The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

E-Book เรื่อง อุปสงค์ อุปทาน และดุลยภาพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ณัฐรดา มาลาหอม, 2019-06-04 20:57:33

E-Book เรื่อง อุปสงค์ อุปทาน และดุลยภาพ

E-Book เรื่อง อุปสงค์ อุปทาน และดุลยภาพ

หน่วยท่ี 3

อปุ สงค์ อปุ ทาน และดลุ ยภาพ

ณฐั รดา มาลาหอม

หน่วยท่ี 3

อปุ สงค์ อปุ ทาน และดุลยภาพ

อปุ สงค์ อปุ ทาน และการกาหนดราคา
การศึกษาอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ถือวา่ เป็ นหวั ใจของการศึกษาวิชา

เศรษฐศาสตร์เน่ืองจากในการดาเนินการของกลไกตลาดจะเกิดข้ึนจากการปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งอุป
สงคแ์ ละอุปทานทาใหเ้ กิดราคาท่ีซ้ือขายกนั ในตลาด โดยที่อุปสงคเ์ ป็ นการศึกษาเก่ียวกบั พฤติกรรม
ของผบู้ ริโภค ในขณะที่อุปทานเป็ นการศึกษาเกี่ยวกบั พฤติกรรมของผผู้ ลิต สรุปเน้ือหาสาคญั ของ
อุปสงคแ์ ละอุปทาน ไดด้ งั น้ี

อปุ สงค์ (demand
การศึกษาอุปสงค์ เป็ นการศึกษาพฤติกรรมผูบ้ ริโภคในการซ้ือสินค้าและบริการ

ภายใตเ้ ง่ือนไขที่วา่ ผบู้ ริโภคจะเลือกซ้ือสินคา้ ท่ีตนเองไดร้ ับความพอใจสูงสุดภายใตง้ บประมาณท่ี
ตนเองมีอยู่ โดยท่ีระดับความพอใจท่ีผูบ้ ริโภคได้รับสูงสุดน้ันมีการศึกษาที่เป็ นพ้ืนฐานอยู่ 2
ทฤษฎี คือ

 ความพอใจวดั เป็ นหน่วยได้ (cardinal approach) ตามทฤษฎีน้ีผบู้ ริโภค จะ
เลือกบริโภคสินคา้ และบริการที่มีหน่วยของความพอใจสูงสุด

 ความพอใจวดั เป็นระดบั ความพอใจ (ordinal approach) ตามทฤษฎีน้ีผบู้ ริโภค
จะเลือกบริโภคสินค้าและบริการท่ีมีระดับของความพอใจสูงสุด ภายใต้
งบประมาณท่ีมี

1. นิยามของอปุ สงค์
อุปสงค์ หมายถึง จานวนต่าง ๆ ของสินคา้ และบริการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงท่ีมีผบู้ ริโภค
ตอ้ งการซ้ือในระยะเวลาหน่ึง ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ ของสินคา้ และบริการชนิดน้นั ๆ ในระยะเวลา
และสถานที่กาหนด
จากความหมายของอุปสงค์ การที่อุปสงค์จะสัมฤทธ์ิ (effective demand) ไดต้ อ้ ง
ประกอบดว้ ยลกั ษณะ 3 ประการ (ประพนั ธ์ เศวนนั ทน์ และไพศาลเล็กอุทยั 2540 : 19) ดงั น้ี
1. ความตอ้ งการซ้ือ (wants) คือ ผบู้ ริโภคตอ้ งมีความอยากหรือความตอ้ งการสินคา้
และบริการน้นั ก่อน
2. ความเตม็ ใจท่ีจะจ่าย (willingness to pay) คือ ผบู้ ริโภคมีความยนิ ดีท่ีจะสละเงิน
ของตนที่จะแลกเปลี่ยนกบั สินคา้ หรือบริการ

3. ความสามารถท่ีจะซ้ือ (purchasing power or ability to pay) คือ ผบู้ ริโภคตอ้ งมี
เงินท่ีจะซ้ือสินคา้ หรือบริการน้นั ได้

อุปสงค์ = ความตอ้ งการซ้ือ + ความเตม็ ใจท่ีจะจ่าย + ความสามารถท่ีจะซ้ือ

อุปสงคท์ ่ีจะสัมฤทธ์ิผลไดต้ อ้ งประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบท้งั 3 ส่วน ยกตวั อยา่ ง เช่น
ผบู้ ริโภครายหน่ึงมีความตอ้ งการซ้ือรถจากยุโรป ราคา 2 ลา้ นบาท แต่ตนเองมีเงินเพียง 1 แสน
บาท ความตอ้ งการซ้ือน้นั เป็ นความตอ้ งการซ้ือธรรมดา ไม่ใช่อุปสงค์ท่ีสัมฤทธ์ิผลเป็ นเพียงอุป
สงคท์ ่ียงั ไม่ก่อให้เกิดการซ้ือขาย (potential demand) การเป็ นอุปสงค์ที่สัมฤทธ์ิ นอกจากมีความ
ตอ้ งการซ้ือแลว้ ผบู้ ริโภครายน้นั ตอ้ งมีเงินที่จะจ่าย และเตม็ ใจท่ีจะจ่ายดว้ ย

2. ตัวกาหนดจุดประสงค์
ตวั กาหนดจุดประสงค์ หมายถึง ปัจจยั ต่าง ๆ ที่มีผลต่อจานวนสินคา้ และบริการท่ี
ผบู้ ริโภคตอ้ งการซ้ือ ประกอบดว้ ย (Soloman 1997 : 42)

 ราคาสินคา้ ชนิดน้นั (price : PX)
 รสนิยม (testes : Ta)
 ราคาสินคา้ ที่เกี่ยวขอ้ ง (Py)

- ราคาสินคา้ ท่ีใชท้ ดแทนกนั (substitution goods)
- ราคาสินคา้ ที่ใชป้ ระกอบกนั (complementary goods)

 รายได้ (income : y)

 กระจายรายได้ (distribution of income : DI)

 การคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงราคาในอนาคต (expectations of future price
changes : Pex)

จากการศึกษาตวั กาหนดอุปสงคด์ งั กล่าวสามารถเขียนเป็ นสมการแสดงความสัมพนั ธ์

เป็นฟังกช์ น่ั ของอุปสงคไ์ ด้ ดงั น้ี

Qdx = F ( Px , Py ’ y, DI , Pex )

ตามสมการ แสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างอุปสงค์และตวั กาหนดอุปสงค์ สามารถ
จาแนกตวั กาหนดอุปสงคไ์ ด้ 2 ประเภท คือ

 ตวั กาหนดอุปสงคโ์ ดยตรง (direct determinant) ไดแ้ ก่ ราคาสินคา้ ชนิดน้นั
(Px) ท้งั น้ีเน่ืองจากเมื่อราคาสินคา้ เปล่ียนแปลงจะส่งผลต่ออุปสงคไ์ ดใ้ นทนั ที

 ตวั กาหนดอุปสงคโ์ ดยออ้ ม (indirect determinants) ไดแ้ ก่ตวั กาหนดอ่ืน ๆ

นอกจากราคาสินคา้ ชนิดน้นั

3. กฎของอปุ สงค์
กฎของอุปสงฆ์ (law of demand) เป็ นการอธิบายความสาคญั ระหวา่ งอุปสงคก์ บั
ราคาสินคา้ ตามกฎของอุปสงคก์ ล่าววา่ ปริมาณของสินคา้ และบริการชนิดหน่ึงที่ผบู้ ริโภคตอ้ งการ
ซ้ือจะแปรผกผนั (inverse relation) กบั ราคาของสินคา้ และบริการชนิดน้นั เสมอ โดยมีเง่ือนไขวา่
ตวั กาหนดอุปสงคอ์ ่ืน ๆ ตอ้ งคงท่ี (ceteris paribus)

จากการกาหนดของอุปสงค์จะพบว่าถ้าราคาสินคา้ แพงข้ึนผูบ้ ริโภคจะซ้ือสินคา้ ใน
ปริมาณลดลง และถา้ ราคาสินคา้ ถูกผบู้ ริโภคจะซ้ือสินคา้ ในปริมาณที่เพ่ิมข้ึน ท้งั ที่เกิดจากผลทาง
รายได้ (income effect) และผลทางการทดแทน (substitution effect) (เพิ่งอา้ ง, 1997 : 40)
กล่าวคือ เม่ือราคาสินคา้ เพิ่มข้ึนผูบ้ ริโภคไดร้ ับผลทางรายได้ จากการท่ีมีรายไดเ้ ท่าเดิม ผบู้ ริโภค
สามารถซ้ือสินคา้ ในปริมาณที่ลดลง และไดร้ ับผลทางการทดแทนคือ สินคา้ ชนิดอื่น ท่ีทดแทน
ไดม้ ีราคาที่คงท่ี ผูบ้ ริโภครู้สึกว่าซ้ือสินคา้ ท่ีข้ึนราคาได้ในปริมาณท่ีลดลง จึงหนั ไปซ้ือสินคา้ ที่
ทดแทนกนั ได้ สามารถเขียนสัญลกั ษณ์แสดงความสัมพนั ธ์ไดด้ งั น้ี

Px Q d
x

Px Q d
x

4. ตารางอปุ สงค์ (demand schedule) และเส้นอุปสงค์ (demand curve)
ตารางอุปสงค์ หมายถึง ตารางท่ีแสดงถึง ปริมาณสินคา้ และบริการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง
ท่ีผซู้ ้ือตอ้ งการซ้ือ ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ ของสินคา้ และบริการชนิดน้นั ในระยะเวลาและสถานท่ีที่
กาหนด
เส้นอุปสงค์ หมายถึง เส้นกราฟของตารางอุปสงค์ ที่แสดงความสัมพนั ธ์ระหว่าง
ปริมาณสินคา้ ท่ีผูบ้ ริโภคตอ้ งการซ้ือกบั ระดบั ราคาต่าง ๆ ของสินคา้ ชนิดน้นั ๆ สามารถแสดงได้
ดว้ ยรูปกราฟท่ีมีลกั ษณะ ดงั น้ี

 ใหแ้ กนต้งั แทนราคาสินคา้ และแกนนอนแทนปริมาณสินคา้ เส้นอุปสงคจ์ ะ
มีลกั ษณะลาดเอียงลดลงจากซ้ายไปขวา (rightward down slope) มีความชนั
เป็นลบ (negative slope)

ราคา

10

5

23 ปริมาณซ้ือ

 เส้นอุปสงคจ์ ะเป็ นเส้นตรงหรือเส้นโคง้ ก็ได้ ข้ึนอยกู่ บั ความสัมพนั ธ์ของการ
ตอบสนองการเปล่ียนแปลงของอุปสงคต์ อ่ ราคาท่ีเปล่ียนแปลงไป

 เส้นกราฟท่ีแสดงความสัมพนั ธ์ราคากับปริมาณสินคา้ ที่ผูบ้ ริโภคแต่ละคน
ตอ้ งการซ้ือเรียกวา่ เส้นอุปสงคส์ ่วนบุคคล (individual demand) แต่ถา้ เป็ น
ปริมาณสินคา้ ที่ผูบ้ ริโภคทุกคนตอ้ งการซ้ือเรียกว่าเส้นอุปสงคต์ ลาด (market
demand)

5. การเปลยี่ นแปลงอปุ สงค์
การเปล่ียนแปลงอุปสงคม์ ี 2 ลกั ษณะ คือ

 การเปล่ียนแปลงของปริมาณอุปสงค์ (change in quantity demand)
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของปริมาณอุปสงค์ อนั เน่ืองมาจากราคาของสินคา้
ชนิดน้นั เปลี่ยนแปลงโดยท่ีตวั กาหนดอุปสงคอ์ ื่น ๆ คงท่ี ผลท่ีเกิดข้ึนทาให้
ปริมาณอุปสงคเ์ ปล่ียนแปลงจากจุดหน่ึงมายงั อีกจุดหน่ึง บนเส้นอุปสงคเ์ ดิม
เรียกได้ว่าเป็ นการเปล่ียนแปลงปริมาณอุปสงค์ภายในเส้นเดียวกนั (move
along demand)

ราคา
10
5

23 ปริมาณซ้ือ

 การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ (change in demand) หมายถึง การเปลี่ยนแปลง

ของอุปสงค์อนั เนื่องมาจากตวั กาหนดอุปสงค์โดยออ้ มเปลี่ยนแปลง เช่น

รายได้ ราคาสินคา้ ที่เก่ียวขอ้ งและรสนิยม ในขณะที่ราคาสินคา้ น้นั คงท่ี ผล
ท่ีเกิดข้ึนทาให้เส้นอุปสงค์เคล่ือนยา้ ยจากเดิมท้งั เส้น (shift in demand
curve) โดยการเคล่ือนยา้ ยมีท้งั เคล่ือนยา้ ยเพ่ิมข้ึน (จาก D เป็ น D1) และ
ลดลง (จาก D เป็น D2)
ราคา

10

5 D1
D

D2

23 4 ปริมาณซ้ือ

6. อุปสงคต์ อ่ ราคาสินคา้ ท่ีเก่ียวขอ้ ง (cross demand)
 อุปสงคต์ ่อราคาท่ีเกี่ยวขอ้ ง หมายถึง จานวนสินคา้ หรือบริการชนิดใดชนิด
หน่ึงท่ีผซู้ ้ือประสงคจ์ ะซ้ือ ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ ของสินคา้ ชนิดอื่นที่เก่ียวขอ้ ง
ในระยะเวลาและสถานท่ีที่กาหนด

สินคา้ ชนิดอ่ืนท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั สินคา้ ชนิดที่ผบู้ ริโภคตอ้ งการซ้ือน้นั มีความเก่ียวขอ้ ง 2
ลกั ษณะ คือ

 สินคา้ ที่ใชแ้ ทนกนั ได้ (substitute goods) เช่น เหลา้ กบั เบียร์ เน้ือหมูกบั
เน้ือไก่ ชากบั กาแฟ การซ้ือสินคา้ ของผูบ้ ริโภคมกั จะซ้ืออย่างใดอยา่ งหน่ึง
เท่าน้นั สามารถยกตวั อยา่ งของความสัมพนั ธ์ไดด้ งั น้ี
Pชา Q ชา Q กาแฟ
Pชา Q ชา Q กาแฟ

เขียนกราฟแสดงความสมั พนั ธ์ไดด้ งั น้ี
ราคา(ชา)
Pชา

Q กาแฟ
 สินคา้ ท่ีใชป้ ระกอบกนั (complementary goods) เช่น โตะ๊ กบั เกา้ อ้ี เหลา้ กบั

โซดา กาแฟกบั น้าตาล การซ้ือสินคา้ ของผูบ้ ริโภคมกั จะซ้ือพร้อมกนั ท้งั 2
ชนิด สามารถยกตวั อยา่ งของสัมพนั ธ์ไดด้ งั น้ี

Pชา Q ชา Q น้าตาล
Pชา Q ชา Q น้าตาล
เขียนกราฟแสดงความสมั พนั ธ์ไดด้ งั น้ี
ราคา(ชา)
Pชา

Q น้าตาล

7. อุปสงค์ต่อรายได้ (income demand)
 อุปสงคต์ อ่ รายได้ หมายถึง จานวนสินคา้ หรือบริการชนิดใดชนิดหน่ึงท่ีผซู้ ้ือ
ประสงคจ์ ะซ้ือ ณ ระดบั รายไดต้ ่าง ๆ ในระยะเวลาและสถานท่ีท่ีกาหนด

รายได้เป็ นตวั กาหนดในการบริโภคสินคา้ และบริการ ถ้าหากรายไดข้ องผูบ้ ริโภค
เพ่ิมข้ึนแลว้ มีผลทาให้ผูบ้ ริโภคซ้ือสินคา้ ชนิดใดชนิดหน่ึงเพิ่มข้ึน เรียกสินคา้ ประเภทน้ันวา่ เป็ น
สินคา้ ปกติ (mormal goods) สามารถเขียนกราฟแสดงความสัมพนั ธ์ไดด้ งั น้ี

รายได้
รายได้

ปริมาณซ้ือ

ในตารางตรงกนั ขา้ มหาว่ารายได้ของผูบ้ ริโภคเพ่ิมข้ึน แล้วมีผลทาให้ผูบ้ ริโภคซ้ือ
สินค้าชนิดหน่ึงลดลง เรียกสินค้าประเภทน้ันว่า เป็ น สินค้าด้อยคุณภาพ (inferior goods)
สามารถเขียนกราฟแสดงความสมั พนั ธ์ไดด้ งั น้ี

รายได้
รายได้

ปริมาณซ้ือ
อุปทาน (Supply)

การศึกษาอุปทานเป็ นการศึกษาพฤติกรรมผผู้ ลิต ในการผลิตหรือความตอ้ งการขาย
สินคา้ ภายใตเ้ ป้ าหมายที่ตอ้ งการกาไรสูงสุด การท่ีผผู้ ลิตจะไดร้ ับกาไรเท่าใดน้นั จะมีความสัมพนั ธ์
ถึงตน้ ทุนการผลิต รวมถึงการต้งั ราคาท่ีจะขาย จึงเป็นเร่ืองที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของผผู้ ลิต

1. นิยามของอุปทาน
อุปทาน หมายถึง จานวนต่าง ๆ ของสินคา้ และบริการอย่างใดอย่างหน่ึงท่ีผูผ้ ลิตมี
ความตอ้ งการผลิตและนาออกมาขาย ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ ในระยะเวลาและสถานท่ีที่กาหนด

อุปทาน = อานาจในการผลิต + ความตอ้ งการขาย

2. ตวั กาหนดอุปทาน
ตวั กาหนดอุปทาน หมายถึง ปัจจยั ต่าง ๆ ที่มีผลต่อจานวนสินคา้ และบริการท่ีผขู้ าย

ตอ้ งการผลิตออกมาขาย ประกอบดว้ ย (Soloman 1997 : 47 – 48)
 ราคาสินคา้ ชนิดน้นั (price ; Px)
 ตน้ ทุนการผลิต (costs of production : C)
 ราคาสินคา้ ที่เก่ียวขอ้ ง (Py)
- ราคาสินคา้ อื่นท่ีแทนกนั ได้ (substation in supply)
- ราคาสินคา้ ท่ีใชร้ ่วมกนั (goods in joint supply)
 จุดประสงคข์ องผผู้ ลิต (aims of produces : Aim)
 การคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงราคาสินคา้ ในอนาคต (expectations of future
price changes : Pex)
 เทคโนโลยกี ารผลิต (technology of production : Tech)

จากการศึกษาตวั กาหนดอุปทาน สามารถเขียนสมการแสดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง
อุปทานกบั ตวั กาหนดอุปทานเป็นฟังกช์ นั่ ของอุปทาน ไดด้ งั น้ี

QSX = (Px, C, Py, Aim, Pex, Na, Tech)

โดยท่ี Px เป็นตวั กาหนดอุปทานโดยตรง (direct determinant) สาหรับตวั กาหนด
อุปทานที่เหลือเป็นตวั กาหนดโดยออ้ ม (indirect determinants)

3. กฎของอปุ ทาน (law of supply) เป็นการอธิบายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอุปทานกบั
ราคาสินคา้ ตามกฎของอุปทาน กล่าววา่ ปริมาณของสินคา้ และบริการชนิดหน่ึงที่ผผู้ ลิตตอ้ งการ
ผลิตออกขายจะแปรผนั โดยตรงกบั ราคาสินคา้ และบริการชนิดน้นั เสมอ โดยมีเง่ือนไขวา่ ตวั กาหนด
อุปทานอ่ืน ๆ ตอ้ งคงที่ กล่าวคือ ถา้ ราคาสินคา้ เพิ่มข้ึนปริมาณสินคา้ ท่ีเสนอขายจะเพ่ิมข้ึน และถา้
ราคาสินคา้ ลดลงปริมาณสินคา้ ท่ีเสนอขายจะลดลงดว้ ย

4. การเปลยี่ นแปลงอุปทาน
การเปลี่ยนแปลงอุปทานมี 2 ลกั ษณะ คือ
 การเปล่ียนแปลงปริมาณอุปทาน (change in quantity supply) หมายถึง การ

เปล่ียนแปลงของปริ มาณอุปทาน อันเน่ืองมาจาก ราคาสิ นค้าชนิดน้ัน
เปล่ียนแปลง โดยที่ตัวกาหนดอุปทานอ่ืน ๆ คงท่ี จะทาให้ปริมาณอุปทาน
เปลี่ยนแปลงภายในเส้นเดียวกนั (move along suppy curve)าคาสินคา้ ชนิดน้นั
(price ; Px)

ราคา S
10
5

23 ปริมาณขาย

 การเปล่ียนแปลงอุปทาน (change in supply) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงกนั

เน่ืองมาจากตวั กาหนดอุปทานอื่น ๆ มีการเปล่ียนแปลง โดยที่ราคาของสินคา้ ชนิด

น้นั คงที่ จะทาใหเ้ ส้นอุปทานเคล่ือนยา้ ยจากเดิมท้งั เส้น (shift in supply curve)

ถา้ เคล่ือนยา้ ยไปทางขวามือ เรียกวา่ อุปทานเพิ่มข้ึน และถา้ เคล่ือนยา้ ยไปทางซา้ ย

มือ เรียกวา่ อุปทานลดลงการผลิต (costs of production : C)

ราคา
10 S2 S S1
5

23 4 ปริมาณขาย

สภาวะดุลยภาพ

การศึกษาภาวะดุลยภาพ เป็นการศึกษาถึงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอุปสงคก์ บั อุกทาน

เม่ือเกิดความสมดุลกนั ระหวา่ งปริมาณซ้ือ และปริมาณขาย ดงั น้นั ความหมายของดุลยภาพจึง

หมายถึง “ภาวะท่ีปริมาณซ้ือเท่ากบั ปริมาณขาย ณ ระดบั ราคาหน่ึง” โดยเรียกปริมาณซ้ือท่ีเท่ากบั

ปริมาณขายวา่ ปริมาณดุลภาพและเรียกราคา ณ ระดบั หน่ึงน้นั วา่ ราคาดุลยภาพ

 ณ ระดบั ราคาที่ต่ากวา่ ราคาดุลยภาพ จะเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน (excess demand)

คือ ภาวะท่ีปริมาณเสนอซ้ือมีมากกวา่ ปริมาณเสนอขาย จึงทาใหส้ ินคา้ ขาดแคลน

(shortage)

 ณ ระดบั ราคาท่ีสูงกวา่ ราคาดุลยภาพจะเกิดอุปทานส่วนเกิน (excess supply) คือ

ภาวะที่ปริมาณเสนอขายมีมากกว่าปริมาณเสนอซ้ือ จึงทาให้เกิดสินคา้ ส่วนเกิน

(surplus)

 ณ ระดับราคาดุลภาพ จะเกิดความสมดุล ระหว่างความเต็มใจที่จะซ้ือของ

ผบู้ ริโภคและความพร้อมที่จะขายของผผู้ ลิต ณ ปริมาณดุลยภาพ

ราคา surplus
15
S
10 Equilibrium

5 D
3
shortage ปริมาณซ้ือ
12

 ภาวะดุลภาพจะไม่เปลี่ยน ตราบเท่าที่ตัวกาหนดอุปสงค์และอุปทานไม่
เปล่ียนแปลง

 สภาะดุลภาพจะเปลี่ยนแปลงเม่ือปริมาณอุปสงคแ์ ละอุปทานเปล่ียนแปลงจะทาให้
ตาแหน่งของดุลภาพ ปริมาณดุลภาพและราคาดุลภาพเปล่ียนไป

การเปลยี่ นแปลงภาวะดุลยภาพ
การเปล่ียนแปลงภาวะดุลยภาพจะเกิดข้ึน ถา้ อุปสงคแ์ ละ / หรืออุปทานเปล่ียนแปลง

ไป จะส่งผลทาให้ภาวะดุลยภาพของตลาดเปล่ียนแปลงไป ยกตัวอย่าง เช่น ตลาดทุเรียน
หมอนทอง

ดุลภาพของตลาดทุเรียนอยทู่ ่ีจุด E โดยมี
- ราคาดุลยภาพเท่ากบั 25 บาท /กิโลกรัม
- ปริมาณดุลยภาพเทา่ กบั 500 กิโลกรัม

กรณที ่ี 1

 ถา้ ราคาผลไมช้ นิดอ่ืนมีราคาสูงข้ึนหรือรสนิยมของผูบ้ ริโภคหันมาชอบบริโภค
ทุเรียนมากข้ึนจาก 500 กิโลกรัม เป็ น 800 กิโลกรัม ส่งผลทาให้เส้นอุปสงค์
เคลื่อนยา้ ยท้งั เส้นจาก D เป็น D1

 ณ ราคา 25 บาท / กิโลกรัม จะพบว่าผูซ้ ้ือตอ้ งการซ้ือจานวน 800 กิโลกรัม
ในขณะท่ีผูข้ ายตอ้ งการขายเพียง 500 กิโลกรัม จึงเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน (excess
demand)

 ราคาทุเรียนจึงเพ่ิมข้ึนเป็ น 30 บาท / กิโลกรัม ทาให้ผูบ้ ริโภคลดการบริโภค
ทุเรียนเหลือเพียง 600 กิโลกรัม จึงเกิดดุลยภาพใหม่ที่จุด E1 ราคาดุลภาพเท่ากบั
30 บาท / กิโลกรัมและปริมาณดุลยภาพเท่ากบั 600 กิโลกรัม ดงั รูป

 350 กิโลกรัม จึงเกิดดุลภาพใหมท่ ่ีจุด E2 ราคาดุลยภาพเทา่ กบั 30 บาท /
กิโลกรัม และปริมาณดุลภาพเทา่ กบั 350 กิโลกรัม ดงั รูป

P S
(บาท / กิโลกรัม)
E1
30
25 E
D1

D Q (กิโลกรัม)
500 600 800

กรณที ่ี 2

 ถ้าสวนทุเรียนถูกน้าท่วม ทาให้ชาวส่วนได้ผลผลิตลดลงมีจานวนท่ีเสนอขาย
เท่ากบั 300 กิโลกรัม ส่งผลใหเ้ ส้นอุปทานเคลื่อนยา้ ยท้งั เส้นจาก S เป็น S2

 ณ ราคา 25 บาท / กิโลกรัม จะพบว่าผซู้ ้ือตอ้ งการซ้ือ 500 กิโลกรัม ในขณะท่ี
ผูข้ ายต้องการเสนอขายเพียง 300 กิโลกรัม จึงเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน (excess
demand)

 ราคาทุเรียนจึงเพิ่มข้ึนเป็น 30 บาท / กิโลกรัม ทาใหผ้ บู้ ริโภคลดการบริโภคเป็ น
350 กิโลกรัม จึงเกิดดุลภาพใหมท่ ่ีจุด E2 ราคาดุลยภาพเทา่ กบั 30 บาท /
กิโลกรัม และปริมาณดุลภาพเทา่ กบั 350 กิโลกรัม ดงั รูป

P S2
(บาท / กิโลกรัม) S

30
25

D

300 350 500 Q (กิโลกรัม)

กรณีท่ี 3

 ถ้ารายได้ของผูบ้ ริโภคเพ่ิมข้ึนโดยกาหนดให้ทุเรียนเป็ นสินค้าปกติ (normal
goods) จะทาให้ผูบ้ ริโภคซ้ือทุเรียนมาบริโภคมากข้ึนเป็ น 600 กิโลกรัม ส่งผล
ให้เส้นอุปสงคเ์ คลื่อนยา้ ยท้งั เส้นจาก D เป็ น D1 ในขณะเดียวกนั ชาวสวนมี
เทคนิคในการเพิ่มผลผลิตทุเรียนมากข้ึนเป็ น 700 กิโลกรัม ส่งผลให้เส้นอุปทาน
เคล่ือนยา้ ยท้งั เส้นจาก S เป็น S1

 ณ ราคา 25 บาท / กิโลกรัม จะพบวา่ ผซู้ ้ือตอ้ งการซ้ือ 600 กิโลกรัม ในขณะที่ผู
ขายตอ้ งการเสนอขาย 700 กิโลกรัม ทาใหเ้ กิดอุปทานส่วนเกิน (excess supply)

 ราคาทุเรียนจึงลดลงเป็ น 20 บาท / กิโลกรัม ทาให้ผบู้ ริโภคเพิ่มการบริโภคเป็ น
650 กิโลกรัม จึงเกิดดุลยภาพใหม่ที่สุด E1 ราคาดุลยภาพเท่ากับ 20 บาท /
กิโลกรัม และปริมาณดุลยภาพเทา่ กบั 650 กิโลกรัม ดงั รูป

P S S1
(บาท / กิโลกรัม) E

25
20

D1 Q (กิโลกรัม)

D
500 650 650 700

จากการเปลี่ยนแปลงภาวะดุลยภาพท้งั 3 กรณี จะพบวา่ เป็ นผลจากการเปล่ียนแปลง
ของอุปสงค์ และ/หรือท้งั อุปสงคแ์ ละอุปทาน ซ่ึงจะเป็ นประโยชน์ต่อท้งั ผผู้ ลิตและผบู้ ริโภคทาให้
ทราบถึงจุดที่เหมาะสมของการซ้ือขายรวมถึงราคาท่ีเหมาะสมพร้อมท้งั มีการปรับตวั เตรียมรับ
สถานการณ์ที่มีผลใหด้ ุลยภาพเปล่ียนไป

ความยดื หย่นุ (Elasticity)
การศึกษาอุปสงค์และอุปทานที่ผ่านมา จะพบว่าถ้าราคาสินคา้ เปล่ียนไปจะทาให้

ปริมาณอุปสงคแ์ ละอุปทานเปล่ียนไปดว้ ย ในการศึกษาความยืดหยุน่ จะทาให้ทราบถึงระดบั ของ
การเปล่ียนแปลงวา่ เป็นเท่าใด ดงั น้นั

ความยืดหยนุ่ หมายถึง ดชั นีในการวดั ค่าร้อยละของตวั แปรหน่ึงเทียบกบั อีกตวั แปร
หน่ึงวา่ ตวั แปรดงั กล่าวมีผลตอ่ ตวั แปรตวั หน่ึงอยา่ งไร (ธรรมนูญ โสภารัตน์ 1995 : 438)

ในการศึกษาความยืดหยุน่ ของอุปสงคน์ ้นั เนื่องจากอุปสงคม์ ีความสัมพนั ธ์กบั ราคาสินคา้
ราคาสินคา้ ท่ีเก่ียวขอ้ งและรายได้ ดงั น้นั จึงสามารถวดั ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคไ์ ด้ 3 ลกั ษณะ ดงั น้ี

1. ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคต์ ่อราคา (price elasticity of demand)

2. ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสินคา้ ที่เก่ียวข้องหรืออุปสงค์ไขว้ (cross

elasticity)

3. ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคต์ ่อรายได้ (income elasticity of demand)

สาหรับความยดื หยุ่นของอุปทานจะเป็ นการศึกษาเฉพาะความยืดหยุ่นของอุปทานต่อ
ราคา (price elasticity of supply)

ความยดื หยุ่นของอุปสงค์

ความยดื หยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา
ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคต์ ่อราคา โดยทวั่ ไปนิยมเรียกวา่ ความยดื หยนุ่ ของอุปสงค์
เป็นการวดั อตั ราการเปล่ียนแปลงของปริมาณอุปสงค์ ซ่ึงตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา
สินคา้ ชนิดน้นั

ความยดื หยนุ่ ของอุปสงค์ = ร้อยละการเปล่ียนแปลงของปริมาณอุปสงค์
ร้อยละของการเปล่ียนแปลงของราคา

Ed แบบจุด =

Ed แบบช่วง = *=*

โดยท่ี คือ ปริมาณอุปสงคห์ ลงั การเปลี่ยนแปลงราคา
คือ ปริมาณอุปสงคก์ ่อนการเปล่ียนแปลงราคา
คือ ราคาใหม่
คือ ราคาเดิม

 คา่ ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคท์ ่ีคานวณได้ จะบอกให้ทราบวา่ เม่ือราคาเปล่ียนแปลง
ไปร้อยละ 1 แลว้ จะทาใหป้ ริมาณอุปสงคเ์ ปล่ียนแปลงไปร้อยละเท่าใด โดยท่ีค่า
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ที่คานวณไดต้ อ้ งเป็ นลบเสมอ เนื่องจากเป็ นไปตามกฎ
ของอุปสงค์แต่ในการพิจารณาค่าความยืดหยุ่นจะวดั จากค่าสัมบูรณ์ (absolute
value)

 ในการเปรียบเทียบค่าความยืดหยุ่นให้พิจารณาเทียบกบั 1 ค่าสัมบูรณ์ของความ
ยืดหยุ่นของอุปสงคม์ ีค่ามากกวา่ 1 อธิบายได้ว่าเมื่อราคาสินคา้ เปล่ียนแปลงไป
ร้อยละ 1 จะทาให้ปริมาณอุปสงค์เปล่ียนแปลงไปมากกว่าร้อยละ 1 เรียกว่ามี
ความยืดหยุ่นมาก (high elastic) ในทางตรงกนั ขา้ มถ้าค่าสัมบูรณ์ของความ
ยดื หยนุ่ ของอุปสงคม์ ีค่านอ้ ยกวา่ 1 อธิบายไดว้ า่ เมื่อราคาสินคา้ เปล่ียนไปร้อยละ 1
เรียกวา่ มีความยดื หยนุ่ นอ้ ย (inelastic)

 สินคา้ ที่มีความยืดหยุ่นน้อย ไดแ้ ก่ สินคา้ จาเป็ นสาหรับการบริโภค สินคา้ ที่มี
ราคาต่า สาหรับสินคา้ ท่ีมีความยืดหยุน่ มากไดแ้ ก่ สินคา้ ฟ่ ุมเฟื อย สินคา้ ท่ีมีราคา
แพง

 ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคก์ บั รายรับรวมของธุรกิจ ระดบั ของความยืดหยุน่ จะมีผล
ต่อรายรับของธุรกิจใหม้ ีการเปลี่ยนแปลงตามไปดว้ ย กล่าวคือ

ความยดื หย่นุ การเพม่ิ ราคา การลดราคา
Ed  1 รายรับรวมลดลง
Ed = 1 รายรับรวมคงท่ี รายรับรวมเพิ่มข้ึน
Ed  1 รายรับรวมเพิ่มข้ึน รายรับรวมคงท่ี
รายรับรวมลดลง

ความยืดหยุ่นของอุปสงค์มีประโยชน์ต่อนักธุรกิจในการพิจารณากระตุ้นยอดขาย
ทาให้ทราบวา่ สินคา้ ใดควรกระตุน้ ยอดขายหรือสินคา้ ใดไม่ควรกระตุน้ ซ่ึงความยืดหยุ่นของอุป
สงคจ์ ะมีผลโดยตรงต่อการเพมิ่ ข้ึนหรือลดลงของรายรับ

ความยดื หยุ่นของอปุ สงค์ต่อราคาสินค้าทเ่ี กยี่ วข้อง
ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคต์ ่อราคาสินคา้ ที่เกี่ยวขอ้ งเป็นการศึกษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง
ปริมาณซ้ือของสินคา้ ชนิดหน่ึงกบั ราคาของสินคา้ อีกชนิดหน่ึงที่เก่ียวขอ้ งกนั อาจเรียกไดว้ า่ ความ
ยดื หยนุ่ ไขว้
ถา้ กาหนดให้สินคา้ ชนิดหน่ึงคือ สินคา้ X และอีกชนิดหน่ึงคือสินคา้ Y สามารถ
เขียนสมการไดว้ า่

= ( )

ความยดื หยนุ่ ไขว้ XY= ร้อยละการเปล่ียนแปลงของปริมาณอุปสงคส์ ินคา้ x
ร้อยละของการเปล่ียนแปลงของราคาสินคา้ Y

ลกั ษณะความสัมพนั ธ์ของสินคา้ ที่เก่ียวขอ้ งกนั มี 2 ลกั ษณะ คือ เป็ นสินคา้ ท่ีใช้
ทดแทนกนั และสินคา้ ท่ีใชร้ ่วมกนั

 ค่าความยืดหยุน่ ไขวข้ องสินคา้ ที่ใชท้ ดแทนกนั จะมีค่าเป็ นบวก ท้งั น้ีถา้ สินคา้ X
และสินคา้ Y เป็นสินคา้ ท่ีใชท้ ดแทนกนั สามารถอธิบายความสัมพนั ธ์ไดว้ า่ เม่ือ
ราคาสินคา้ Y เพมิ่ ข้ึน จะทาให้อุปสงคข์ องสินคา้ X เพ่ิมข้ึน และในทางตรงกนั
ขา้ ม ถา้ ราคาสินคา้ Y ลดลง จะทาให้อุปสงคข์ องสินคา้ X ลดลงดว้ ย ซ่ึงเป็ น
ความสัมพนั ธ์ในทิศทางเดียวกันจึงทาให้ค่าความยืดหยุ่นไขวข้ องสินค้าที่ใช้
ทดแทนกนั มีค่าเป็นบวก

Py Q y Q x
Py Q y Q x

 ค่าความยืดหยุ่นไขวข้ องสินคา้ ท่ีใชป้ ระกอบกนั จะมีค่าเป็ นลบ ท้งั น้ีถา้ สินคา้ X
และ สินคา้ Y เป็ นสินคา้ ที่ใชร้ ่วมกนั สามารถอธิบายความสันพนั ธ์ไดว้ า่ เม่ือ
ราคาสินคา้ Y เพ่ิมข้ึนจะทาใหอ้ ุปสงคข์ องสินคา้ X ลดลง และในทางตรงกนั
ขา้ มถา้ ราคาสินคา้ Y ลดลง จะทาให้อุปสงค์ของสินคา้ X เพ่ิมข้ึน ซ่ึงเป็ น
ความสัมพนั ธ์ในทิศทางตรงกนั ขา้ มจึงทาให้ค่าความยืดหยุ่นไขวข้ องสินคา้ ท่ีใช้
ประกอบกนั มีค่าเป็นลบ

Py Q y Q x
Py Q y Q x

ความยืดหยุ่นไขว้ ถูกนาไปใช้ประโยชน์ในการจดั ทาธุรกิจโดยเฉพาะในเร่ืองการ
จดั การคู่แข่งขนั รวมถึงธุรกิจที่ส่งเสริมกนั ทาให้ผูผ้ ลิตทราบถึงอิทธิพลของผูผ้ ลิตรายอื่น ๆ ใน
ตลาดวา่ มีผลกระทบต่อธุรกิจของตนมากนอ้ ยอยา่ งไร ท้งั ในทางบวกและทางลบ

ความยดื หย่นุ ของอปุ สงค์ต่อรายได้
 ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคต์ อ่ รายได้ ร้อยละการเปล่ียนแปลงของปริมาณอุปสงค์

ร้อยละของการเปลี่ยนแปลงของรายได้

 ค่าความยดื หยุน่ ของอุปสงคต์ ่อรายได้ มีค่าเป็ นบวกแสดงว่าสินคา้ น้นั เป็ นสินคา้
ปกติ (normal goods) แต่ถา้ ค่าความยืดหยุน่ ของอุปสงคต์ ่อรายไดม้ ีค่าเป็ นลบ
แสดงวา่ สินคา้ น้นั เป็นสินคา้ ดว้ อยคุณภาพ (inferior goods)

ถา้ ให้ I คือ รายได้ มีความสัมพนั ธ์อุปสงคส์ ินคา้ X และสินคา้ Y

1. กรณี I Qx ; สินคา้ X เป็นสินคา้ ปกติ

2. กรณี I Qy ; สินคา้ Y เป็นสินคา้ ดอ้ ยคุณภาพ

ความยดื หยุ่นของอปุ ทาน
การศึกษาความยืดหยุ่นของอุปทาน เป็ นการศึกษาการเปล่ียนแปลงของปริมาณ

อุปทานเม่ือเทียบกบั การเปลี่ยนแปลงของราคา ทาให้ทราบถึงความสามารถในการปรับตวั ของ
ผูผ้ ลิต เม่ือราคาสินคา้ เปล่ียนไป ปริมาณอุปทานจะสนองตอบได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อนาไป
วางแผน และปรับตวั ในอนาคต

 ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคต์ อ่ รายได้ ร้อยละการเปล่ียนแปลงของปริมาณ

ร้อยละของการเปล่ียนแปลงของราคา
 ค่าความยืดหยุ่นของอุปทานจะมีค่าเป็ นบวกเสมอ เนื่องจากเป็ นไปตามกฎของ

อุปทาน

 ค่าความยืดหยุ่นของอุปทานที่มีค่ามากกว่า 1 อธิบายได้ว่าเมื่อราคาสินค้า
เปล่ียนแปลงไปร้อยละ 1 จะทาใหป้ ริมาณอุปทานเปลี่ยนแปลงจะทาให้ปริ มาณ
อุปทานเปล่ียนแปลงไปมากกวา่ ร้อยละ 1 เรียกวา่ มีความยืดหยุน่ มากไปร้อยละ 1
จะทาใหป้ ริมาณอุปทานเปล่ียนแปลง แต่ถา้ ค่าความยืดหยุน่ ของอุปทานมีค่านอ้ ย
กวา่ 1 อธิบายไดว้ า่ เม่ือราคาสินคา้ เปล่ียนแปลงไปนอ้ ยกวา่ ร้อยละ 1 เรียกวา่ มี
ความยดื หยนุ่ นอ้ ย

 สินคา้ ท่ีมีความยดื หยนุ่ ของอุปทานมาก ไดแ้ ก่ สินคา้ อุตสาหกรรม สาหรับสินคา้
ที่มีค่าความยดื หยนุ่ ของอุปทานนอ้ ย ไดแ้ ก่สินคา้ เกษตรกรรม

ระบบราคากบั การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกจิ
จากการศึกษา อุปสงค์ อุปทาน ภาวะดุลยภาพ และความยืดหยุ่น สามารถนาไปใช้

เป็ นเคร่ืองมืออธิบายปรากฎทางเศรษฐกิจ รวมถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจบางประการได้
โดยเฉพาะการแทรกแซงราคาโดยรัฐบาล ในกรณีท่ีกลไกราคาของตลาดทางานแลว้ ก่อใหเ้ กิดความ
เดือดร้อนแก่ผูบ้ ริโภคหรือผูผ้ ลิตบางกลุ่ม รัฐบาลจึงตอ้ งเขา้ ไปแทรกแซงราคา ซ่ึงโดยทวั่ ไป
สามารถดาเนินการได้ 2 ลกั ษณะ คือ

 การประกนั ราคาข้นั ต่า (price support)
 การประกนั ราคาข้นั สูง (price ceiling)

การประกนั ราคาข้นั ตา่
การท่ีรัฐบาลเข้าแทรกแซงตลาดโดยการประกันราคาข้ันต่าน้ันมีเป้ าหมายเพ่ือ

ช่วยเหลือเกษตรกร ท่ีขายสินคา้ เกษตรไดใ้ นราคาต่า อุปทานของสินคา้ เกษตรท่ีมีความยืดหยุ่น
นอ้ ย ผลผลิตข้ึนกบั สภาพดินฟ้ าอากาศดว้ ย ดงั น้นั การเขา้ แทรกแซงราคาของรัฐบาลตอ้ งพิจารณา
อยา่ งเหมาะสมเพราะจะเป็ นภาระกบั รัฐบาลต่อไปในอนาคต สามารถอธิบายกลไกการทางานได้
ดงั น้ี

ราคา

อุปทานส่วนเกิน S

P1
Pe

D ปริมาณ
Q2 Q2 Q3

 รัฐบาลประกาศราคาประกนั ข้นั ต่าให้ผูซ้ ้ือจดั ซ้ือจดั จา้ งสินคา้ ตามราคาประกนั ซ่ึง
สูงกวา่ ราคาดุลยภาพ

 ณ ราคาประกนั ข้นั ต่า เกิดภาวะอุปทานส่วนเกิน ทาใหส้ ินคา้ ลน้ ตลาด
 รัฐบาลต้องแก้ปัญหาสินคา้ ล้นตลาด โดยการรับซ้ือสินค้าส่วนเกิน (purchase

policy) ท้งั หมด หรือรับซ้ือบางส่วนเพ่ือเป็นการพยงุ ราคา

การกาหนดราคาข้ันสูง
การกาหนดราคาข้นั สูงมกั จะเกิดข้ึน ในกรณีท่ีสินคา้ เกิดการขาดแคลนอยา่ งมากส่งผล

ให้ราคาสินคา้ น้นั มีราคาสูงข้ึนมากจนกระทงั่ ผูบ้ ริโภคเดือดร้อน รัฐบาลจึงตอ้ งเขา้ มาแทรกแซง
ราคาโดยการกาหนดราคาข้นั สูงเพ่ือใหผ้ ซู้ ้ือและผขู้ ายทาการซ้ือสินคา้ และบริการกนั ในตลาด โดย
มีเป้ าหมายเพอ่ื ช่วยเหลือผบู้ ริโภคใหผ้ บู้ ริโภคซ้ือสินคา้ ไดถ้ ูกลง สามารถอธิบายกลไกการทางานได้
ดงั น้ี

ราคา

Pe S

P1

อุปทานส่วนเกิน D
Q2 Q2 Q3 ปริมาณ

 รัฐบาลกาหนดราคาข้นั สูงให้ผขู้ าย ขายสินคา้ ตามราคาท่ีกาหนด ซ่ึงต่ากวา่ ราคา
ดุลยภาพ

 ณ ราคาข้นั สูง เกิดอุปสงค์ส่วนเกินสินคา้ มีไม่พอกบั ความตอ้ งการซ้ือ จึงทาให้
เกิดตลาดมืดมีการซ้ือขายสินคา้ สูงกวา่ ราคาที่กาหนด

 รัฐบาลตอ้ งแกไ้ ขปัญหาการขาดแคลนสินคา้ สามารถดาเนินการได้ 2 ลกั ษณะ
คือ ใชร้ ะบบปันส่วนสินคา้ (rationing) เพ่ือลดอุปสงคใ์ หเ้ ท่ากบั อุปทาน และเพิ่ม
ผลผลิตหรือหาสินคา้ อ่ืนมาทดแทนเพอ่ื เพิ่มอุปทานใหก้ บั อุปสงค์

การที่รัฐบาลเขา้ ราแทรกแซงกลไกการทางานของตลาดโดยเฉพาะในตลาดที่มีการ
แข่งขนั โดยการประกนั ราคาข้นั ต่า (price support) และการกาหนดราคาข้นั สูง (price ceiling)
น้นั ทาให้เกิดความไม่สอดคลอ้ งกนั ระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ซ่ึงการกาหนดราคาข้นั สูงจะ
นาไปสู่การเกิดอุปทานส่วนเกิน (excess supply) ในขณะที่การประกนั ราคาข้นั ต่าทาให้อุปสงค์
ส่วนเกิน (excess demand) อนั นาไปสู่การกระจายท่ีไมม่ ีประสิทธิภาพ (semuelson and Nordhaus)
1992 : 81) ทาใหร้ ัฐบาลตอ้ งเขา้ มาแกไ้ ขต่อไปอีก รวมถึงผลอ่ืน ๆ ตามมา เช่น การเกิดตลาดมืด
ดงั น้นั การท่ีรัฐบาลจะเขา้ มาแทรกแซงกลไกตลาดตอ้ งมีการพิจารณาอย่างเหมาะสม มีมาตรการ
ต่อเน่ืองที่ชดั เจน


Click to View FlipBook Version