเพื่อศึกษารายละเอียด จะมีเชื่อมโยง (Link) ไปเว็บไซตที่ตองการ


การฝกทักษะกระบวนการจัดการความรูดวยตนเองและกระบวนการจัดการความรูดวยการรวม กลุมปฏิบัติการ การจัดการความรูดวยตนเอง จะทําใหรูหลักการอันแทจริงในการพัฒนาตนเอง และมีแรงจูงใจใหกาว ไปสูการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพในการทํางาน โดยการนําองคความรูที่เปนประโยชน ไปประยุกตใชใน ชีวิตจริงและการทํางาน วิธีการเรียนรูที่เหมาะสม เพื่อใหเกิดการจัดการความรูดวยตนเอง คือ ใหเริ่มกระบวนการเรียนรูตั้งแต การเริ่มคิด คิดแลวลงมือปฏิบัติ ซึ่งจะเกิดความรูจากการปฏิบัติ ทั้งสวนที่เปนความรูฝงลึกและความรูที่เปดเผย มีการจดบันทึกความรูลงในสมุดบันทึก หรือบันทึกไวในรูปแบบตาง ๆ สุดทายใหมีการพัฒนาปรับปรุงสิ่งที่ กําลังเรียนรูอยูตลอดเวลา ทักษะการเรียนรูเพื่อจัดการความรูดวยตนเอง การพัฒนาตนเองใหมีความสามารถและทักษะใน การจัดการความรูเปนสิ่งที่ตองทําอยางสม่ําเสมอ ดังนี้ 1. ฝกสังเกต ใชสายตาและหูเปนเครื่องมือ การสังเกตจะชวยใหเขาใจในเหตุการณนั้น 2. ฝกการนําเสนอ การนําเสนอเพื่อใหคนอื่นรับรูจะทําใหเกิดการแลกเปลี่ยนความรูกันอยางกวาง ขวาง 3. ฝกตั้งคําถาม จะตั้งคําถามใหตนเองตอบ หรือใหคนอื่นตอบก็ได ทําใหไดขยายขอบความคิด ความ รูรูลึก และรูกวาง 4. ฝกการแสวงหาคําตอบ ตองรูวา คําตอบหรือความรูที่ตองการนั้น มีแหลงขอมูลใหคนควาไดจากที่ ไหนบาง เชน หองสมุด อินเทอรเน็ต หรือในตัวบุคคลที่ตองไปสัมภาษณ เปนตน 5. ฝกบูรณาการเชื่อมโยงความรูความรูสัมพันธเชื่อมโยงกันไปหมด จึงจําเปนตองรูความเปนองค รวมของเรื่องนั้น ๆ ยกตัวอยาง ปุยหมัก ไมเพียงแตมีความรูเรื่องวิธีทําเทานั้นแตเชื่อมโยงการบรรจุภัณฑ วาจะ บรรจุกระสอบแบบไหน โยงไปถึงการกําหนดราคาไวเพื่อขาย 6. ฝกบันทึก จะบันทึกแบบจดลงสมุด หรือเปนภาพ หรือใชเครื่องมือบันทึกใด ๆก็ได ตองบันทึกไวให ปรากฏรองรอย เพื่อใหผูอื่นสามารถเขาถึงและเรียนรูไดดวย 7. ฝกการเขียน เขียนงานของตนเองใหเปนประโยชนตอการเรียนรูของผูอื่น เปนการแลกเปลี่ยนเรียน รูกับผูคนในสังคมที่มาอานงานเขียน ทักษะกระบวนการจัดการความรูดวยตนเอง ในการเรียนรูเพื่อการจัดการความรูดวยตนเอง สามารถดําเนินการตามขั้นตอนตาง ๆ ไดดังนี้ 1. ขั้นการบงชี้ความรูผูเรียนตองวิเคราะหตนเอง เพื่อรูจุดออน จุดแข็งของตนเองกําหนดเปาหมาย ในชีวิต กําหนดแนวทางเดินไปสูจุดหมาย และรูวาความรูที่จะแกปญหาและพัฒนาตนเอง คืออะไร 2. ขั้นการสรางและแสวงหาความรูผูเรียนตองตระหนักและเห็นความสําคัญของการแสวงหาความรู เขาถึงความรูที่ตองการดวยวิธีการที่หลากหลาย แหลงการเรียนรูที่ใชในการแสวงหาความรู เชน การใช เทคโนโลยี ผูเชี่ยวชาญ ภูมิปญญาทองถิ่น ฯลฯ และตองฝกการใชทักษะตาง ๆ เชน การสังเกต การนําเสนอ การตั้งคําถาม การแสวงหาคําตอบ การบูรณาการเชื่อมโยงความรูการบันทึก และการเขียน ฯลฯ 3. ขั้นการจัดการความรูใหเปนระบบ ผูเรียนตองจัดทําสารบัญเก็บความรูประเภทตาง ๆ ที่จําเปนตอง รูใหเปนระบบ เพื่องายตอการคนหา และนํามาใชไดงาย รวดเร็ว 4. ขั้นการประมวลและกลั่นกรองความรูผูเรียนตองนําความรูใหม ๆ ที่แสวงหาเพิ่มเติมไปปฏิบัติจริง โดยนํามาประยุกตใชรวมกับความรูเดิมที่มีอยู


5. ขั้นการเขาถึงความรูเมื่อผูเรียนมีความรูจากการปฏิบัติ แลวควรมีการเก็บในรูปแบบตาง ๆ เชน สมุดบันทึกความรูแฟมสะสมงาน หรือใชเทคโนโลยีในการจัดเก็บในรูปแบบเว็บไซต วีดิทัศน เพื่อใหตนเองหรือ ผูอื่นเขาถึงความรูนั้น ๆ ไดงาย 6. ขั้นการแบงปนแลกเปลี่ยนเรียนรูผูเรียนตองเขารวมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรูกับเพื่อนๆ หรือ ชุมชน อาจเปนลักษณะของการสัมมนา การศึกษาดูงาน หรือแลกเปลี่ยนเรียนรูผานทางอินเทอรเน็ต 7. ขั้นการเรียนรูผูเรียนจะตองนําเสนอความรูในโอกาสตาง ๆ เชน การจัดนิทรรศการ การพบกลุม การเขาคาย หรือการประชุมสัมมนา รวมทั้งมีการเผยแพรความรูผานชองทางตาง ๆ ปจจัยที่ทําใหการจัดการความรูดวยการรวมกลุมปฏิบัติการประสบผลสําเร็จ ประกอบดวย 1. วัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนในกลุม คนในกลุมตองมีเจตคติที่ดีในการแบงปนความรูซึ่งกัน และกัน มีความเชื่อใจกัน ใหเกียรติกัน และเคารพความคิดเห็นของคนในกลุม 2. ผูนํากลุม ตองมองวาทุกคนมีคุณคามีความรูจากประสบการณ ตองเปนตนแบบในการแบงปน ความรูกําหนดเปาหมายของการจัดการความรูของกลุมใหชัดเจน หาวิธีการใหคนในกลุมนําเรื่อง ที่ตนรูออก มาเลาสูกันฟง ใหเกียรติกับทุกคนจะทําใหทุกคนกลาแสดงออก 3. เทคโนโลยี นําเทคโนโลยีมาใชในการเก็บขอมูลที่ไดจากการจัดการความรูเชนจัดเก็บ ในรูปของ เอกสาร เว็บไซต วีดิทัศน ฯลฯ 4. การนําไปใช การติดตามประเมินผล จะชวยใหทราบวา ความรูที่ไดจากการ 5. รวมกลุมปฏิบัติการ มีการนําไปใชหรือไม การติดตามอาจจะใชวิธีสังเกต สัมภาษณ หรือถอด บทเรียนผูเกี่ยดวของ หรือประเมินผลจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกลุม รวมทั้งการพัฒนาดานอื่นๆ ที่สงผล ใหกลุมเจริญเติบโตขึ้นดวย การจัดทําสารสนเทศเผยแพรองคความรู ในการจัดการความรูจะมีการรวบรวมและสรางองคความรูที่เกิดจากการปฏิบัติขึ้นมากมาย การจัดทํา สารสนเทศ จึงเปนการสรางชองทางใหคนที่ตองการใชความรูสามารถเขาถึงองคความรูไดงาย คนหาขอมูลได ถูกตอง รวดเร็ว ทันเวลา และเหมาะสมกับความตองการการจัดทําสารสนเทศควรจัดทําอยางเปนระบบ โดย จัดใหมีการจําแนกรายการตาง ๆ ที่อยูบนพื้นฐานตามความจําเปนในการเรียนรูโดยทําไดหลายแนวทาง คือ 1. จัดทําเปนแผนพับ แผนปลิว โดยสรุปองคความรูใหกระชับ เขาใจงาย 2. บันทึกเรื่องเลา โดยจัดทําเปนเอกสารรวมเลม จัดหมวดหมูใหคนหาไดสะดวก 3. บันทึกการถอดบทเรียน หรือถอดองคความรูควรใหรายละเอียดของการถอดบทเรียน ดวยวา ทํา ทําไม และทําอยางไร โดยจัดทําเปนเอกสาร 4. วีซีดี โดยสรุปกระบวนการคนพบ อาจถายทอดเปนสารคดีที่บงบอกถึงวิธีการตาง ๆ และควร แนะนําตอไปดวยวา ถาสนใจรายละเอียด ควรติดตามที่ไหน อยางไร 5. คูมือการปฏิบัติงาน เปนการชวยใหผูที่สนใจเห็นรองรอยของการทํางาน ที่ประสบความสําเร็จตาม ขั้นตอนตาง ๆ 6. ระบบอินเทอรเน็ต เปนวิธีการที่ไดรับความนิยมสูงมาก โดยเฉพาะในรูปของเว็บบล็อกที่เผยแพร ไดสะดวก รวดเร็ว และสามารถรองรับผูที่สนใจไดมาก 7. เผยแพรผานภูมิปญญา ในกรณีที่ภูมิปญญาทานนั้นมีสวนเกี่ยวของกับการจัดการความรูเมื่อมีการ บรรยายหรืออภิปราย ภูมิปญญาทานนั้นจะชวยสอดแทรกความรูที่คนพบจากการจัดการความรูเพื่อใหผูรับฟ งเห็นภาพและไดความรูเพิ่มเติม


สาระความรู้พื้นฐาน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง วิธีการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นขั้นตอนการทำงานอย่างเป็นระบบที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการแสวงหา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ 1. ขั้นสังเกตเพื่อระบุปัญหา คือการระบุปัญหา หรือสิ่งที่ต้องการศึกษา และกำหนด ขอบเขตของปัญหา 2. ขั้นตั้งสมมติฐาน คือการคิดคำตอบที่คาดหวังว่าควรจะเป็น หรือการคาดเดาคำตอบ ที่จะได้รับ 3. ขั้นการรวบรวมข้อมูล คือการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบ สมมติฐานที่ตั้งไว้ว่าถูกหรือผิด โดยมีหลักฐานยืนยัน อาจทำได้โดยการสังเกต หรือการทดลอง 4. ขั้นสรุปผล คือการสรุปว่าจะปฏิเสธ หรือยอมรับสมมติฐาน ตามหลักเหตุและผล เพื่อให้ได้คำตอบของปัญหา เรื่องวัฎจักรของน้ำ วัฏจักรของน้ำ หมายถึง การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของน้ำซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ โดยเริ่มต้นจากน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร แม่น้ำ ลำคลองหนอง บึง ทะเลสาบ จาก การคายน้ำของพืช จากการขับถ่ายของเสียของสิ่งมีชีวิต และจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิตของ มนุษย์ ระเหยขึ้นไปในบรรยากาศ กระทบความเย็นควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ เป็นก้อนเมฆ ตกลงมาเป็น ฝนหรือลูกเห็บสู่พื้นดินไหลลงสู่แหล่งน้ำต่าง ๆ หมุนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป ตัวการที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำ 1. ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดการระเหยของน้ำจากแหล่งน้ำต่าง ๆ กลายเป็นไอน้ำขึ้นสู่ บรรยากาศ 2. กระแสลม ช่วยทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอได้เร็วขึ้น 3. มนุษย์และสัตว์ ขับถ่ายของเสียออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และลมหายใจออกกลายเป็นไอน้ำ สู่บรรยากาศ 4. พืช รากต้นไม้เปรียบเหมือนฟองน้ำ มีความสามารถในการดูดน้ำจากดินจำนวนมากขึ้นไปเก็บไว้ ในส่วต่าง ๆ ทั้งยอด กิ่ง ใบ ดอก ผล และลำต้น แล้วคายน้ำสู่บรรยากาศ ไอเหล่านี้จะควบแต่นและรวมกันเป็น เมฆและตกลงมาเป็นฝนต่อไป


เรื่อง การเปลี่ยนสถานะในวัฏจักรน้ำ เมื่อได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ จะระเหยขึ้นไปในอากาศ --> กลายเป็นไอน้ำ --> เมื่อความ ร้อนที่สะสมในไอน้ำลดลง จะเกิดการควบแน่น --> กลายเป็น ละอองน้ำ --> รวมตัวเป็นเมฆ --> เมื่อก้อน เมฆมีขนาดใหญ่ขึ้นจะตกลงมาเป็นฝน ลูกเห็บ หรือหิมะ ลงสู่พื้นเกิดเป็นแหล่งน้ำอีกครั้ง เกิดเป็นวัฏจักร หมุนเวียน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี ธาตุกัมมันตรังสี (Radioactive Element) คือสสารชนิดหนึ่งที่สามารถปล่อยพลังงานรังสีเช่น รังสี แอลฟา (α) , รังสีบีต้า (β) และรังสีแกมมา (γ) มาออกมาจากกระบวนการสลายตัวของธาตุหรือไอโซโทป ซึ่ง รังสีที่แผ่ออกมานั้นเป็นพลังงานชนิดหนึ่งเรียกว่ากัมมันตภาพรังสีนั่นเอง และการเปลี่ยนแผ่รังสีนี้สามารถ เปลี่ยนธาตุดังกล่าวเป็นธาตุอื่น เรื่อง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถกระทำได้หลายวิธี เช่น 1. รักษารถยนต์ ด้วยการเปลี่ยนไส้กรอง ไส้กรองอากาศที่สกปรกจะทำให้การไหลของอากาศที่สะอาดทำได้ น้อยลง มีผลต่อการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ด้วย 2. ควรใช้ผ้าแทนการใช้กระดาษทิชชู 3. ใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติก 4. ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทาง ควรทิ้งขยะให้ลงถังขยะ 5. ช่วยกันปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น 6. ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า 7. ไม่เปิดน้ำ และไฟฟ้าทิ้งไว้โดยไร้ประโยชน์ 8. ไม่ทิ้งน้ำเสียลงแม่น้ำลำคลอง 9. ควรทานอาหารให้หมดจาน 10. ไม่ควรเผาขยะหรือเศษไม้,เศษหญ้า


เรื่อง คาน คาน อาศัยหลักการของโมเมนต์ นั่นคือ เมื่อมีวัตถุที่เป็นของแข็งและจุดหมุนอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งบน คาน การออกแรง ณ จุดที่ห่างจากจุดหมุน จะเป็นการเพิ่มปริมาณของโมเมนต์ โดยมีมุมระหว่างแรงกระทำกับ ระยะห่างจากจุดหมุนเป็น อีกปัจจัยด้วย นั่นคือ โมเมนต์จะมากที่สุดเมื่อ แรงกระทำตั้งฉากกับ ระยะห่าง เรื่อง การหักเห การหักเห (refraction) คือการเปลี่ยนแปลงทิศทางของคลื่นที่ส่วนรอยต่อระหว่างตัวกลางต่างกัน เมื่อ ผ่านตัวกลางที่เปลี่ยนไป ทิศทางของการเดินทางจะเปลี่ยนไปเนื่องจากความเร็วเปลี่ยนไปโดยไม่มีการ เปลี่ยนแปลงความถี่ของคลื่น ปากกาโค้งงอบนผิวน้ำเนื่องจากการหักเหของแสง การหักเหของลำแสงผ่านก้อน พลาสติกใส เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง พืชสร้างอาหารได้เองโดยใช้น้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นวัตถุดิบ และใช้คลอโรฟิลล์ดูดพลังงาน จากแสง อาหารที่พืชสร้าง ได้แก่ น้ำตาล และแป้ง และยังได้แก๊สออกซิเจนและน้ำเกิดขึ้นด้วย กระบวนการ สร้างอาหารเองของพืช ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง 1. แสงและความเข้มแสง เมื่อปัจจัยอื่นๆ เหมาะสม ถ้าความเข้มของแสงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่งที่ความเข้มของแสงมากขึ้นก็ไม่ทำให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงเพิ่มขึ้น 2. อุณหภูมิ


เมื่ออุณหภูมิอยู่ในช่วง 0-35 องศาเซลเซียส หรือ 0-40 องศาเซลเซียส อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง ของพืชส่วนใหญ่จะมากขึ้น แต่ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดลง 3. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าความเข้มแสงคงที่ เมื่อความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะ เพิ่มขึ้นในช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นแม้ว่าความเข้มข้นของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มขึ้นอีก อัตราการ สังเคราะห์ด้วยแสงก็จะยังคงที่ 4. น้ำ เมื่อพืชขาดน้ำไป ปากใบจะปิด แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะแพร่เข้าไปสู่เซลล์ที่ทำการสังเคราะห์ด้วย แสงไม่ได้ ทำให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงลดลง เรื่อง สมบัติของสาร สมบัติของสาร หมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของสารที่สามารถบ่งบอกว่าสารชนิดนั้นคืออะไร สารแต่ละ ชนิดจะมีสมบัติของสารที่สังเกตได้ คือ สี กลิ่น รส สถานะ เนื้อสาร ถ้าต้องการตรวจสอบว่าของเหลวใส ไม่มีสี เป็นสารละลายน้ำตาลหรือสารละลายเกลือแกง ต้องทดสอบสมบัติเฉพาะตัวคือ รส หรือทดสอบการนำไฟฟ้า สมบัติ เครื่องมือที่ใช้หรือวิธีใช้ในการตรวจสอบ 1. การนำไฟฟ้า 2. การละลาย 3. ความเป็นกรด-เบส ของสาร 4. อุณหภูมิ 5. มวล 6. จุดหลอมเหลว 7. จุดเดือด - ชุดเครื่องตรวจการนำไฟฟ้า - นำไปละลายในตัวทำละลาย - ใช้กระดาษลิตมัสทดสอบสารละลาย ถ้าเป็นของแข็งต้อง ละลายน้ำก่อน ทดสอบด้วยกระดาษลิตมัส สารละลายที่มีสมบัติเป็นกรดจะ เปลี่ยนสี กระดาษลิตมัสจากสีน้ำเงินเป็นสีแดงสารละลายที่มีสมบัติเป็น เบสจะเปลี่ยน สีกระดาษลิตมัสจากสีแดงเป็นสีน้ำเงิน - เทอร์มอมิเตอร์ - เครื่องชั่ง - ใช้เทอร์มอมิเตอร์วัดอุณหภูมิขณะหลอมเหลว - ใช้เทอร์มอมิเตอร์วัดอุณหภูมิขณะเดือด


การเปลี่ยนแปลงสาร การเปลี่ยนแปลงสาร แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ 1. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ( Physical Change ) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสารที่เกี่ยวกับ สมบัติกายภาพ โดยไม่มีผลต่อ องค์ประกอบภายใน และ ไม่เกิดสารใหม่ เช่น การเปลี่ยนสถานะ , การละลาย น้ำ 2. การเปลี่ยนแปลงทางทางเคมี ( Chemistry Change ) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสารที่ เกี่ยวข้องกับสมบัติทางเคมีซึ่งมีผลต่อองค์ประกอบภายใน และจะมีสมบัติต่างไปจากเดิม นั่นคือ การเกิดสาร ใหม่ เช่น กรดเกลือ ( HCl ) ทำปฏิกิริยากับลวด แมกนีเซียม ( Mg ) แล้วเกิดสารใหม่ คือ ก๊าซไฮโดรเจน ( H2 ) การจัดจำแนกสารจะสามารถจำแนกออกเป็น 4 กรณี ได้แก่ 1. การใช้สถานะเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ - สถานะที่เป็นของแข็ง ( Solid ) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรคงที่ ซึ่งอนุภาคภายในจะอยู่ชิดติดกัน เช่น ด่างทับทิม ( KMnO4 ) , ทองแดง ( Cu ) - สถานะที่เป็นของเหลว ( Liquid ) จะมีรูปร่างตามภาชนะที่บรรจุ และ มีปริมาตรที่คงที่ ซึ่งอนุภาค ภายในจะอยู่ชิดกันน้อยกว่าของแข็ง และ มีสมบัติเป็นของไหล เช่น น้ำมัน , แอลกอฮอล์ , ปรอท ( Hg ) ฯลฯ - สถานะที่เป็นก๊าซ ( Gas ) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรที่ไม่คงที่ โดยรูปร่าง จะเปลี่ยนไปตามภาชนะที่ บรรจุ อนุภาคภายในจะอยู่ ห่างกันมากที่สุด และ มีสมบัติเป็นของไหลได้ เช่น ก๊าซหุงต้ม , อากาศ 2. การใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ จะมีสมบัติทางกายภาพของสารที่ได้จากการสังเกตลักษณะความแตกต่าง ของเนื้อสาร ซึ่งจะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ - สารเนื้อเดียว ( Homogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารเหมือนกันทุกส่วน ทำให้สารมีสมบัติเหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น แอลกอฮอล์ , ทองคำ ( Au ) , โลหะบัดกรี - สารเนื้อผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกันในแต่ ละส่วน จะทำให้สารนั้นมีสมบัติ ไม่เหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น น้ำอบไทย , น้ำคลอง ฯลฯ 3. การละลายน้ำเป็นเกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ - สารที่ละลายน้ำได้ เช่น เกลือแกง ( NaCl ) , ด่างทับทิม ( KMnO4 ) ฯลฯ - สารที่ละลายน้ำได้บ้าง เช่น ก๊าซคลอรีน ( Cl2 ) , ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2 ) ฯลฯ - สารที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ เช่น กำมะถัน ( S8 ) , เหล็ก ( Fe ) ฯลฯ 4. การนำไฟฟ้าเป็นเกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่


- สารที่นำไฟฟ้าได้ เช่น ทองแดง ( Cu ) , น้ำเกลือ ฯลฯ - สารที่ไม่นำไฟฟ้า เช่น หินปูน ( CaCO3 ) , ก๊าซออกซิเจน ( O2 ) เรื่อง เลนส์นูนและเลนส์เว้า เลนส์นูน หมายถึง เลนส์ที่บริเวณขอบมีลักษณะบาง แต่บริเวณส่วนกลางของเลนส์นั้นหนากว่า มี 3 ประเภท ได้แก่ เลนส์นูน 2 หน้า เลนส์นูนแกมเว้า และเลนส์นูนแกมระนาบ โดยการทำงานของเลนส์นูนอาศัย หลักการหักเหของแสง ที่จะหักเหเข้าหาแนวเส้นตั้งฉาก เลนส์เว้า หมายถึง เลนส์ที่บริเวณขอบมีลักษณะหนา แต่ตรงกลางเลนส์บาง มี 3 ประเภท ได้แก่ เลนส์ เว้า 2 หน้า เลนส์เว้าแกมนูน เลนส์เว้าแกมระนาบ โดยการทำงานจะอาศัยหลักการหักเหของแสงเช่นเดียวกับ เลนส์นูน แต่จะมีคุณสมบัติกระจายแสงได้ดี วิชาภาษาไทย เรื่อง การฟัง การฟัง หมายถึง กระบวนการของการได้ยินเสียงโดยผู้ฟังจะต้องสนใจและตั้งใจฟังเสียงนั้นแล้วใช้ สมองแปลความหมายของเสียงจนเกิดความเข้าใจ และมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงนั้นได้ การฟังที่ดี มีหลักดังนี้ คือ


1.ฟังอย่างมีมรรยาท คือแสดงความสนใจต่อผู้พูด ไม่แสดงอาการเฉยเมย หรือขัดจังหวะ คอยซักถาม เมื่อผู้พูดให้โอกาส ฟังด้วยความอดทนและมีใจกว้าง ถ้าเป็นการฟังในที่ประชุมควรให้เกียรติ ผู้พูดด้วยการ ปรบมือ 2.ฟังอย่างมีวิจารญาณ คือ เอาใจจดจ่อต่อการฟัง คอยติดตามเรื่องที่ฟังและแยกแยะส่วนที่เป็น เหตุผลที่แท้จริง และความคิดเห็นส่วนตัวของผู้พูด 3.ฟังให้ได้สารประโยชน์คือ จับสาระสำคัญให้ได้ก่อนรายละเอียดหรือพลความ อาจจดบันทึกหัว ข้อความรู้สำคัญเพื่อทุ่นเวลาและช่วยความจำพร้อมกันไปด้วย 4.ฟังให้ได้คุณค่าทางจิตใจ โดยทำใจให้คล้อยไปตามเรื่องที่ฟัง เพื่อให้เกิดอารมณ์สนุกสนาน เพลิดเพลิน เช่น การฟังบทละคร บทโทรศัพท์ ปาฐกถาธรรม บทเพลง เป็นต้น เรื่อง การพูด การพูด หมายถึง การติดต่อสื่อความหมายระหว่างมนุษย์ โดยใช้เสียง ภาษา แววตา สี หน้าท่าทาง ต่างๆ เพื่อถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิดจากผู้พูดไปยังผู้ฟังให้เป็นที่เข้าใจกัน วัตถุประสงค์ในการพูด 1. การพูดเพื่อให้ความรู้เป็นการอธิบาย ชี้แจง แสดงเหตุตามที่เตรียมไว้ ผู้พูดต้องมี ความรู้ ค้นคว้า เรียบเรียง อ้างอิงอย่าง ชัดเจน มีจุดมุ่งหมายเพื่อบอกกล่าว เล่าให้ฟัง เพื่อให้ ความรู้ เข้าใจ สาระสำคัญครบถ้วน ใช้ในโอกาสอบรม ปฐมนิเทศ ชี้แจง ระเบียบ ข้อบังคับ บรรยายสรุป กล่าวรายงาน ประกาศ กล่าวแถลงการณ์ การสอนหนังสือในชั้นเรียน 2. การพูดเพื่อโน้มน้าว เป็นการพูดชักชวน โน้มน้าว เกลี้ยกล่อม จูงใจ ปลุกเร้าให้คล้อย ตาม ผู้พูดต้องใส่อารมณ์ความ รู้สึกลงไป เพื่อแสดงความเชื่อ การเห็นด้วยอย่างสุจริตใจ จึงจะทำ ให้การพูดมี พลัง มีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ผู้ฟังเชื่อถือ คล้อยตาม ปฏิบัติตาม เปลี่ยนทัศนคติ ใช้ในโอกาสต่างๆ เช่น การชักชวน ให้ประท้วง รณรงค์ให้ไปลงคะแนนเสียง โน้มน้าวใจให้ บริจาค โลหิต เป็นต้น จูงใจให้คนซื้อสินค้า ตลอดจน ปลุกเร้าให้เกิดปฏิกิริยามวลชน 3. การพูดเพื่อจรรโลงใจ เป็นการพูดชี้แจงให้เห็นคุณงามความดี ความประณีต ความ งดงาม คุณค่าอันน่านิยม แสดงให้ เห็นถึงความน่าชื่นชมของความคิด การกระทำวัตถุ หรือ เรื่องราวอย่างใด อย่างหนึ่ง ตลอดจนความสนุกสนานเบิกบานใจ จุดมุ่ง หมายเพื่อความสบายใจ เพลิดเพลิน และได้สาระ 4. การพูดเพื่อค้นหาคำตอบ ผู้พูดมีวัตถุประสงค์เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ข้อมูลความรู้ ข้อคิดเห็น หรือแนวทางปฏิบัติ ต่างๆ จากผู้ฟัง เพื่อขจัดข้อสงสัยนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติของตน หรือเผยแพร่ ให้ผู้อื่นทราบ ผู้พูดจะต้องเรียบเรียงความคิดและ ใช้ภาษาที่ถูกต้อง กะทัดรัด สละสลวย สื่อความหมายให้ผู้ฟัง เรื่อง การอ่าน


การอ่าน หมายถึง การแปลตัวอักษรมาเป็นคำ ซึ่งทำให้ทราบความหมายของคำนั้นๆ เพื่อทำให้เข้าใจ เนื้อหาสาระในการอ่านและสามารถจับประเด็นสำคัญๆ ที่ผู้ส่งสารต้องการสื่อให้ผู้รับสารทราบ การรับรู้ ความหมายจากสารที่ได้รับโดยการอ่าน และเข้าใจความหมายของสาร เนื้อหาสาระ จับใจความสำคัญได้ และ สามารถนำไปถ่ายทอดได้ การอ่านถือเป็นกระบวนการในการรับสาร การอ่านจับใจความคืออะไร การอ่านจับใจความคือการอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ ประเด็นหรือสาระสำคัญภายในเรื่องที่อ่าน นับเป็นหัวใจหลักของการอ่านทุกประเภท เพราะการอ่านที่ดีคือการอ่านแล้วเข้าใจว่าสิ่งที่อ่านคืออะไร มี เนื้อหาหรือใจความอย่างไร จึงจะสามารถนำสิ่งที่ได้จากการอ่านไปใช้ประโยชน์ต่อได้ เรื่องการเขียน การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด เรื่องราว ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆไปสู้ ผู้อื่นโดยใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด การเขียนบรรณานุกรม เป็นรูปแบบการรวบรวมสารสนเทศ จากการสืบค้นข้อมมูลต่าง ๆ ทั้ง หนังสือ วารสาร เว็บไซต์ รวมถึงข้อมูลจากสังคมออนไลน์ เครื่องหมายวรรคตอน คือ เครื่องหมายใช้แบ่งวรรคตอน หรือคั่นข้อความต่างๆ เพื่อเป็นประโยคที่ ชัดเจนในการเขียนและอ่านให้ถูกต้อง จึงจะยกตัวอย่างเครื่องหมายวรรคตอนที่นิยมเขียนในภาษาไทย ได้แก่ 1. ( . ) เรียกว่า มหัพภาค ใช้เขียนหลังอักษรย่อ เช่น พ.ศ. ย่อจาก พุทธศักราช ค.ศ. ย่อจาก คริสศักราช ด.ช. ย่อจาก เด็กชาย ด.ญ. ย่อจาก เด็กหญิง รร. ย่อมาจาก โรงเรียน ร.ร. ย่อจาก โรงแรม 2. ( ) เรียกว่า นขลิขิต ใช้เขียนอธิบายข้อความเพิ่มเติม เช่น ด.ช.อดิศัย โพธิ์ทอง (ประธานนักเรียนโรงเรียนวัดนาคนิมิตร) 3. ! เรียกว่า อัศเจรีย์ (เครื่องหมาย ตกใจ) ใช้เขียนหลังคำอุทานบอกอาการ เช่น โอ้แม่เจ้า! ไฟไหม้! โอ้ มายก๊อด! ขโมยขึ้นบ้าน! 4. “ ” เรียกว่า อัญประกาศ ใช้เขียนคร่อมคำพูดที่ต้องการเน้น เช่น สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระบรมราชนิพนธ์ เรื่อง “เงาะป่า” ที่จัดมาฉายเป็นภาพยนต์การ์ตูนที่โด่งดังทุกวันนี้ 5. ______ เรียกว่า สัญประกาศ ใช้ขีดเส้นใต้ข้อความที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษ เช่น - หมายเหตุ ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าก่อนทาผลิตภัณฑ์นี้บนใบหน้า - ข้อควรระวัง ห้ามทาผลิตภัณฑ์นี้บนเนื้อเยื่อบอบบางบนใบหน้า อาจก่อให้เกิดกาแพ้ง่าย 6. ” เรียกว่า บุพสัญญา ใช้เขียนเพื่อละข้อความที่ซ้ำกัน เช่น ในสวนบ้านฉันปลูกต้นมะม่วง 10 ต้น ต้นละมุด 12 ” ต้นส้ม 5 ” 7. = เรียกว่า เสมอภาค ใช้เขียนคั่นข้อความที่มีความหมายเท่ากัน มักใช้ในทางคณิตศาสตร์ เช่น 5 + 5 = 10


วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนและการดำเนินการ ตัวประกอบ คือ จำนวนนับทุกจำนวนที่หารจำนวนนับนั้นได้ลงตัว เช่น ตัวประกอบของ 12 คือ 1,2,3,4,6,12 เป็นต้น ตัวประกอบร่วม คือ จำนวนที่หารจำนวนนับนั้นได้ลงตัว เช่น ตัวประกอบร่วมของ 12 และ 24 คือ 1,2,3,4,6,12 เป็นต้น จำนวนเฉพาะ คือ จำนวนนับที่มากกว่า 1 ที่มีตัวประกอบเพียง 2 ตัว คือ 1 และตัวมันเอง หรือ จำนวนที่ไม่สามารถเอาตัวไหนมาหารลงตัวนอกจาก 1 และตัวมันเอง การแยกตัวประกอบ คือ ประโยคที่แสดงการเขียนจำนวนนั้นในรูปการณ์คูณของตัวประกอบเฉพาะ จํานวนจริง ( Real number ) ประกอบด้วยจํานวนตรรกยะและจํานวนอตรรกยะ 1. จํานวนตรรกยะ ( Rational number ) ประกอบด้วย จํานวนเต็ม ทศนิยมซ้ํา และเศษส่วน 1. จํานวนเต็ม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ชนิด คือ 1.1 จํานวนเต็มบวก(I+)หรือจํานวนนับ (N) ∴ I+ = N = {1, 2, 3, …} 1.2 จํานวนเต็มศูนย์ มีจํานวนเดียว คือ {0} 1.3 จํานวนเต็มลบ (I-) ∴ I– = {-1, –2, –3, …} 2. เศษส่วน เช่น จำนวนและการดำเนินการ 3. ทศนิยมซ้ํา เช่น 0.6, 0.12, 0.532 เป็นต้น 2. จํานวนอตรรกยะ( irrational number ) คือ จํานวนที่ไม่ใช่จํานวนตรรกยะ เขียนได้ในรูป ทศนิยมไมซ้ํา เช่น π มีค่าเท่ากับ 3.14159265… 0.1010010001… มีค่าประมาณ 1.101 เรื่อง เศษส่วน เศษส่วนหมายถึง ส่วนหนึ่งๆ ของจำนวนทั้งหมดที่แบ่งออกเป็นส่วนๆ เท่าๆ กัน เช่นแบ่ง แตงโม 1 ผล ออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน แตงโม 1 ซีก หมายถึง 1 ใน 4 ของแตงโมทั้งหมด เขียนแทนด้วย 1/4 เศษส่วนหมายถึง ส่วนต่าง ๆ ของเซตที่ถูกแบ่งออกเป็นเซตย่อยที่มีจำนวนสมาชิกเท่ากัน เช่น เด็กชาย 2 คน คิดเป็น 2/6 = 1/3 ของจำนวนเด็กชาย 6 คน เศษส่วนหมายถึง การเขียนเลขในรูปของผลหาร โดยมีเศษเป็นตัวตั้งและส่วนเป็นตัวหาร เช่น แบ่งเด็ก 6 คน ออกเป็น 3 กลุ่ม จะได้กลุ่มละกี่คน เขียนแทนด้วย 6/3 = 2 คน


2. การใช้สัญลักษณ์แทนเศษส่วน ส่วนหมายถึง จำนวนทั้งหมดแบ่งออกเป็นส่วนเท่าๆกัน เศษหมายถึง จำนวนที่ต้องการจากจำนวนที่แบ่งเป็นส่วนๆ เรื่อง เลขยกกำลัง เลขยกกำลัง คือ สัญลักษณ์ที่ใช้แทนจำนวนซึ่งเกิดจากการคูณตัวเองซ้ำกันหลาย ๆ ตัว เช่น 2 x 2 x 2 x 2= 24 5 x 5 x 5= 5³ โดยการเขียนเลขยกกำลังจะมีส่วนประกอบทั้งหมด 2 ส่วน คือ ฐาน (base) และเลขชี้กำลัง (exponent) เลขยกกำลังประกอบด้วยอะไรบ้าง เลขยกกำลังมีส่วนประกอบทั้งหมด 2 ส่วนคือ ฐาน (base) และเลขชี้กำลัง (exponent) โดยมีบท นิยามดังนี้ เมื่อ a เป็นจำนวนใด ๆ และ n เป็นจำนวนเต็ม เลขยกกำลังที่มี a เป็นฐาน และ n เป็นเลขชี้กำลัง เขียนแทนด้วย an สมบัติของเลขยกกำลัง สมบัติที่สำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับเลขยกกำลังมีดังนี้ เมื่อ a และ b เป็นจำนวนใด ๆ m และ n เป็นจำนวนเต็ม เรื่องความน่าจะเป็น ความน่าจะเป็น คือ จำนวนที่บอกให้ทราบว่าเหตุการณ์ที่สนใจมีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด การทดลองสุ่ม


การทดลองสุ่ม คือ การทดลองที่รู้ผลลัพธ์อาจจะเป็นอะไรได้บ้าง แต่ไม่รู้แน่นอนว่าแต่ละครั้งที่ทดลอง จะได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร เช่น การทอยลูกเต๋าหนึ่งลูกหนึ่งครั้ง แต้มบนหน้าลูกเต๋าที่อาจจะเป็นได้คือ 1,2,3,4,5,6 แต่บอกไม่ได้แน่นอนว่าแต้มที่จะได้เป็นอะไร เหตุการณ์คือ เซตของผลลัพธ์ที่เราสนใจจากการทดลองสุ่ม นิยมเขียนแทนด้วย E ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า เหตุการณ์จะเป็นสับเซตของปริภูมิตัวอย่างเสมอ แฟกทอเรียล n (Factorial n) เมื่อ n เป็นจำนวนเต็มบวก แฟกทอเรียล n หมายถึง ผลคูณของจำนว เต็มบวกตั้งแต่ 1ถึง n ซึ่ง แฟกทอเรียล n เขียนแทนด้วย n ! โดย n! อ่านว่า แฟกทอเรียลเอ็น หรือ เอ็นแฟกทอเรียล ก็ได้ สาระการพัฒนาสังคม วิชาสังคมศึกษา เรื่องปรากฎการภาวะเรือนกระจก หมายถึง ภาวะที่ชั้นบรรยากาศของโลกกระทำตัวเสมือนกระจก ที่ยอมให้รังสีคลื่นสั้นผ่านลง มายังผิวโลกได้ แต่จะดูดกลืนรังสีคลื่นยาวช่วงอินฟราเรดที่แผ่ออกจากพื้นผิวโลกเอาไว้ จากนั้นก็จะคาย พลังงานความร้อน ให้กระจายอยู่ภายใน ชั้นบรรยากาศและพื้นผิวโลก จึงเปรียบเสมือนกระจกที่ปกคลุมผิว โลกให้มีภาวะสมดุลทางอุณหภูมิ เรื่องภาวะภัยแล้งภัยแล้ง


หมายถึง ความแห้งแล้งอันเกิดจากภัยทางดินฟ้าและอากาศ โดยเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ฝนที่ไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือฝนตกน้อยกว่าปกติทำให้ผืนแผ่นดินเกิดความแห้งแล้ง ส่งผลกระทบต่อชีวิต ทำให้ขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เรื่องประเภทของดิน ดินร่วน (Loam Soil) ดินร่วนมีลักษณะละเอียด ร่วน จับเป็นก้อนอย่างพอประมาณ เป็นดินลูกครึ่งที่ ผสมผสานร่วมกันระหว่างดินทรายและดินเหนียวด้วยอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งอย่างสมดุล ระบายน้ำได้ดี อุ้มน้ำไว้ ได้ประมาณหนึ่งเหมาะสำหรับการเพาะปลูกทั่วไป สามารถกักเก็บความชื้นได้ดี เป็นแหล่งสะสมอาหารที่ สมบูรณ์มีแคลเซียมสูง ดินทรายทราย (Sandy soil) มีส่วนประกอบของทรายมากกว่า 85 เปอร์เซตฃนต์ ทำให้ดินชนิดนี้ มี สัมผัสที่ค่อนข้างสาก ด้วยส่วนประกอบของทรายเกือบทั้งหมดจึงทำให้ขาดสารอาหารในบางพื้นที่ เนื้อหยาบ คลลายตัวเร็ว ระบายน้ำและอากาศได้ดี อุ้มน้ำไม่ค่อยดีทาไหร่มีน้ำหนักเบามาก สภาพดินเป็นกรด (แล้วแต่ พื้นที่) ดินเหนียว (Clay Soil) เป็นดินที่มีความละเอียดสูงที่สุด สัมผัสนุ่มและเหนียวติดมือ เมื่อแห้งดินจะ แปรสภาพจากเหนียวกลายเป็นดินที่แห้งแตก มีน้ำหนักมากที่สุดของดินแต่ละชนิด กักเก็บน้ำได้ดีมาก ความชื้นและอากาศซึมเข้าไปได้ยาก มีความยืดหยุ่นสูง ดูดซับแร่ธาตุอาหารได้ดี วิชาศาสนาและหน้าที่พลเมือง เรื่องทวีบเอเชีย เอเชีย เป็นทวีปขนาดใหญ่และมีประชากรมากที่สุดในโลก พื้นที่ส่วนมากตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือและซีก โลกตะวันออก ทวีปเอเชียเป็นส่วนหนึ่งของทวีปยูเรเชียรวมกับทวีปยุโรป และเป็นส่วนหนึ่งของทวีปแอฟโฟรยูเรเชียร่วมกับยุโรปและแอฟริกา ทวีปเอเชียมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 44,579,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 30% ของแผ่นดินทั่วโลกหรือคิดเป็น 8.7% ของผิวโลกทั้งหมด การแบ่งภูมิภาคของทวีปเอเชีย ทวีปเอเชียแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาค ได้แก่ 1. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ได้แก่ประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเซีย สิงคโปร์ และบรูไน 2. เอเชียตะวันออก (East Asia) ได้แก่ ประเทศจีน มองโกเลีย ได้หวัน เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหพันธรัฐรัสเซียในเอเชีย


3. เอเชียใต้ (South Asia) ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ศรีลังกา ภูฎาน และมัลดีฟส์ 4. เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (Southwest Asia ) ได้แก่ ประเทศอัฟกานิสถาน อิหร่าน ิอิรัก อิสราเอล จอร์แดน คูเวต เลบานอน กาตาร์ โอมาน ซาอุดีอาระเบีย ซีเรีย ตุรกี บาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยเมน และไซปรัส 5. เอเชียกลาง (Central Asia) ได้แก่ คาซัคสถาน คีร์กิซ อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน ทาจิกิ สถาน อาเซอร์ไบจาน จอร์เจีย และอาร์เมเนีย เรื่องคุณธรรม อริยสัจ 4 "อริยสัจ 4" เป็นหลักธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบเพื่อดับทุกข์ ซึ่งทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ เป็นวิธีแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้ด้วย โดยมีความหมายว่าความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ได้แก่ ทุกข์ ปัญหา หรือสิ่งที่ทำให้ทุกข์ใจ สมุทัย สาเหตุของปัญหา นิโรธ เป้าหมายของการดับทุกข์ มรรค การดับทุกข์ สังคหวัตถุ 4 ทาน คือการให้เผื่อแผ่ แบ่งปัน ไม่เห็นแก่ตน ปิยวาจา คือคำพูดจาที่ไพเราะ อ่อนหวานน่ารักใคร่ พูดความจริง พูดเพื่อให้เป็นประโยชน์ เพื่อความสมัครสมานสามัคคีในหมู่คณะ อัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น สมานัตตตา คือการประพฤติตนเสมอต้นเสมอปลาย พรหมวิหาร ๔หรือ พรหมวิหารธรรม เป็นหลักธรรมประจำใจเพื่อให้ตนดำรงชีวิตได้อย่าง ประเสริฐและบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหม เป็นแนวธรรมปฏิบัติของผู้ที่ปกครอง และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ประกอบด้วย หลักปฏิบัติ 4 ประการ ได้แก่ เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มี อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา คือ มีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตาชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระทำแล้ว อัน ควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตนประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้งรู้จักวาง เฉยสงบใจมองดู ในเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำ เพราะเขารับ ผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขา ควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน เรื่องหน้าที่ของพลเมืองไทย (1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (2) ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติและสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งให้ความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (3) ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด (4) เข้ารับการศึกษาอบรมในการศึกษาภาคบังคับ (5) รับราชการทหารตามที่กฎหมายบัญญัติ


(6) เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระทำการใดที่อาจ ก่อให้เกิดความ แตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม (7) ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นสำคัญ (8) ร่วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลาย ทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม (9) เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ (10) ไม่ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ วิชาการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม เรื่องหลักความเสมอภาค เป็นหลักพื้นฐานของศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ย่อมได้รับการรับรองและคุ้มครองจาก กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันในฐานะที่เป็นมนุษย์โดยมิต้องคำนึงถึงคุณสมบัติอื่นๆ อาทิเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ถิ่นกำเนิด เป็นต้น และขณะเดียวกันก็ถือได้ว่าหลักความเสมอภาคนี้เป็นหลักที่ควบคุมมิให้รัฐใช้อำนาจของตน ตามอำเภอใจโดยการใช้อำนาจของรัฐแก่กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งรัฐต้องสามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดรัฐจึง กระทำการอันก่อให้เกิดผลกระทบหรือเป็นการให้ประโยชน์แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้นโดยเฉพาะ หากการให้ เหตุผลไม่อาจรับฟังได้แสดงว่าการใช้อำนาจของรัฐนั้นเป็นไปตามอำเภอใจ ดังนั้นหลักความเสมอภาคจึงเป็น หลักสำคัญในการรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสามารถนำมาตรวจสอบการใช้อำนาจ ของรัฐไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการได้ เรื่องคุณลักษณะพลเมืองดี ๑ เป็นบุคคลที่เคารพกฎหมาย ๒ เป็นบุคคลที่เคารพสิทธิและเสรีภาพของตนเองและบุคคลอื่น ๓ เป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่มีต่อครอบครัว โรงเรียน ชุมชน ประเทศชาติและ สังคมโลก ๔ เป็นบุคคลที่มีเหตุผล ใจกว้าง และรับฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่นเสมอ ๕ เป็นบุคคลที่มีคุณธรรมและจริยธรรมในการด าเนินชีวิตประจ าวัน ๖ มีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของชุมชน ประเทศชาติ และสังคมโลก หรือ องค์กรที่ตนสังกัดอยู่ ๗ มีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองการปกครอง เรื่องการจัดทำแผนชุมชน หมายถึง การกำหนดอนาคตและกิจกรรมการพัฒนาของชุมชน โดยเกิดขึ้นจาก คนในชุมชนที่ มีการรวมตัวกันจัดทำแผนพัฒนาชุมชนท้องถิ่นขึ้นมา เพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่นของ


ตนเอง ให้เป็นไปตามที่ต้องการและสามารถแก้ปัญหา ที่ชุมชนเผชิญอยู่ คนในชุมชนมีส่วนร่วมคิด ร่วมกำหนด แนวทางและทำกิจกรรมการพัฒนา ร่วมกัน ยึดหลักการพึ่งตนเอง การพัฒนาตนเอง การพัฒนาครอบครัว หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และประเทศ การ พัฒนาสังคมในหน่วยย่อย นำไปสู่การพัฒนาสังคมที่เป็นหน่วยใหญ่ มักจะมีจุดเริ่มด้นที่เหมือนกัน คือ การ พัฒนาที่ตัวบุคคล ถ้าประชาชนได้รับการพัฒนาให้เป็นบุคคลที่มีจิตใจดีงาม มีความเอื้อเพื่อ มีคุณธรรม รู้จัก การพึ่งพาตนเอง มีความร่วมมือร่วมใจ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความเชื่อมั่นในถูมิปัญญาของตนเอง และ พร้อมที่จะรับความรู้ใหม่ๆ ซึ่งการพัฒนาคนที่ดีที่สุด คือ การรวมกลุ่มประชาชนให้เป็นองค์กรเพื่อพัฒนาคนใน กลุ่ม เพราะกลุ่มคนนั้นจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ เกิดการคิดและแก้ปัญหา หรือกลุ่มที่พัฒนาด้านบุคลิกภาพของ คนในการทำงานร่วมกัน จะช่วยให้คนได้เกิดการพัฒนาในด้านความคิด ทัศนคติ ความมีเหตุผล ซึ่งเป็นรากฐาน ที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย เรื่องการพัฒนาชุมชน ถือ คน เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาต้องส่งเสริมให้เกิด การพัฒนาแบบมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อนำไปสู่ชุมชนที่เข้มแข็ง ชุมชนที่พึ่งตนเอง ชุมชนที่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤติต่างๆ ได้ โดยชุมชนเอง ทั้งนี้ ภาครัฐจะสนับสนุนในส่วนที่ยังเกินขีดความสามารถของชุมชนผลสัมฤทธิ์ของชุมชนเข้มแข็ง ชุมชนต้อง รับผิดชอบชุมชนได้ ชุมชนเท่านั้นที่จะแก้ไขปัญหาของชุมชนได้ ชุมชนต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ " หลักการทำงานกับประชาชนตามอุดมคติของกรมการพัฒนาชุมชน 1. พิจารณาภาวการณ์ที่เป็นอยู่ในชุมชนเป็นหลักเริ่มงาน 2. ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมและรู้เห็นตั้งแต่เริ่มต้น 3. โครงการและกิจกรรมพัฒนาชุมชนต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรีบ รวบรัด 4. แสวงหาความต้องการทีแท้จริงของประชาชนให้พบ 5. ใช้วิธีดำเนินงานแบบประชาธิปไตย 6. การวางโครงการต้องยืดหยุ่นอ่อนตัวได้ตามสถานการณ์ 7. ทำความเข้าใจในวัฒนธรรมของชุมชน 8. แสวงหาผู้นำท้องถิ่นและผู้นำชุมชนเป็นมิตรคู่งาน 9. ใช้องค์กรที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์ 10. อาศัยนักวิชาการหรือผู้ชำนาญเฉพาะสาขา 11. ทำงานกับสมาชิกทุกคนในสถาบันครอบครัว 12. โครงการต้องมีลักษณะกว้าง เพื่อสนองความต้องการของประชาชนได้ ครอบคลุมปัญหาด้านต่าง 13. ทำการประเมินงานเป็นระยะๆ 14. ทำงานกับคนทุกชั้นของสังคม 15. สอดคล้องเป็นแนวทางเดียวกับกรอบนโยบายของชาติ


16. อาศัยหลักการเข้าถึงชุมชน


Click to View FlipBook Version