พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธี
บรมราชาภิเษก
กระทรวงวัฒนธรรม
เลขที่ ๑๐ ถนนเทียมร่วมมิตร แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ๑๐๓๑๐
www.m - culture.go.th
พระราชพิธี
บรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร
วันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓
2
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
3
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๘
4
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
5
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๕๓
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช
วันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๕๔
6
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
7
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งแรก วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๑
8
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
9
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งหลัง วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๖
10
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
11
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๓๙๔
12
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
13
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ค�าปรารภ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เพื่อจัดพิมพ์หนังสือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พุทธศักราช ๒๕๖๐
ประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาจวบทุกวันนี้ เกิดจากความเข้มแข็ง
ของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจ
ของคนไทยทั้งชาติ และถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นชาติไทย ประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรไทย
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติมาตลอด พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์
ทรงมีบทบาทส�าคัญในการพัฒนาชาติไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ อย่างมั่นคง ทั้งด้านการป้องกัน
และรักษาเอกราชของชาติ ด้านการสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทย ด้านวัฒนธรรมการด�าเนินชีวิต และด้านศิลปกรรม
ทรงเป็นผู้น�าที่ปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อบ�าบัดทุกข์
บ�ารุงสุข สร้างความอยู่ดี กินดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ปวงอาณาประชาราษฎร์ สร้างความร่มเย็นเป็นสุข
ให้เกิดแก่ชาติบ้านเมือง และทรงน�าพาให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการรุกรานของชนชาติอื่น ท�าให้สามารถ
รักษาเอกราชอธิปไตยไว้ได้ตราบจนทุกวันนี้ ประชาชนคนไทยโชคดีที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบารมีที่มี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นหลักชัย และตามโบราณราชประเพณีก�าหนดให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ในการสืบราชสันตติวงศ์ เพื่อเสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์
หนังสือ “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” เป็นการจดจารึกมรดกทางวัฒนธรรมตามโบราณ
ราชประเพณีอันเนื่องด้วยพระมหากษัตริย์ แม้ว่าพระราชอ�านาจบางอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไปตามบริบท
ของสังคม แต่วัฒนธรรมประเพณีอันเนื่องด้วยพระราชพิธีส�าคัญยังคงสืบสานต่อมาตราบเท่าทุกวันนี้
นับเป็นเครื่องบ่งบอกเอกลักษณ์ของชาติได้เป็นอย่างดี คนไทยทุกคนควรภาคภูมิใจ และควรมีความรู้
ความเข้าใจในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างถ่องแท้ เพื่อร่วมสืบสานวัฒนธรรมตามประเพณี
ของไทยให้อยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
พลเอก
(ประยุทธ์ จันทร์โอชา)
นายกรัฐมนตรี
15
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
สาร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
กระทรวงวัฒนธรรม มีภารกิจหน้าที่ในการธ�ารงรักษา ส่งเสริมและสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณี
อันเนื่องด้วยสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้เป็นที่ประจักษ์และคงอยู่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงบ�ารุงสังคม
ไทยให้ผาสุกร่มเย็น มีระเบียบแบบแผนเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ มีคติความเชื่อและ
แนวปฏิบัติหลายประการที่แสดงให้เห็นถึงความสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์แห่งสถาบันอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวรวมชาติ
ไทยให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงเสมอมา
ตามโบราณราชประเพณี การเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์จะทรงรับการบรมราชาภิเษก
เฉลิมพระนามาภิไธยเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นพระราชพิธีศักดิ์สิทธิ์ส�าคัญยิ่ง แสดงให้เห็นถึง
วัฒนธรรมอันงดงาม และเป็นการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ทรงพระเกียรติยศอันสูงสุด สมกับที่ทรงเป็น
พระมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปตลอดกาล
หนังสือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดพิมพ์นี้ เป็นการด�าเนินการตามนโยบาย
รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติ และการเสริม
สร้างความรู้อันเนื่องด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ การสืบทอดวัฒนธรรมซึ่งเป็นโบราณราชประเพณีอันส�าคัญ
เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และความร่วมมือร่วมใจกันปกป้อง เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยให้ด�ารงอยู่
อย่างมั่นคง เพื่อให้ประชาชนชาวไทยประสบความร่มเย็นเป็นสุขภายใต้พระบรมโพธิสมภารสืบไป
(นายวีระ โรจน์พจนรัตน์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
16
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ค�าน�า
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าของไทยทุกพระองค์ ทรงปฏิบัติบ�าเพ็ญพระราชกรณียกิจ
ทั้งปวงเพื่อความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์ สถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นสถาบันหลักที่ประชาชนชาวไทยต่าง
เคารพเทิดทูนและส�านึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้เสมอมา
กระทรวงวัฒนธรรม เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการขับเคลื่อนภารกิจภาครัฐในการอนุรักษ์
สืบทอด ส่งเสริม และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของชาติ เพื่อสร้างจิตส�านึกความเป็นไทย ผ่านกระบวนทัศน์การด�าเนิน
งานด้านวัฒนธรรมให้มีความร่วมสมัย สอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบันด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน
ในสังคมไทย เพื่อธ�ารงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
การจัดพิมพ์หนังสือ “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” เล่มนี้ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยว
กับโบราณราชประเพณี ซึ่งเป็นพระราชพิธีที่ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ กล่าวคือ การเสด็จขึ้น
ครองราชย์จะสมบูรณ์เมื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว เนื้อหาของหนังสือประกอบด้วย ความเป็นมา
ของพระราชพิธี ล�าดับขั้นตอนพระราชพิธีโดยสังเขปทั้งการเตรียมการพระราชพิธี พระราชพิธีเบื้องต้น พระราชพิธี
เบื้องปลาย ตลอดจนข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวเนื่องกับพระราชพิธี อาทิ พระปฐมบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์
ในสมัยรัตนโกสินทร์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ สถานที่ประกอบพระราชพิธี พระมหาเจดีย์ สถานที่ตั้งพิธีเสกน�้า
พระพุทธมนต์ รวมถึงแหล่งน�้าศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละจังหวัดที่ต้องพลีกรรมตักน�้าเพื่อใช้เป็นน�้าสรงพระมุรธาภิเษก เป็นต้น
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะอ�านวยประโยชน์แก่ประชาชนผู้สนใจศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกและเกิดความเข้าใจในความส�าคัญของพระราชพิธีโดยทั่วกัน
(นายกฤษศญพงษ์ ศิริ)
ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
17
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
สารบัญ
หน้า
ค�าปรารภนายกรัฐมนตรี ๑๕
สารรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ๑๖
ค�าน�าปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ๑๗
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๒๑
ความเป็นมาของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๒๕
ล�าดับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๒๘
การเตรียมน�้าอภิเษก และน�้าสรงพระมุรธาภิเษก ๒๘
การจารึกพระสุพรรณบัฏ และแกะพระราชลัญจกรประจ�ารัชกาล ๓๒
การจัดเตรียมสถานที่ ๓๘
พระราชพิธีเบื้องต้น ๔๕
พิธีสรงพระมุรธาภิเษก ๕๕
พิธีถวายน�้าอภิเษก ๖๐
พิธีถวายสิริราชสมบัติ และถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๖๕
พระราชพิธีเบื้องปลาย ๗๙
ภาคผนวก ๑๑๙
พระปฐมบรมราชโองการ รัชกาลที่ ๑ – รัชกาลที่ ๙ ๑๒๑
ก�าหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช
และพระราชพิธีเฉลิมพระราชมนเทียร ๑๔๑
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๑๔๕
พระมหาเศวตฉัตรหรือนพปฎลมหาเศวตฉัตร ๑๔๖
หน้า
พระมหาพิชัยมงกุฎ ๑๔๗
พระแสงขรรค์ชัยศรี ๑๔๘
ธารพระกร ๑๔๙
วาลวิชนี (พัดและแส้) ๑๕๐
ฉลองพระบาทเชิงงอน ๑๕๑
พระราชลัญจกรประจ�าแผ่นดิน ๑๕๒
พระสุพรรณบัฏ ๑๕๖
พระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ๑๕๗
พระที่นั่งภัทรบิฐ ๑๕๘
พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ๑๕๙
หมู่พระมหามณเฑียร ๑๖๑
พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ๑๖๓
พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ๑๖๕
พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน ๑๖๗
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ๑๖๙
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ๑๗๑
พระมหาเจดียสถาน สถานที่ตั้งพิธีเสกน�้าพระพุทธมนต์ ๗ แห่ง ๑๗๒
พิธีเสกน�้า ๑๐ มณฑลในสมัยรัชกาลที่ ๗ ๑๗๖
ปูชนียสถานและสิ่งส�าคัญ ๑๓ แห่ง ๑๘๐
บรรณานุกรม ๑๘๒
คณะท�างาน ๑๘๔
พระราชพิธี
บรมราชาภิเษก
22
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นโบราณราชประเพณีที่ต้องท�าเพื่อความเป็นพระมหากษัตริย์อย่างสมบูรณ์
ดังความใน “จดหมายเหตุพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” ว่า
“...ตามราชประเพณีในสยามประเทศนี้ ถือเปนต�ารามาแต่โบราณว่าพระมหา
กระษัตริย์ซึ่งเสด็จผ่านพิภพ ต้องท�าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกก่อน จึงจะเปนพระราชาธิบดีโดย
สมบูรณ์ ถ้ายังมิได้ท�าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่ตราบใด ถึงจะได้ทรงรับรัชทายาท
เมื่อเสด็จเข้าไปประทับอยู่ในพระราชวังหลวง ก็เสด็จอยู่เพียง ณ ที่พักแห่งหนึ่ง พระนามที่ขาน
ก็คงใช้พระนามเดิม เปนแต่เพิ่มค�าว่า “ซึ่งทรงส�าเร็จราชการแผ่นดิน” เข้าข้างท้ายพระนาม
แลค�ารับสั่งก็ยังไม่ใช้พระราชโองการ จนกว่าจะได้สรงมุรธาภิเษก ทรงรับพระสุพรรณบัฏ
จารึกพระบรมราชนามาภิธัยกับทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์จากพระมหาราชครูพราหมณ์ผู้ท�า
พิธีราชาภิเษกแล้ว จึงเสด็จขึ้นเฉลิมพระราชมณเฑียร ครอบครองสิริราชสมบัติสมบูรณ์ด้วย
พระเกียรติยศแห่งพระราชามหากระษัตริย์แต่นั้นไป...”
จิตรกรรมฝาผนัง พระอุโบสถวัดอัมพวันเจติยาราม จังหวัดสมุทรสงคราม
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
23
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
24
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ความเป็นมาของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นราชประเพณีคู่สังคมไทยมายาวนานโดยได้รับอิทธิพลจากคติอินเดีย แต่ลักษณะ
การพระราชพิธีแต่เดิมมีแบบแผนรายละเอียดเป็นอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แม้แต่การเรียกชื่อพิธีก็แตกต่างกันออกไป
ในแต่ละสมัย เช่น ในสมัยอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเรียกว่า
“พระราชพิธีราชาภิเษก” หรือ “พิธีราชาภิเษก” ส่วนในปัจจุบันเรียกว่า “พระราช
พิธีบรมราชาภิเษก”
สมัยสุโขทัยปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๒ หรือจารึกวัดศรีชุม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อราว
พุทธศตวรรษที่ ๑๘ กล่าวถึงการขึ้นเป็นผู้น�าของพ่อขุนบางกลางหาว ไว้ว่า “...พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้
เมืองสุโขทัย ให้ทั้งชื่อตนแก่พระสหายเรียกชื่อศรีอินทรบดินทราทิตย์...” ส่วนในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงภาษาไทย และภาษา
เขมรกล่าวถึงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพิธีบรมราชาภิเษกพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ว่ามี มกุฎ พระขรรค์ชัยศรี และเศวตฉัตร
สมัยอยุธยาปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในค�าให้การของชาวกรุงเก่า ข้อความตอนหนึ่ง
กล่าวถึงขั้นตอนของพระราชพิธีนี้ว่า
“...พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจึงโปรดให้เอาไม้มะเดื่อนั้น มาท�าตั่งส�าหรับประทับสรง
พระกระยาสนานในการมงคล เช่น พระราชพิธีราชาภิเษก เป็นต้น พระองค์ย่อมประทับเหนือ
พระที่นั่งตั่งไม้มะเดื่อ สรงพระกระยาสนานก่อนแล้ว (จึงเสด็จไปประทับพระที่นั่งภัทรบิฐ)
มุขอ�ามาตย์ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ คือ มหามงกุฎ ๑ พระแสงขรรค์ ๑ พัดวาลวิชนี ๑
ธารพระกร ๑ ฉลองพระบาทคู่ ๑...”
จิตรกรรมฝาผนัง พระอุโบสถวัดอัมพวันเจติยาราม จังหวัดสมุทรสงคราม
พราหมณ์ทูลเกล้าฯ ถวายพระมหาพิชัยมงกุฎ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
25
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
จิตรกรรมฝาผนัง พระที่นั่งทรงผนวช
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จเลียบพระนครทางสถลมารค
ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
26
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ไม่ปรากฏหลักฐานการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สันนิษฐานว่าท�าตามแบบ
อย่างเมื่อครั้งสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ท�าอย่างสังเขป เพราะบ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย ยังอยู่
ในภาวะสงคราม ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ประดิษฐาน
พระบรมราชจักรีวงศ์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกแต่โดยสังเขป ยังไม่พร้อมมูลเต็ม
ต�ารา ครั้น พ.ศ. ๒๓๒๖ โปรดให้ข้าราชการผู้รู้ครั้งกรุงเก่า มีเจ้าพระยาเพชรพิชัยเป็นประธาน ประชุมปรึกษาหารือกับสมเด็จ
พระสังฆราชและพระราชาคณะผู้ใหญ่ท�าการสอบสวนร่วมกันตรวจสอบต�าราว่าด้วยการราชาภิเษกในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้า
อุทุมพร หรือขุนหลวงวัดประดู่ แล้วแต่งเรียบเรียงขึ้นไว้เป็นต�ารา เรียกว่า “ต�าราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยาส�าหรับหอหลวง”
เป็นต�าราเกี่ยวกับการราชาภิเษกที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบหลักฐานในประเทศไทย เมื่อได้แบบแผนการราชาภิเษกที่สมบูรณ์แล้ว
อีกทั้งพระราชมณเฑียรสถานที่สร้างขึ้นใหม่แล้วเสร็จ ใน พ.ศ. ๒๓๒๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธี
บรมราชาภิเษกให้สมบูรณ์ตามแบบแผนอันได้เคยมีมาแต่เก่าก่อนอีกครั้งหนึ่ง และแบบแผนการราชาภิเษกดังกล่าวได้รับการ
ยึดถือปฏิบัติเป็นแบบอย่างสืบมาเพื่อความเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ บางพระองค์ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
๒ ครั้ง คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๑ เมื่อทรงขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ ขณะมี
พระชนมพรรษาเพียง ๑๕ พรรษา ในระยะเวลาห้าปีแรกของรัชกาล สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็น
ผู้ส�าเร็จราชการแผ่นดิน จนกระทั่งเมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๒๐ พรรษาจึงทรงพระผนวช หลังจากทรงลาสิกขาแล้ว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๖ หลัง
จากนั้นทรงรับพระราชภาระและมีพระราชอ�านาจในการบริหารราชการแผ่นดินโดยสมบูรณ์ ส่วนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๒ ครั้ง คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราช
มณเฑียร เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๕๓ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงก�าลังไว้ทุกข์งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้งดการเสด็จเลียบพระนครและการรื่นเริง ต่อมาเมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม
พุทธศักราช ๒๔๕๔ เพื่อให้เป็นส่วนรื่นเริงส�าหรับประเทศ อีกทั้งให้นานาประเทศที่เป็นสัมพันธมิตรไมตรีมีโอกาสมาร่วมงาน
27
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ล�าดับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีหลักฐานปรากฏขั้นตอนล�าดับการพระราชพิธีชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์
แบ่งเป็น ๔ ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมพระราชพิธี พระราชพิธีเบื้องต้น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และพระราชพิธีเบื้องปลาย
โดยขั้นตอนและรายละเอียดของการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกได้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามกาลสมัยมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งมีรายละเอียดโดยสังเขป ดังนี้
การเตรียมพระราชพิธี
มีการท�าพิธีตักน�้าและที่ตั้งส�าหรับถวายเป็นน�้าอภิเษกและน�้าสรงพระมุรธาภิเษก จารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรม
ราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกร เตรียมตั้งเครื่องบรมราชาภิเษก และเตรียมสถานที่จัดพระราชพิธี
การเตรียมน�้าอภิเษกและน�้าสรงพระมุรธาภิเษก
ขั้นตอนการเตรียมพิธีจะต้องมีการตักน�้าจากแหล่งส�าคัญ ๆ เพื่อน�ามาเป็นน�้าสรงพระมุรธาภิเษก และเพื่อท�า
น�้าอภิเษกก่อนที่จะน�าไปประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามต�าราโบราณของพราหมณ์ น�้าอภิเษกจะต้องเป็นน�้าจาก
“ปัญจมหานที” คือ แม่น�้าใหญ่ทั้ง ๕ สายในชมพูทวีป หรือในประเทศอินเดีย ได้แก่ แม่น�้าคงคา แม่น�้ามหิ แม่น�้ายมนา แม่น�้าอจิรวดี
และแม่น�้าสรภู ในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เชื่อว่าแม่น�้าทั้ง ๕ สายนี้ ไหลมาจากเขาไกรลาส ซึ่งเป็นที่สถิตของพระอิศวร จึงถือว่า
เป็นน�้าศักดิ์สิทธิ์ น�ามาใช้ในการพระราชพิธีต่างๆ เช่น น�้าสรงพระมุรธาภิเษก น�้าอภิเษก และน�้าพระพุทธมนต์ ในสมัยสุโขทัย -
แม่น�้าป่าสัก
แม่น�้าบางปะกง
28
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
แม่น�้าเจ้าพระยา แม่น�้าราชบุรี แม่น�้าเพชรบุรี
อยุธยาไม่ปรากฏหลักฐานว่า มีการน�าน�้าปัญจมหานทีมาใช้ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่ปรากฏหลักฐานว่า น�้าสรง
พระมุรธาภิเษกในสมัยอยุธยาใช้น�้าจากสระเกษ สระแก้ว สระคงคา สระยมนา แขวงเมืองสุพรรณบุรี นอกจากนี้ ในสมัยรัตนโกสินทร์
ในรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๔ ยังใช้น�้าในแม่น�้าส�าคัญของประเทศเพิ่มเติมอีก ๕ สาย เรียกว่า “เบญจสุทธคงคา” โดยอนุโลมตาม
ปัญจมหานทีในชมพูทวีป คือ แม่น�้าบางปะกง ตักที่บึงพระอาจารย์ แขวงเมืองนครนายก แม่น�้าป่าสัก ตักที่ต�าบลท่าราบ
แขวงเมืองสระบุรี แม่น�้าเจ้าพระยา ตักที่ต�าบลบางแก้ว แขวงเมืองอ่างทอง แม่น�้าราชบุรี ตักที่ต�าบลดาวดึงส์ แขวงเมืองสมุทรสงคราม
และแม่น�้าเพชรบุรี ตักที่ต�าบลท่าไชย แขวงเมืองเพชรบุรี เมื่อตักแล้วจะตั้งพิธีเสก ณ เจดียสถานส�าคัญแห่งแขวงนั้นๆ
แล้วจึงจัดส่งเข้ามาท�าพิธีที่กรุงเทพมหานคร ในรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้น�าพิธีทางพระพุทธศาสนามาเพิ่มเติมด้วย โดยให้
พระสงฆ์ซึ่งเป็นพระครูพระปริตรไทย ๔ รูป สวดท�าน�้าพระพุทธมนต์ในพิธีสรงพระมุรธาภิเษก จึงมีน�้าพระพุทธมนต์เพิ่มขึ้นอีก
อย่างหนึ่ง
ต่อมาในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว น�้าสรงพระมุรธาภิเษกในการ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๑ ได้ใช้น�้าเบญจสุทธคงคาและน�้าจากสระ ๔ สระ แขวงเมืองสุพรรณบุรี
เช่นเดียวกับรัชกาลก่อนๆ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๑๕ ได้เสด็จพระราชด�าเนินไปประเทศอินเดีย ทรงน�าน�้าจากปัญจมหานทีตามต�ารา
พราหมณ์กลับมาด้วย ดังนั้นน�้าสรงพระมุรธาภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๑๖ จึงมีน�้าปัญจมหานทีเจือ
ลงในน�้าเบญจสุทธคงคาและน�้าจากสระ ๔ สระ แขวงเมืองสุพรรณบุรีด้วย
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เฉลิมพระราชมณเฑียร
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ใช้น�้าเช่นเดียวกับครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งที่ ๒ ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ โปรดให้พลีกรรมตักน�้าจากแม่น�้าและแหล่งน�้าต่างๆ ที่ถือว่าส�าคัญ
และเป็นสิริมงคลมาตั้งพิธีเสกท�าน�้าพระพุทธมนต์ ณ พระมหาเจดียสถานที่เป็นหลักของมหานครโบราณ ๗ แห่ง และมณฑล
ต่างๆ ๑๐ มณฑล *
* ภาคผนวก
29
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระธาตุซ่อแฮ จังหวัดแพร่
หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการตั้งพิธีเสกน�้า
ในรัชกาลที่ ๗
30
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๗ น�้าสรงพระมุรธาภิเษกในการพระราชพิธีบรม
ราชาภิเษก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้ตั้งพิธีท�าน�้าอภิเษกที่หัวเมือง
มณฑลต่างๆ ๑๘ แห่ง ซึ่งสถานที่ตั้งท�าน�้าอภิเษกในรัชกาลนี้
ใช้สถานที่เดียวกับในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัว เพียงแต่เปลี่ยนจากวัดมหาธาตุ เมืองเพชรบูรณ์
มาตั้งที่วัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ และเพิ่มอีกหนึ่งแห่งที่
วัดบึงพระลานชัย จังหวัดร้อยเอ็ด
ต่อมารัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในการพลีกรรมตักน�้า
ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในพระราชอาณาจักร แล้วน�ามาตั้งประกอบ
พิธีเป็นน�้าสรงพระมุรธาภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ ท�าพิธีเสกน�้า ณ มหาเจดียสถาน และ
พระอารามต่างๆ ในราชอาณาจักรจ�านวน ๑๘ แห่ง เท่ากับ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เปลี่ยน
สถานที่จากเดิม ๑ แห่ง คือ จากวัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่
เป็นวัดพระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่านแทน ส่วนน�้าจากสระสอง
ห้อง เมืองพิษณุโลก ซึ่งเคยน�ามาเป็นน�้าสรงพระมุรธาภิเษก
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ใช้
ในครั้งนี้ เนื่องจากแหล่งน�้าดังกล่าวตื้นเขินจนไม่มีน�้า
พระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน
หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการตั้งพิธีเสกน�้า
ในรัชกาลที่ ๙
31
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
การจารึกพระสุพรรณบัฏ และแกะพระราชลัญจกรประจ�ารัชกาล
พิธีจารึกพระสุพรรณบัฏและแกะพระราชลัญจกรประจ�ารัชกาลเป็นขั้นตอนส�าคัญขั้นตอนหนึ่งในการเตรียม
ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยจะต้องถวายพระสุพรรณบัฏเฉลิมพระปรมาภิไธย ก่อนที่จะถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์
อื่นๆ และต้องเชิญแผ่นดวงพระบรมราชสมภพและพระราชลัญจกรประจ�ารัชกาลขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นมณฑลในพระราช
พิธีบรมราชาภิเษกด้วย
การจารึกพระสุพรรณบัฏเฉลิมพระปรมาภิไธย และดวงพระบรมราชสมภพของพระมหากษัตริย์ ในสมัย
รัตนโกสินทร์ จัดขึ้นในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โหรหลวงเป็นผู้ก�าหนดพระฤกษ์พิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ เมื่อก�าหนด
พระฤกษ์ได้วันจารึกพระสุพรรณบัฏแล้ว ตอนเย็นก่อนถึงวันพระฤกษ์ พระสงฆ์จะเจริญพระพุทธมนต์ ส่วนโหรหลวงจะสวดบูชา
เทวดา เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนเวลาพระฤกษ์ พระราชวงศ์ที่ทรงเป็นประธานในพิธีจะทรงถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์
รับพระราชทานฉันแล้ว ประธานในพิธีจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการและทรงศีล จากนั้นจึงเริ่มพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏและแกะ
พระราชลัญจกรประจ�ารัชกาล
การจารึกพระสุพรรณบัฏในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ เวลา ๙.๒๖ – ๑๐.๒๘ น. ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต เป็นประธานในพิธี มีหลวงบรรเจิดอักษรการ (ทับ สาตราภัย) หัวหน้า
กองปกาศิต ในหน้าที่อาลักษณ์ จารึกอักษรพระปรมาภิไธยลงในพระสุพรรณบัฏ พระยาโหราธิบดี (แหยม วัชรโชติ) โหรจารึก
ดวงพระบรมราชสมภพลงในแผ่นทอง และหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร ศิลปินในหน้าที่นายช่าง แกะพระราชลัญจกร
ในพระอุโบสถตั้งโต๊ะเครื่องบายศรีตอง ๓ ชั้น ซ้าย ขวา มีกล้วยน�้าว้า หัวหมูส�าหรับบูชาพระฤกษ์ อาลักษณ์
ผู้จารึกพระสุพรรณบัฏแต่งกายด้วยเครื่องขาวและรับศีล เมื่อใกล้เวลาพระฤกษ์ ประธานพิธี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต
จุดเทียนเงินเทียนทองทุกโต๊ะจารึกแล้ว อาลักษณ์นมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร จากนั้นถวายบังคมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
(พระราชอาสน์) คล้องสายสิญจน์ และหันหน้าไปสู่ทิศมงคล ได้เวลาพระฤกษ์ โหรลั่นฆ้องชัย อาลักษณ์และโหรลงมือจารึก
พระสุพรรณบัฏเฉลิมพระปรมาภิไธยและดวงพระบรมราชสมภพ ส่วนนายช่างท�าหน้าที่แกะพระราชลัญจกรประจ�ารัชกาลไป
พร้อมกัน ในระหว่างนั้นพระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา พราหมณ์เป่าสังข์ เจ้าพนักงานประโคมแตร สังข์ และพิณพาทย์
32
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ดวงพระบรมราชสมภพ
๑๒
พระบรมราชสมภพ วันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศาสนายุกาล ๒๔๗๐ ตรงกับ ณ วัน ๒ ฯ ๑ ค�่า ปีเถาะ
นพศก จุลศักราช ๑๒๘๙ เวลา ๘ นาฬิกา ๔๕ นาที (๒ โมงเช้า ๔๕ นาที เวลาที่กรุงเทพฯ) พระลัคนาสถิตราศีธนู
ตติยนวางค ๗ ปฐมตรียางค ๖ เชฐฤกษ์ ๑๘ ประกอบด้วยสมณแห่งฤกษ์
พระสุพรรณบัฏ เฉลิมพระปรมาภิไธย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
33
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
34
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)
35
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
36
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
อนึ่ง เจ้าพนักงานน�าพระสุพรรณบัฏ และพระราชลัญจกรที่แล้วเสร็จมาประดิษฐานบนธรรมาสน์ศิลา
ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเชิญมาพระที่นั่งไพศาลทักษิณ และวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓โปรดให้มีพระราช
พิธีราชาภิเษกสมรสและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เป็นสมเด็จพระราชินี
สิริกิติ์ ทรงด�ารงต�าแหน่งพระอิสริยยศฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ครั้นวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ในการพระราชพิธี
บรมราชาภิเษก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินี
37
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
การจัดเตรียมสถานที่
สถานที่ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัย
รัตนโกสินทร์มีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละรัชกาลตามความเหมาะสม
เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประกอบพระราช
พิธี ณ พระที่นั่งอมรินทราภิเษกปราสาท พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย ประกอบพระราชพิธี ณ พระที่นั่งในหมู่พระมหามณเฑียร
ประกอบด้วย พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และ
พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เนื่องด้วยพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทซึ่งสร้าง
ขึ้นแทนที่พระที่นั่งอมรินทราภิเษกปราสาทเป็นที่ประดิษฐานพระบรม
ศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงโปรดให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ณ พระที่นั่งในหมู่พระมหามณเฑียร ซึ่งได้ใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราช
พิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๕
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ณ พระที่นั่งหมู่พระมหา
มณเฑียร ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๔ ได้ทรงกระท�าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช
ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร ประกอบพระราชพิธี ณ พระที่นั่งในหมู่พระมหามณเฑียร
หมู่พระมหามณเฑียร ในพระบรมมหาราชวัง
38
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
39
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ปลายสมัยรัชกาลที่ ๕
40
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ปัจจุบัน
41
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ภายในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ
42
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ภายในท้องพระโรงด้านที่ต่อกับพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ภายในท้องพระโรงด้านที่ต่อกับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ
43
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
44
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีเบื้องต้น
45
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชด�าเนินทางประตูเทเวศร์รักษา ไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพิธีจุดเทียนชัย วันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓
46
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก